ตอนที่ 1.2

1562 Words
ไม่กี่วันต่อมา “ท่านซายูริครับ พวกเราตรวจสอบรถของท่านไคดะแล้ว... ไม่มีอะไรผิดปกติครับ”             “ว่าไงนะ”             ฉันกำตะเกียบในมือแน่น บรรดาแม่บ้านและคนรับใช้ที่ยืนห่างออกไปจากโต๊ะอาหารต่างอยู่ในอาการสงบนิ่ง แม้แต่เสียงลมหายใจก็เบาจนแทบไม่ได้ยิน             “สายเบรกล่ะ”             จินที่ยืนอยู่ด้านหลังเอ่ยถามออกมาอย่างรู้ใจฉัน คนรายงานรีบก้มหน้าลงทันทีเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงกดดันว่า             “สายเบรกปกติดีครับ ไม่ได้โดนตัด”             “ท่านซายูริ” จินเรียกฉันราวกับจะถามความเห็น ฉันนิ่งคิดครู่หนึ่งก็ยกมือเป็นสัญญาณให้คนที่เข้ามารายงานออกไปได้ หลังจากนั้นไม่นานหัวหน้าแม่บ้านก็วิ่งเข้ามาใหม่             “ท่านซายูริคะ ทนายโยชิดะมาค่ะ” ยังไม่ทันขาดคำร่างสูงของชายวัยกลางคนก็เดินอาดๆ เข้ามาพร้อมกับแฟ้มเอกสารในมือ             “ต้องขอโทษด้วยที่มากะทันหัน”             “คุณโยชิดะ ยินดีต้อนรับค่ะ” ฉันลุกขึ้นกล่าวทักทายทนายของคุณพ่อตามมารยาท หันไปบอกให้สาวใช้เตรียมหาอาหารเผื่อคุณโยชิดะ แต่ทางนั้นรีบโบกมือปฏิเสธอย่างรวดเร็ว             “ไม่เป็นไรครับผมทานมาแล้ว ผมมาบอกเรื่องพินัยกรรมของคุณไคดะ”             “พินัยกรรม เดี๋ยวนะคะ แต่คุณพ่อยังไม่”             “ผมทราบครับ” ทนายโยชิดะเอ่ยแทรกด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นเมื่อเห็นว่าฉันกำลังจะโวยวาย การที่คุณพ่อยังมีลมหายใจอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วจู่ๆ ทนายก็โผล่มาที่บ้าน ทำเหมือนคุณพ่อไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ใครจะไม่โกรธกันล่ะ             “คุณไคดะได้สั่งกับผมเอาไว้ว่าหากวันใดเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นกับตัวเองจนไม่สามารถควบคุมซูซาคุได้ ให้ยกสิทธิ์การตัดสินใจทั้งหมดไว้ที่คุณซายูริ ซึ่งเป็นทายาทเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย... หากใครไม่เชื่อฟังหรือแข็งข้อ ให้ยึดเงิน ค่าจ้าง ข้าวของมีค่าทั้งหมดที่เคยได้จากซูซาคุคืนโดยไม่มีข้อแม้”             “ต่อให้ไม่มีพินัยกรรมท่านซายูริก็คือผู้สืบทอดโดยชอบธรรม” จินเอ่ยออกมาอย่างไม่รู้สึกว่ามีอะไรแตกต่าง คำพูดของทนายไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับคนฟังสักนิด             ใช่ฉันเองก็คิดแบบนั้น ทว่า... มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอที่ทนายจะมาบอกในสิ่งที่ทุกคนก็รู้อยู่แล้วน่ะ             “มีอะไรอีกหรือเปล่าคุณโยชิดะ” ฉันจ้องหน้าทนายด้วยสังหรณ์ว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้น             “ครับตามที่ทราบ... หากวันใดที่คุณซายูริแต่งงาน อำนาจการตัดสินใจจะตกเป็นของคู่สมรสทันทีเว้นแต่ว่า”             จู่ๆ ทนายโยชิดะก็เว้นคำพูดและมีสีหน้าลังเลคล้ายไม่แน่ใจในสิ่งที่เขียนอยู่ในกระดาษแผ่นนั้น             “ยกเว้นอะไรคะคุณโยชิดะ”             “ยกเว้นคุณฮารุจะกลับมา... สมบัติทั้งหมดในซูซาคุจะตกเป็นของเขาโดยชอบธรรม”             ฉันใจหายวาบ ทุกคนภายในนี้ต่างตกอยู่ในความนิ่งอึ้งไม่ต่างกัน ความวุ่นวายเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่เสียงเย็นยะเยือกของจินจะดังขึ้น             “ล้อเล่นอะไรกันทนาย ท่านไคดะเองก็รู้ว่าท่านฮารุเสียไปนานแล้ว”             “ผมก็คิดแบบนั้น แต่คุณไคดะเป็นคนเตือนผมเรื่องนี้เอง ...บางทีคุณไคดะอาจจะหวังอยู่ลึกๆ ว่าลูกชายยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง”             พี่ฮารุ...             ฉันกล้ำกลืนความรู้สึกเหงาหัวใจเอาไว้เมื่อนึกถึงพี่ชายคนนั้น จ้องตอบสายตาของทนายโยชิดะด้วยสีหน้าราบเรียบ             “เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าพี่ฮารุยังมีชีวิตอยู่...ฉันก็ดีใจ”             “ครับ เอ้อ... แล้วคุณเคนมะคู่หมั้นของคุณซายูริติดต่อมาบ้างหรือเปล่า”             เคนมะเหรอ ผู้ชายคนนั้นหน้าตาเป็นยังไงฉันเองก็แทบจำไม่ได้             ฉันส่ายหน้า ไม่รู้สึกอะไรเป็นพิเศษเมื่อนึกถึงนายเคนมะอะไรนั่นเขาเป็นคู่หมั้นที่ผู้ใหญ่จัดเตรียมไว้ให้ เราเคยเจอกันสองสามครั้งหลังงานศพคุณแม่กับพี่ ฮารุ หลังจากนั้นก็ได้ยินว่าเคนมะบินไปเรียนต่อต่างประเทศ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย ยกเว้นผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายที่ไปมาหาสู่กันเพราะเรื่องธุรกิจ             “งั้นเหรอครับ เวลาแบบนี้ถ้าคุณเคนมะอยู่ด้วยก็คงดี”             ฉันเข้าใจว่าทนายโยชิดะหมายถึงอะไร แต่ฉันไม่ใช่ประเภทที่ต้องพึ่งพาคนอื่นเวลามีเรื่องอยู่แล้ว อีกอย่างต่อให้ท้อแค่ไหนฉันก็ยังมีจินเป็นที่ปรึกษาอยู่ข้างๆ             “ท่านซายูริคะ ถ้าไม่รีบไปตอนนี้เดี๋ยวจะเข้าเรียนไม่ทันนะคะ”             แม่บ้านร้องเตือน พลางเอามือทาบอกเมื่อเห็นว่าจวนได้เวลาเข้าเรียนของฉันแล้ว ฉันหันไปมองหน้าทนายอย่างไม่รีบร้อน             “คุณโยชิดะมีอะไรอีกหรือเปล่าคะ”             “ไม่มีแล้วครับ ผมก็กำลังจะกลับพอดี”             “ค่ะ งั้นไว้เจอกันใหม่นะคะ”             ฉันลุกขึ้นโค้งศีรษะให้คุณโยชิดะตามมารยาท ก่อนหันไปพยักหน้าขอกระเป๋าหนังสือจากสาวใช้แล้วเดินออกมาโดยมีจินก้าวตามมาด้านหลัง               “เรียนเสร็จเดี๋ยวผมมารับ”             ฉันพยักหน้าให้จินแล้วเปิดประตูลงจากรถ ที่นี่เป็นมหาลัยเอกชนที่ดีที่สุดในโตเกียว ฉันยืนรับลมที่พัดมาปะทะผิวหน้าก่อนเดินเข้ามาในตึกด้วยอารมณ์ราบเรียบ กรี๊ด!!! กำลังเดินอยู่ดีๆ ก็มีเสียงโหวกเหวกตกใจของคนจำนวนมากดังมาจากที่ไหนสักแห่ง เกิดอะไรขึ้นกันนะ ฉันรีบสาวเท้าไปตามทางที่มาของเสียง ก่อนจะเห็นผู้คนที่กำลังมุงดูอะไรบางอย่าง “หลบไปอย่าเข้ามานะ” เสียงแข็งกระด้างเต็มไปด้วยความโกรธแค้นดังออกมาจากกลางวง  “แจ้งตำรวจเร็ว” “แจ้งตำรวจๆ” หลายเสียงรอบข้างกระซิบกระซาบกันแต่ก็ไม่มีใครกล้ากดโทรศัพท์ มีเรื่องอะไรเนี่ย ฉันค่อยๆ แหวกผู้คนเข้ามาในวงล้อมจนอยู่แนวหน้าสุด ภาพตรงหน้าทำฉันอึ้งไปชั่วอึดใจ ผู้ชายนัยน์ตาแดงเถือกคนหนึ่งกำลังเอามีดจี้คอนักศึกษาหญิง ใบหน้าเธอคนนั้นอิดโรยมาก ไม่รู้ว่ากำลังกลัวหรือเจ็บปวดตรงไหนก็ไม่ทราบได้ ฉันมองท่าทางคลุ้มคลั่งของไอ้ชั่วนั่นอย่างรอจังหวะ ไม่รู้หรอกนะว่ามีเรื่องอะไร แต่ขืนรอให้ตำรวจมายัยนั่นได้เป็นลมหรือไม่ก็โดนมีดบาดคอตายก่อนแน่ ฉันค่อยๆ แทรกตัวเข้ามาในกลุ่มคนแล้วอ้อมไปด้านหลัง “เฮ้!” “เฮ้ย” หมับ! “กรี๊ดดดดด” ฉันกระโจนเข้าตะครุบหลังหมอนั่น คว้าข้อมือที่กำมีดอย่างแม่นยำท่ามกลางเสียงกรีดร้องแตกตื่นของเหล่าผู้ชมที่ขี้ขลาดแม้แต่โทรแจ้งตำรวจก็ไม่กล้า ฉันจับมือหมอนั่นบิด ขณะเดียวกันก็เตะข้อพับของมันไม่ให้ตั้งหลักได้ ตะโกนบอกตัวประกันให้รีบหลบ ยัยนั่นหันมามองฉันด้วยสีหน้าตื่นตระหนก แววตาสีน้ำตาลสั่นระริกแต่ก็ยังมีสติพอจะเข้าใจที่ฉันบอก รีบวิ่งฝ่าฝูงชนออกไปแบบล้มลุกคลุกคลาน ท่าจะกลัวจนเข่าอ่อน ฉึบ! “อ๊ะ!” ฉันแทบไม่มีเวลาไปห่วงคนอื่นด้วยซ้ำ แต่ก็เผลอจนได้ ไอ้เวรนั่นดันใช้แรงควายในร่างผู้ชายกระชากมือออกอย่างแรง คมมีดเฉือนมือฉันทันที หน็อย! คิดว่าทำฉันเลือดตกยางออกแล้วมันจะจบง่ายๆ เหรอ ไอ้สารเลวเอ๊ย! ฟึบ! แต่ก่อนที่ฉันจะได้พุ่งเข้าไปจัดการกับมัน มันก็ตวัดมีดเข้ามาอย่างข่มขู่ จ้องฉันด้วยสายตาเลือดเย็น โกรธจนหน้าสั่น “อยากตายนักใช่ไหม ได้! กูจะฆ่ามึงก่อนแล้วค่อยตามไปจัดการนังนั่นทีหลัง” มันแกว่งมีดมั่วซั่วพร้อมกับตะโกนด่าด้วยท่าทางเคียดแค้น เหมือนจะน่ากลัวแต่จริงๆ เปิดช่องโหว่มาก ฉันอาศัยจังหวะที่มันเปิดช่องว่าง พุ่งเข้าไปจัดการประเคนหมัด เท้า ศอก และเข่าใส่มันไม่ยั้ง เสียงตุบตับๆ ดังรัวไม่หยุดจนกระทั่งร่างหนาล้มพลั่กนอนขดตัวงอชักกระตุกอยู่บนพื้นท่ามกลางเสียงที่เงียบกริบของผู้คน... “โทรตามรถพยาบาลด้วย ไม่งั้นคงตายไปจริงๆ” ฉันหยิบกระเป๋าที่กองอยู่บนพื้นขึ้น เดินมืออาบเลือดฝ่าผู้คนออกมา รู้สึกได้ถึงสายตาอึ้งตะลึงที่มองตามมาด้านหลังแต่ฉันไม่สนใจ แค่รู้สึกหัวเสียที่มาเรียนวันแรกก็มีเรื่องซะแล้ว  ระหว่างที่ฉันกำลังจะตีอกชกหัวตัวเอง แขนข้างที่โดนบาดก็ถูกคว้าเอาไว้จากด้านหลัง หมับ! “หืม...” “เธอบาดเจ็บ” พอหันมามองก็เห็นใบหน้าขาวซีดกับดวงตากลมโตสีน้ำตาลกำลังสั่นระริก เสื้อผ้ามีรอยยับย่นจากการถูกกระชากลากถู ฉันจำได้... นี่คือใบหน้าของผู้หญิงที่โดนมีดจี้คอก่อนหน้านี้ “ฉันไม่เป็นไร”  
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD