EP1:หัวอกคนชอบอยู่ฝ่ายเดียว

3734 Words
1 ‘หัวอกคนชอบอยู่ฝ่ายเดียว’ “ปริมคะ ช่วยไปแก้ตรงนี้หน่อยนะคะ เวลาฝั่งบูมเกินฝั่งลีดฯเค้ามา”เสียงลูกเกดสาวสองร่างบางเล็ดลอดออกมาจากระตูห้องประชุมเล็กที่ตึกกิจกรรม “ได้ค่ะ” ก๊อก ก๊อก ฉันเคาะประตูตามมารยาทก่อนจะจะผลักเบาๆแล้วเดินตัวลีบเข้ามา แต่พอเงยหน้ามองก็พบว่าทุกคนเงียบแล้วหันมาจ้องฉันตาเป็นตาเดียว สายตาของฝั่งลีดทำให้ฉันยิ้มแหยๆก่อนจะเดินมานั่งข้างๆเหนือ “ถ้าเลทเกือบครึ่งชั่วโมงขนาดนี้ คราวหลังก็ไม่ต้องมาแล้วก็ได้นะคะ”เบล รองหัวหน้าฝ่ายลีดฯมอพูดเสียงเรียบแล้วยิ้มหวานส่งให้ฉัน “ค่ะ”ฉันรับคำแบบสั้นๆเพราะไม่อยากจะเถียง อีกอย่างฉันก็มาช้าจริงๆด้วยนั่นแหละ “ไม่เป็นไรหรอกลูกสาว สวัสดิการณ์ก็ไม่ได้มีหน้าที่อะไรมากอยู่แล้วจะมาช้าหรือไม่มาเลยก็ไม่มีผลอะไรกับการรันงาน”เสียงกระแนะกระแหนของฝั่งลีดฯยังคงดังมาเรื่อยๆจนฉันต้องลอบถอนหายใจออกมา ไอ้ที่กระแนะกระแหนฉันไม่หยุดทั้งๆที่ฉันทำแค่ฝ่ายสวัสดิการณ์มันเป็นเพราะอะไรฉันรู้ดี “ค่ะ งั้นเชิญคุยกันต่อดีกว่าค่ะ”ฉันรับคำแล้วผายมือให้วงประชุมที่คุยค้างไว้ก่อนหน้าเข้าเรื่องต่อ แต่ก็พลันถอนหายใจอีกครั้งเมื่อยัยลูกเกดเบะปากใส่ฉันอย่างกับว่าฉันไปขัดใจอะไรเขามาก ”ครับ งั้นเชิญเข้าเรื่องต่อเลยครับฝ่ายลีดฯ”บอส’ที่ควบตำแหน่งรองประธานสโมกลางและประธานชั้นปีรุ่นฉันเอ่ยเสียงเรียบ “ค่ะ”เมื่อเห็นว่าโดนปรามลูกเกดจึงหันไปรับคำและพูดต่อ “แล้วก็ ช่วยแก้และพิมพ์ใบไทม์มาให้ใหม่ด้วยนะคะเพราะกระดาษที่คุณให้มาพวกเราเขียนแก้กันมั่วไปหมดแล้ว”ฉันหันไปมองหน้าปริมรองฯเฮดไทม์ที่ยังคงยิ้มแต่สายตากลับแสดงออกว่าอยากจะเดินเข้าไปกระชากหัวตบแล้วใส่เข่าคู่ไปที่เบ้าหน้าแต่ก็ต้องใจเย็นและรับคำเท่านั้น “ได้ค่ะ” “ส่วนเรื่องสวัสดิการณ์ ลีดฯต้องควบคุมน้ำหนักขอแค่น้ำเปล่าอุณหภูมิห้องก็พอนะคะ”เบลหันมาบอกฉันที่กำลังนั่งจดรายละเอียดตาม เพราะการเป็นสวัสดิการณ์ส่วนกลางต้องดูแลเรื่องอาหารเครื่องดื่มเบรคทั้งหมดและครบทุกส่วนฉันจึงต้องจดไดอารี่ทุกครั้งที่เข้าประชุม “คะ? อุณหภูมิห้อง?”น้ำอุณหภูมิห้องคือไม่เย็นมาก ไม่ร้อนไป พอดีๆน่ะเหรอ? “ค่ะ” “อ๋อ งั้นฉันก็ให้รุ่นน้องแบกน้ำถังมาวางไว้จุดลีดฯได้เลยใช่ไหมคะ เหมือนปีที่แล้ว?”ฉันรับคำแล้วถาม แต่ประโยคดังกล่าวคงไปกวนใจใครบางคนเข้าเขาถึงทำหน้าแหยเกออกมาก่อนจะสาดถ้อยคำเสียงดังใส่ฉัน “นี่เธอกวนเหรอ? ขอน้ำอุณหภูมิห้องแค่นี้ต้องกระแนะกระแหนยกเรื่องที่ผ่านมาขึ้นมาพูดเลยเหรอคะ ไม่โปรเฟชชั่นนอลเลยอ่ะค่ะ”ที่พูดนี่หมายถึงตัวเองเหรอ? “นั่นสิคะ เฮดสวัสดิการณ์ไม่มีความเป็นมืออาชีพเลยทั้งๆที่เป็นหน้าที่ตัวเองอยู่แล้ว”ฉันเผลอหันกลับมาจ้องพราวที่กำลังนั่งเบะหน้ามองฉันสายตาที่ผิดหวังอยู่ เล่นละคร ตอแหลทั้งเพ! “แค่แบกถังน้ำ สั่งอาหาร สั่งขนมมันยากมากเลยเหรอคะ?”ฉันหายใจออกเบาๆเพื่อเรียกสติตัวเอง ขืนยังพูดจาไม่เข้าหูฉันคงทนไม่ไหวแน่ “แหะ แค่ยกตัวอย่างให้เห็นภาพน่ะค่ะ กลัวว่าถ้าทำไม่ถูกใจ เอ้ย!…”ฉันว่าแล้วแกล้งทำหน้าตกใจเหมือนที่พูดมาเมื่อกี้เป็นการเลือกใช้คำผิด”…ไม่ถูกตามที่บรีฟมา จะทำให้ฝ่ายลีดฯเสียเวลาต้องเปลี่ยนน้ำเปลี่ยนท่าวิ่งแจ้นหากันเองอีกอ่ะค่ะ”ฉันพูดต่อแล้วทำหน้ารู้สึกผิด หึ ถึงฉันจะไม่ใช่คนเก่งคนกล้าอะไรแต่ใช่ว่าจะยอมให้พวกนั้นมาหาเรื่องฝ่ายเดียวสักหน่อย! ปีสองปีสามฉันอาจจะยอม แต่พอนานวันเข้าใช่ว่าฉันจะทน “รู้ตัวว่าฝ่ายตัวเองทำงานบกพร่องก็ดีค่ะ”จะเอาให้ได้ใช่ไหม “ทางเรารู้ตัวและยอมขอโทษหากทำผิดหรือบกพร่องค่ะ พอดีเป็นคนที่ยอมรับในความผิดพลาดได้แต่…”ฉันยิ้มบางๆแล้วจ้องหน้าทีมลีดฯกลับบ้าง “พอแล้ว”เหนือว่าเสียงขรึมแล้วกระตุกเสื้อชายเสื้อเบาๆเพื่อให้ฉันเลิกพูด ทีตอนยัยพวกนั้นรุมแซะฉันเขายังไม่เห็นปรามเลย ใช่สิ ฉันไม่ใช่บรรดาแฟนเก่ากิ๊กเก่าเขานิ เห้อะ! “เธอจะพูดอะไร”ใบหน้าสวยของเบลถามพร้อมตั้งท่าอย่างกับจะกระโจนเข้ามาขยุ้มคอฉันยังไงยังงั้น “ไม่พูดดีกว่าค่ะ เรื่องมันผ่านมาแล้ว”ฉันตัดบทก่อนจะปัดมือหนาที่วางอยู่ตักออก คนตัวสูงลอบมองฉันเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “มีใครจะพูดเรื่องอะไรเพิ่มเติมไหมครับ” “มีค่ะ เรื่องเบรค”ฝ้ายฝ่ายวอยซ์บอกพลางยกมือค้างไว้อย่างขออนุญาตพูด “เชิญครับ” “ทางเราขอเพิ่มเบรคเป็นสองช่วงได้ไหมคะ”ฉันพยักหน้ารับทันทีที่ฝ้ายบอกชัดเจน นี่สิคนที่ต้องการจะมาประชุมเพื่อให้งานดำเนินไปได้รวดเร็วจริงๆไม่ใ่ช่พวกที่คอยจะหาเรื่อง “ได้ค่ะ ปีนี้สวัสดิการณ์มีแพลนจะของบเพิ่มคาดว่าคงเพิ่มเบรคให้ได้เยอะกว่าปีที่แล้ว”ฉันยิ้มรับบางๆเมื่อจดโน้ตครบ “ขอบคุณฝ่ายสวัสดิการณ์ค่ะ” “ดีจังเลยค่ะ แต่ทางเราไม่ขอเพิ่มเบรคนะคะพอดีน้องๆลีดฯกินนิดเดียวก็อิ่มกันแล้ว”ยัยลูกเกดจีบปากจีบคอบอกก่อนจะยกมือป้องปาก “ได้ค่ะ งั้นทางเราขอแบ่งเบรคฝ่ายลีดฯให้ฝ่ายว๊อยซ์แทนนะคะ”ฉันพูดเสียงเรียบโดยที่ไม่ได้สนใจเงยหน้ามองใคร แต่พอรู้สึกได้ว่าคนบนโต๊ะประชุมเงียบผิดปกติจึงยอมละสายตาและพบว่าฝ่ายลีดฯกำลังจ้องฉันเขม็งอยู่ “อ๋อ ขอบคุณในน้ำใจค่ะ“ฉันพูดอย่างกับตั้งใจกวนแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจกับสายตาพวกนั้นก่อนจะวางปากกาแล้วกอดอกจ้องกลับ เมื่อก่อนฉันไม่ใช่คนปากแจ๋วอะไรขนาดนี้หรอกแต่เป็นเพราะยัยพวกนี้ชอบหาเรื่องแซะฉันเป็นประจำตั้งแต่ฉันตัวติดกันกับเหนือ ฉันเลยต้องอัพเลเวลเพื่อรับมือกับคนพวกนี้หน่อย “ฝ่ายไทม์มีอะไรเพิ่มเติมไหมครับ”บอสถามขึ้นมาเพื่อทำลายบรรยากาศที่เริ่มจะตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ “ไม่…” “มีค่ะ”ขณะที่ปริมกำลังจะอ้าปากพูดยัยลูกเกดฝ่ายลีดฯก็แทรกขึ้นเสียก่อนจนปริมต้องถอนหายใจออกมายาวเหยียด ซึ่งมันเป็นเเบบนี้ทุกครั้งที่มีประชุมกลาง ฝ่ายไหนเขาก็รู้กันทั้งนั้นว่าฝ่ายที่มีปัญหาเกือบจะทุกปีคือฝ่ายลีดฯมอ ยิ่งปีที่แล้วที่ฉันอยู่ปีสามน่ะนะพี่เฮดฯแทบจะตีกันตาย “ครับ เชิญ” “ช่วยแก้ตรงนั้นด้วยนะคะ พาร์ทสองเวลาที่ต้องแบ่งให้ทีมสันฯแค่นี้เราก็ใช้เวลาไม่พอแล้วอ่ะค่ะยังต้องโดนแบ่งอีกเหรอคะ? ถ้าจะแย่งเวลาคนอื่นขนาดนี้ไม่ทำคนเดียวเลยล่ะ”ทันทีที่จบประโยคทุกคนก็หันมามองหน้ากันอัตโนมัติ ให้มันได้แบบนี้สิ “ตอนฝ่ายไทม์ถามเรื่องแบ่งเวลาพาร์ทสองฝ่ายลีดฯไม่ได้ตกลงกันแล้วเหรอคะ ทำไมถึงให้ฝ่ายไทม์รื้อใหม่หมด”เพราะมองหน้าปริมแล้วเห็นเพื่อนทำหน้าเหมือนจะร้องแหล่มิร้องแหล่ฉันจึงถามขึ้นทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องของตัวเองเลยสักนิด “ฝ่ายสวัสดิการยุ่งอะไรด้วยไม่ทราบคะ ในเมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องของฝ่ายลีดฯกับฝ่ายไทม์”เบลถามฉันอย่างกับจะหาเรื่อง “แค่สงสัยระบบการทำงานของทั้งสองทีมอ่ะค่ะ เห็นลีดฯสั่งแก้แปรนราวกับว่าไม่ได้คุยกันหรือตกลงกันมาก่อนที่ทีมไทม์จะแบ่งเวลาให้ทีมสันฯ เลยงงนิดหน่อย”ฉันน่าตบฉันรู้ดี แต่พอมองหน้าเพื่อนที่ไม่สู้คนแล้วฉันก็ทนไม่ไหวจริงๆ “ถ้าไม่ใช่เรื่องของตัวเองก็ไม่ต้องพูดไหมคะ?”ฉันหันกลับมามองหน้าเบลอีกครั้งเมื่อเธอพูดประโยคที่ทำเอาฉันขมวดคิ้วขึ้นมา “ช่วยชี้แจงด้วยค่ะ”ฉันตั้งใจเมินเสียงของเบลแล้วหันไปจี้ถามปริมแทนเพื่อให้เธอพูดในสิ่งที่ควรจะพูด “ลีดฯกับไทม์ไหนจะสันฯมีปัญหาทุกปีเลย แบบนี้ควรชี้แจงหรือเปล่าคะจะได้ไม่ทำคนอื่นเสียเวลา”ฉันสัมทับอีกครั้ง “หึ ทำตัวเป็นอัยการจี้จำเลยไปได้ ถ้าอยากสวมบทบาทนักกฏหมายก็ควรเก็บเอาไปใช้ที่คณะตัวเองนะคะ”เบลที่ยังคงลอยหน้าลอยตาแซะ “ตกลงกันเรียบร้อยแล้วค่ะ ตอนแรกที่เสนอไปทางลีดฯไม่ได้ให้ความเห็นอะไรกลับมา เราจึงเดดไลน์เรื่องเวลาและขอความเห็นที่จะแบ่งพาร์ทสองของวันเข้าเชียร์คร้ังที่สองไปแต่ทีมลีดฯก็ยังเฉย ทางเราจึงตัดสินใจเอาเองว่าลีดฯคงโอเคและพอใจแล้ว”ปริมว่าพลางกุมมือตัวเองแน่นเหมือนคนกดดัน “อ๋อ แล้วพอมาประชุมก็มาสั่งแก้ทีหลัง”ฉันรับคำพยักหน้า “เข้าใจแล้วค่ะว่าทีมที่มีปัญหาน่าจะเป็นลีดฯ”ฉันว่าพลางยกยิ้มส่งให้ยัยลูกเกดที่มองฉันเหมือนจะพุ่งมาตบแต่ฉันก็ลอยหน้าลอยตา “เราว่าเอาตามกำหนดเดิมนั่นแหละ ไม่ต้องแก้หรอก”กานต์ลีดฯมอสรุปหลังจากที่นั่งดูสถานการณ์มานาน “ได้ไงกัน!”พี่ลูกเกดโวยกานต์ “ก็เพื่อนมันรันเวลาแล้วจะให้รื้อก็ไม่ได้หรือเปล่าอ่ะเจ้ อีกอย่างตอนฝั่งนั้นเขาเสนอมาพวกเจ้ก็ไมไ่ด้สนใจเอง” “มันก็เพิ่งเริ่มเองไหมอ่ะ จะแก้ตอนนี้ก็ทันหรือเปล่า”ทันทีที่ร่างบางพูดอย่างเอาแต่ใจกานต์ก็ส่ายหน้าพรืด ทำตัวอย่างกับเด็ก “งั้นก็เอาไปแก้เองสิคะ”ปริมพูดอย่างหมดความอดทน “นั่นมันหน้าที่เธอหรือเปล่าล่ะ ถ้าแค่นี้ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องมาอาสาทำสิ”น่าด่าจริงๆ “ฉันไม่ทำหรอกนะ รันเวลาอะไรนั่น หน้าที่ใครหน้าที่มัน” “งั้นต่อไปช่วยให้ความร่วมมือตอนที่ฉันถามความเห็นด้วยนะคะ เพิ่งเสนอหน้าอันแหลมอย่างกับหอไอเฟลมาวันนี้แท้ๆยังมีหน้ามาสั่งให้แก้ตรงนั้นเปลี่ยนตรงนี้ ถ้าไม่พอใจก็เอาไปคิดเองทำเองทั้งหมดเถอะค่ะ แต่ถ้าจะกรุณาก็ช่วยหุบปากและพูดไอเดียที่มันบรรเจิดหาลู่ทางที่มันสว่างเหมือนหน้าคุณมาจะดีกว่า”ฉันอ้าปากเหวอเมื่อปริมพูดยาวเหยียดอย่างเหลืออดก่อนจะลุกขึ้นประจันหน้ากับยัยลูกเกดที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจนบอสต้องปรามไว้ “อย่ามาปากดีให้มากนะ!”นั่นไง “ฉันไม่ได้ปากดี แค่พูดความจริง”ปริมเถียงแล้วกอดอกก่อนที่พี่ลูกเกดจะลุกขึ้นกอดอกชี้หน้าไปทางปริม “แค่เปลี่ยนเวลา ลดเวลา มันจะไปยากแค่ไหนกันเชียว เธอไม่ได้มาซ้อมลีดฯทุกวันเหมือนพวกฉันนิ”เถียงข้างๆคูๆมาก “แล้วไงคะ ถ้าคิดว่าฉันจับเวลา แบ่งๆตัดๆลดทีมนั้นมาใส่ทีมนี้แล้วมันง่ายก็มาเอาไปทำเอง การที่ทีมคุณจะขอเพิ่มเวลามันไม่ใช่ปัญหาสำหรับฉันเลยค่ะ แต่นี่ฉันถามความเห็นทีมคุณไปแล้วเป็นอาทิตย์ๆแต่ก็ยังไม่ตอบกลับ พอมันรันลงตัวทุกอย่างละถึงมาขอแก้ แบบนี้หรือเปล่าที่เรียกไม่มืออาชีพ”ปริมบอกก่อนจะลุกขึ้นยืนอีกครั้งเมื่ออยู่ๆหล่อนก็ตั้งท่าเหมือนจะกระโดดข้ามโต๊ะเข้ามาหาปริม จนหลายๆคนลุกกรูขึ้นพร้อมกันเพราะกลัวจะเกิดการตบกันขึ้นมากลางวงประชุม “มันจะมากไปแล้วนะ!” “เอาสิ ถ้าก้าวเข้ามาฉันจะตบแกให้คางเบี้ยวเลย!”ปริมพูดเสียงดังก่อนจะง้างมือเตรียมตบยัยพี่ลูกเกดคนนั้นที่กำลังจะก้าวขา “ฮึ่ยยย “เขาสบถแบบอารมณ์เสียก่อนจะเดินตึงตังเปิดประตูออกไปข้างนอก เหอะ น่ารำคาญไปได้ก็ดี พอเห็นว่าทุกอย่างสงบทุกคนก็นั่งลงที่เดิมรวมถึงลีดฯคนอื่นที่เหมือนจะยิ้มแหยๆ เอาจริงเค้าก็คงรำคาญยัยบ้านั่นเหมือนกัน “โดนซะบ้างก็ดี”กานต์ว่าก่อนจะยิ้มกว้างให้ปริม พอเห็นว่าทุกคนกำลังแตกตื่นและงุนงงกับปริมในเวอร์ชั่นนี้อยู่เธอจึงยิ้มรับบางๆ “จริงๆเวลามันก็โอเคแล้ว ไม่ต้องแก้หรอก ”ลีดฯผู้หญิงที่นั่งตรงกลางระหว่างสามคนบอกก่อนจะยิ้มส่งให้ปริม “อืม เราว่าไม่ต้องแก้หรอก เจอสวนขนาดนั้นคงไม่เข้ามายุ่มย่ามอีกมั้ง”สาวบอกก่อนจะปิดสมุดลง เหอะ “นินทาลับหลังแบบนี้ใช้ได้เหรอ?”เมื่อคนอื่นเริ่มหายใจหายคอสะดวกเบลก็พูดแทรกขึ้นมาก่อนจะมองมาที่ฉัน “เอ่อ…” “ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ก็หาซีนมายุ่งจนได้”พูดไม่พอยังมองแรงใส่ฉันไปที คิดว่าฉันจะสนใจหรือไง “มีใครจะเพิ่มเติมเรื่องไหนอีกไหมครับ?”บอสเห็นท่าไม่ดีเลยดึงสติทุกคนกลับเข้าวงประชุมอีกครั้ง “ไม่มีนะครับ”เมื่อมองไปรอบๆแล้วแต่ละฝ่ายเงียบกันหมดบอสจึงสรุป “งั้นฝ่ายไทม์รันงานได้เลยนะครับ วันนี้ขอบคุณพี่ระเบียบ พี่เทคนิคเชียร์พี่สันฯด้วยนะครับ ขอบคุณทุกคนที่ทำงานหนัก”ดีนประธานสโมฯกล่าวปิดประชุมก่อนที่ทุกคนจะค่อยๆทยอยเดินออกไป มีแค่เหนือฉันบอสแล้วก็เบลที่ยังอยู่ เห็นบอสบอกฉันที่คณะเมื่อเที่ยงว่าให้อยู่รอเพราะมีเรื่องจะคุยด้วย แต่ไม่รู้ว่าจะคุยเรื่องอะไร “รออะไร”เหนือถามเมื่อฉันยังนั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิกตัวเก็บข้าวเก็บของ “บอส”ฉันตอบแค่นั้นก่อนเหลือบมองเบลเพราะรู้สึกได้ว่าเธอกำลังมองมาที่ฉันอยู่และมันก็จริงเมื่อดวงตาคมสวยลอบมองมาทางฉันอยู่เรื่อยๆแม้มือจะยัดของลงกระเป๋าถือใบหรู “รอทำไม”คนตัวสูงถามด้วยสีหน้าเรียบๆ “ไม่รู้ บอสบอกให้รอ”ฉันตอบแล้วจึงยักไหล่ก่อนจะดึงสายตากลับมาสนใจโทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือ “แล้วจะกลับยังไง” “น่าจะโทรหายัยนัดตี้หรือไม่ก็ขอติดรถบอสกลับ”ฉันพูดจบพอดีกับบอสที่เดินกลับเข้ามาในห้อง จึงหันมาสนใจบอสที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าแทน “อ่อ”ร่างสูงที่ยืนค้ำหัวฉันอยู่เมื่อครู่พยักหน้ารับก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตามเดิม อะไรของมัน ไม่รีบกลับหรือไง “โทษที พอดีเราคุยธุระอ่ะ”ฉันยิ้มรับก่อนจะอ้าปากถาม “ไม่เป็นไรๆ”ฉันบอก “แล้วบอสมีไรจะคุยกับเราเหรอ” “คือว่า”บอสเหลือบมองเหนือที่นั่งอยู่ข้างฉันนิดหน่อยก่อนจะดึงสายตากลับมามองหน้าฉัน” พอดีเราอยากให้มิราช่วยเรื่องค่ายของคณะหน่อย”ฉันเบิกตากว้างทันทีที่อีกคนพูดจบ “ค่ายกฏหมายอ่ะนะ”ให้ตายเถอะ! ฉันจะไปช่วยอะไรได้เล่าในเมื่อค่ายที่ว่าเป็นค่ายที่มีแต่คนเกรดสูงๆเรียนเก่งๆเท่านั้นที่จะไปเป็นคนอาสา “ครับ ค่ายขาดคนอ่ะเราเลยอยากให้มิราไปช่วย”ไอ้ช่วยก็อยากจะช่วยอยู่หรอก แต่ฉันดันโง่นี่สิ จะไปให้คำปรึกษาใครได้ “แงงง ก็อยากจะช่วยอยู่หรอกนะแต่เราไม่เก่งอ่ะ ลองหาคนอื่นดูก่อนไหมเรากลัวไปเป็นภาระมากกว่าไปช่วย”ฉันเบ้หน้าแล้วบอกตามความจริง “ไม่ลองก่อนเหรอ ดูจากเมื่อกี้แล้วเราว่ามิราเองก็มีแววช่วยเหลือคนได้เหมือนกันนะ”ฉันผงะเมื่อบอสยกประเด็นที่เพิ่งจะเกิดก่อนหน้าขึ้นมา ”มันไม่เหมือนกันสักหน่อย”ฉันแย้ง “ลองดูก่อนได้เปล่า ค่ายเริ่มตั้งเดือนหน้า”พอเห็นว่าบอสส่งสายตาขอร้องมาฉันจึงเม้มปากอย่างชั่งใจคิด “เดี๋ยวเราเลี้ยงชาบู” “ตกลง!”ฉันเผลอยกมือปิดปากเมื่อนึกขึ้นได้ว่าที่ตอบตกลงเมื่อกี้มันโคตรจะน่าอาย! ฉันแสดงออกชัดเจนว่าเห็นแก่กินขนาดนี้ได้ยังไงกัน “ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”เสียงหัวเราะร่าของบอสทำเอาฉันอายม้านกว่าเดิมจนต้องยกมือปิดหน้า “รู้งี้เราล่อด้วยชาบูแต่แรกก็ดี” “อย่าแซ็วสิแค่ลืมตัว”ฉันยู่หน้า “ฮ่าๆๆโอเคครับ งั้นรายละเอียดเราไลน์หาอีกทีนะ มิรากลับไปพักเถอะ”บอสหัวเราะจนตาปิดก่อนจะหมุนตัวเดินผลุบออกจากห้องไปจึงเหลือแค่ฉันและยัยเบลที่ยังเก็บของไม่ทันเสร็จ “หึ”เสียงหัวเราะในลำคอของคนที่นั่งเงียบอยู่อีกฝั่งทำเอาฉันเผลอหันกลับมามอง “ขำไร”ฉันถามแล้วชักสีหน้าใส่ จะล้ออะไรฉันอีกล่ะ “ขำผู้หญิงเห็นแก่กิน ไหนบอกว่ากลัวนักกลัวหนาไงค่ายกฏหมายสัณจรอะไรนั่น พอผู้ชายบอกจะเลี้ยงชาบูดันตกลงอย่างไว”พูดกระแนะกระแหนฉันไม่พอยังเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้จนเกือบชิดใบหน้าฉัน จำได้ไงวะ ฉันพูดตั้งแต่ปีสองโน่นเลยนะไอ้เรื่องกลัวค่ายกฏหมายสัณจรอ่ะ “พูดตอนไหนไม่เห็นจำได้”ฉันแกล้งความจำเสื่อมแล้วเอนกายหนีก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ยัยนัดตี้เพื่อให้มันมารับ “ฮัลโหล เสร็จล่ะมารับหน่อยดิ”พอปลายสายตอบตกลงจึงหยยัดกายลุกออกจากเก้าอี้เดินหนีออกมาเมื่อเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าผ้าแล้ว หมับ! มือหนาเดินมาคว้าข้อแขนฉันไว้จนร่างฉันเสียหลักเซถลาหันกลับมามองคนตัวสูงตามแรงกระชากของอีกฝ่าย อะไรของหมอนี่อีกละเนี่ย? “มีไร”ฉันถาม แต่ก็พลันรู้สึกไม่ใจพอขึ้นมาเมื่อมองไปเห็นเบลที่ยืนห่างจากจุดที่ฉันกับเหนืออยู่ไม่ไกลมาก “เปล่า”ปฏิเสธหน้าตาเฉยแล้วจึงหันไปมองตามสายตาของฉัน”ไปกันเถอะเบล”เหนือบอกแล้วปล่อยมือจากแขนก่อนที่ทั้งคู่จะเดินผ่านหน้าไปขึ้นรถหรูที่จอดอยู่หน้าตึกกิจกรรม แม้จะเจอเหตุการณ์คล้ายๆแบบนี้มาตลอดสามปีหัวใจฉันกลับไม่ชินเอาซะเลย ตลอดเวลาที่ผ่านมาเมื่อเหนือเดินขนาบข้างไปกับผู้หญิงหน้าตาดี หุ่นสวยดีกรีดาวมหาลัยฯ ดาวเด่นแต่ละคณะฉันรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ทุกครั้ง เพราะกลัวว่าสิ่งที่ได้ยินคนอื่นลือกันมาจะเป็นเรื่องจริงทั้งหมด “…” บรื๊นนนนนนส์` ฉันรู้ ฉันรู้มาตลอดว่าเหนือควงใครบ้าง คั่วใครบ้าง และส่วนมากก็เป็นความสัมพันธ์แบบชั่วข้ามคืนหรือระยะสั้นนมากๆเท่านั้นฉันจึงยอมได้ ก็ฉันน่ะบอกกับตัวเองว่าตราบใดที่เหนือมันยังไม่ตอบตกลงคบกับใครจริงจังฉันก็ไม่มีทางยอมแพ้หรอก เฮ้อ~หัวอกคนชอบอยู่ฝ่ายเดียวมันแสนจะน่าเศร้า อ้อ! ลืมบอกสินะว่าฉันเรียนนิติฯส่วนเหนือเรียนอยู่คณะวิศวะฯเครื่องกล ฉันกับเหนืออยู่ปีสี่ทั้งคู่ และที่เราสองคนมาสนิทกันได้เป็นเพราะช่วงปีหนึ่งเทอมสองฉันไปช่วยงานค่ายอาสามหาลัยฯเลยเจอเหนือ ในตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นใคร แค่รู้สึกว่าเหนือหล่อดี ลองคิดดูสิว่ามีผู้ชายที่ส่วนสูงตั้งร้อยแปดสิบสามเซนฯ คิ้วดกดำ จมูกสวยรับกับหน้า แก้มกลมมีลักยิ้มลึกข้างซ้าย ตาสวย แถมนัยน์ตายังมีสเน่ห์มากกำลังแบกไม้แผ่นช่วยงานอาสาบนดอยอยู่ท่ามกลางแดดเกือบสี่สิบองศาโดยที่ไม่ได้ห่วงหล่อสักนิดมันจะดึงดูดใจมากแค่ไหน ยิ่งตอนที่แก้มขาวๆของมันโดนแดดแล้วเป็นสีชมพูพีชอ่ะนะโคตรจะน่ารักเลย พอกลับจากค่ายฉันจึงซื้อขนมฝากเพื่อนไปให้มันที่คณะทุกวัน แต่กว่าจะได้คุยกันอีกทีก็ตอนปีสองเพราะฉันมาช่วยงานสโมกลางฯส่วนเหนือเป็นพี่ว้ากมหาลัยฯ เลยได้คุยกันมากขึ้น รู้ตัวอีกทีก็สนิทกันไปแล้วแต่มันก็รู้นะว่าฉันชอบ โถ่ว จะไม่รู้ได้ไงเล่าในเมื่อฉันแสดงออกชัดเจนขนาดนี้ ถ้าปล้ำมันได้คงทำไปแล้ว แต่มันนี่ดิดันจัดโหมดให้ฉันชัดเจนมากว่าสำหรับมันฉันเป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้น หึ แต่คิดเหรอว่าฉันจะยอม ชอบมันมาตั้งสามปี จะให้ยอมแพ้เอาตอนนี้อ่ะนะ ฝันไปเถอะ!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD