intro
“มีคนตาย มีคนตาย!” เสียงของสตรีหวีดร้องดังมาจากซอกระหว่างตึกของโรงพยาบาล
จะว่าไปแล้วด้วยสถานที่อันเป็นปกติของการเจ็บป่วยและตาย คงไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไรหากจะมีคนตายที่โรงพยาบาล
ทว่าใบหน้าที่หวาดผวาถึงขีดสุดของผู้หญิงที่วิ่งออกมาจากซอกตึกนั้น ทำเอาคนไข้ที่นั่งรอคิวอยู่หน้าห้องบัตรถึงกับมองตามด้วยความฉงน บ้างก็ชะเง้อมองไปทางซอกตึกด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เจ้าหล่อนเป็นหญิงวัยกลางคนที่อยู่ในชุดพนักงานทำความสะอาด ทว่าผมที่ควรเก็บรวบให้ดูเรียบร้อย มาบัดนี้หลุดลุ่ยไร้ระเบียบ ทั้งเหงื่อกาฬก็แตกพลั่กอาบใบหน้าและท่วมทั่วไปทั้งร่างของเจ้าหล่อนด้วยความตื่นตกใจ
ก่อนที่พยาบาลคนหนึ่งจะคว้าท่อนแขนของพนักงานทำความสะอาดคนดังกล่าวเอาไว้ได้ คนไข้และญาติคนไข้ที่มารออยู่ด้านหน้าก็มองมาที่เธอเป็นตาเดียวจนยากจะจบเรื่อง
“มีคนตาย มีคนตกตึกตายอยู่ข้างหลังค่ะ!” หญิงคนดังกล่าวเอ่ยออกมาเสียงสั่นพร่า ก่อนจะคว้าแขนพยาบาลคนดังกล่าวเขย่าด้วยความตื่นกลัว
ไม่รอการสืบสาวราวเรื่อง บางคนที่อยู่ใกล้และมีความอยากรู้ก็พากันกรูไปทางซอกตึกที่หญิงคนนั้นวิ่งตาตื่นออกมา แล้วเสียงอื้ออึงที่ตามมาก็เรียกสายตาของคนที่อยากรู้คนอื่นๆ ให้ลุกจากที่นั่งตามไปดู
ทางระหว่างซอกตึกนั้นคับแคบเพียงพอให้เดินสวนกันได้เท่านั้น เป็นช่องทางเดินที่มิค่อยมีใครใช้ เนื่องจากเส้นทางนั้นมุ่งตรงไปยังโรงซักผ้าและห้องเก็บวัสดุภัณฑ์ทำความสะอาด ที่นอกจากพนักงานทำความสะอาด ก็จะมีเพียงคนไข้ที่ไม่รู้ทิศหลงเดินเข้าไป และจะต้องเดินกลับออกมาเพราะมันเป็นทางตัน
ทว่าที่สุดทางเดินก่อนถึงโรงซักผ้า ปรากฏร่างที่นอนคว่ำแน่นิ่งอยู่บนพื้นที่ปูลาดด้วยศิลาแลง สีแดงอมส้มของก้อนศิลาถูกย้อมด้วยสีแดงสดของโลหิตที่เจิ่งนองไปทั่วพื้นเป็นบริเวณกว้าง กลิ่นคาวคละคลุ้งจนคนอยากรู้ในตอนต้น พากันก้าวถอยอย่างยากจะทนดูด้วยนึกสะอิดสะเอียน
ร่างนั้นยากจะบอกได้ว่าเป็นใคร เพราะลักษณะที่นอนคว่ำแขนขาผิดรูป และเหมือนจะมีบางสิ่ง ‘แตกกระจาย’ ทำให้ยากต่อการวินิจฉัยในเบื้องต้น
แพทย์และเจ้าหน้าที่อีกหลายคนวิ่งฝ่าวงล้อมของฝูงชนที่ยัง ‘ใจกล้า’ ยืนดูร่างนั้นได้อย่างไม่สะท้าน อุปกรณ์ช่วยชีวิตพร้อมมือ ทว่ากลับกลายเป็นหม้ายเมื่อจับไม่พบชีพจร ทั้งรูปของศีรษะที่บุบและ ‘แตกกระจาย’ ทำให้แพทย์คนดังกล่าวมิคิดจะทำการช่วยชีวิตให้เสียเวลา
คนผู้นี้ตายเสียแล้ว!
ไทมุงเริ่มพากันถอยห่างเพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่ แต่เนื่องจากเป็นการตายที่ผิดวิสัย แพทย์หรือใครก็มิอาจเคลื่อนย้ายศพหากยังไม่ได้รับการอนุญาตจากตำรวจ
ร่างนั้นต้องนอนแน่นิ่งอยู่นาน กว่าร้อยเวรและพรรคพวกจะเดินทางมาถึง เหตุที่เกิดนำมาซึ่งความวุ่นวายเสียจนแพทย์ที่รอตรวจในห้องแทบจะนั่งจับเจ่า เพราะคนไข้ลืมสิ้นซึ่งความเจ็บปวด และเอาแต่ยืนเทียบๆ เคียงๆ อยู่ใกล้ๆ จุดเกิดเหตุ ด้วยอยากจะรู้ว่าคนที่นอนจมกองเลือดและมันสมองผู้นั้นเป็นใคร
“ใครพบศพเป็นคนแรกครับหมอ?” นายตำรวจหนุ่มหันมาเอ่ยถามกับแพทย์ที่กำลังสวมถุงมือยางอยู่ข้างๆ
ใบหน้าเลี่ยมเชี่ยมภายใต้กรอบแว่นหันหาผู้ถาม ก่อนจะหันไปทางฝูงชนด้วยหมายจะหาพนักงานทำความสะอาดที่เป็นคนพบศพ ทว่าคำตอบของผู้ช่วยในชุดเหลืองก็ทำให้ร้อยเวรนั้นเลิกสนใจพยานไปชั่วขณะ
“เป็นลมไปแล้วค่ะ”
นายตำรวจพยักหน้า ก่อนจะถอยออกห่างให้ร่างสูงของแพทย์ผู้ทำหน้าที่ จัดการพลิกร่างศพนั้นให้นอนหงายเข้าไปยังเปลหาม
แพทย์หนุ่มจับร่างที่คว่ำนั้นให้พลิกหงายอย่างไม่สะท้าน ใบหน้าของร่างไร้วิญญาณนั้นโชกชุ่มไปด้วยเลือดและบี้บุบจนมองไม่ออกว่าเป็นผู้ใด เสื้อเชิ้ตสีขาวของเขาตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงสดไปทั้งตัว แขนขาที่ผิดรูปนั้นออกจะทำให้จัดท่ายากอยู่สักหน่อย ทว่าแพทย์หนุ่มก็จัดการได้อย่างไม่ยี่หระ
ตำรวจสองคนที่ติดตามร้อยเวรมาด้วย ทำหน้าที่เก็บหลักฐานในบริเวณแล้วหนึ่ง อีกหนึ่งตามไปเฝ้าพนักงานทำความสะอาดที่ยังไม่ได้สติ ส่วนตัวร้อยเวรกำลังยืนกอดอกมองดูหมอหนุ่มจัดการกับศพอยู่เงียบๆ
“คนในโรงพยาบาลหรือเปล่าครับ?” เสียงของนายตำรวจเอ่ยถาม
“ไม่ทราบครับ” หมอหนุ่มตอบก่อนจะเริ่มลงมือค้นตัวศพ
นายตำรวจแหงนหน้าขึ้นมองไปยังตึกด้านบน ซึ่งเป็นช่องว่างระหว่างสองตึก ห่างกันประมาณเกือบสองเมตร เพราะถูกบีบด้วยพื้นที่อันจำกัด ทำให้ระยะห่างระหว่างตึกภายในโรงพยาบาลนั้นมิได้มากมายนัก
“ว๊าย! ฮือ...” เสียงร้องด้วยความตกใจของผู้ช่วยพยาบาล ดึงสายตาของนายตำรวจให้ก้มลงมามองที่เกิดเหตุอีกหน
แพทย์หนุ่มพยุงตัวลุกพร้อมกับยื่นบัตรประชาชนที่อยู่ในกระเป๋าของผู้ตาย ภาพถ่ายนั้นค่อนข้างชัดและเที่ยงตรง เป็นชายวัยกลางคนที่ดูภูมิฐาน
อนิจจา บัดนี้ร่างกายแหลกสลาย และชิ้นส่วนบางอย่างแตกกระจาย...
“เป็นใครครับ?” นายตำรวจย้อนถาม ก่อนจะรับเอากระเป๋าสตางค์ใบนั้นมาเปิดดูเพิ่มเติม แต่ระหว่างนั้น สีหน้าของผู้ช่วยพยาบาลและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ เริ่มไม่สู้ดี ต่างมองไปยังศพด้วยสายตาอาดูร บ้างถึงกลับยกมือขึ้นมาปิดริมฝีปากเพื่อข่มอาการสะอื้น
‘สุริยะ เตชะพัลลภ’
“ผู้อำนวยการโรงพยาบาลครับ” หมอหนุ่มตอบ ก่อนจะส่งบัตรประชาชนให้นายตำรวจ
ร้อยเวรขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เชื่อหู เขามองดูร่างที่นอนไร้วิญญาณบนเปลหามอย่างทึ่งๆ คิดไม่ถึงว่าผู้ที่ตายอย่างเอน็จอนาถในโรงพยาบาล จะกลายมาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลเสียเอง
หมอกร้ายได้เข้าครอบครุมอาณาบริเวรโรงพยาบาลโดยทั่ว การตายของท่านผู้อำนวยการอย่างปัจจุบันทันด่วนชวนให้เกิดข้อสงสัย
ตกลงมาได้ยังไง?
พลัดตก... ฟังดูไม่เข้าท่า ทว่าหมองูยังต้องสังเวยชีวิตเพราะงู แล้วนับประสาอะไรกับคนเคยคุ้นกับโรงพยาบาล จะพลั้งพลาดตายตกในโรงพยาบาลมิได้
ทว่าด้วยนิสัยของผู้ผ่านการเขี่ยวเข็ญว่าห้ามปักใจเชื่อเพียงประเด็นหนึ่งประเด็นใด เพราะทุกสิ่งอย่างล้วนเกิดขึ้นได้เสมอ ‘ผู้กองพิชวุฒิ’ จึงไม่หยุดที่จะตั้งข้อสันนิษฐานเพิ่ม
ฆ่าตัวตาย... อาจเป็นไปได้ ด้วยระยะนี้ข่าวดิ่งพสุธาของผู้ป่วยโรคซึมเศร้านั้นมากขึ้นจนยากจะนับด้วยนิ้วมือ
แต่ยังไม่อาจปักใจ ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นได้เสมอ
หรือจะ... ฆาตกรรม!