chapter 1 รักษาอาการทางกาย
‘น้ำทิพย์’ มีข้อสันนิษฐานในหัวมากมายเกี่ยวกับคนไข้ที่ตนต้องดูแล หลังจากได้รับแฟ้มประวัติของเขา สาวเจ้าก็อดไม่ไหวที่จะเสิร์ชหาข้อมูลเพื่อเตรียมตัวในเบื้องต้น เพราะนามสกุลของคนไข้นั้นช่างคุ้นหูคุ้นตาเหลือเกิน
‘รามราณรงค์’
“เดินเข้าไปจนพบห้องโถง จากนั้นให้คุณเปิดประตูไม้บานใหญ่ทางขวามือ อย่าลืมว่าต้องปิดประตูไม้บานนี้ก่อนจะเปิดประตูอีกบานเพื่อเขาไปด้านใน คุณมีเวลาหนึ่งชั่วโมงก่อนเวลาอาหารค่ำ หลังสัญญาณสั่นเตือนที่นาฬิกาข้อมือให้คุณกลับออกมาภายในสิบนาที ไม่อย่างนั้นประตูจะล็อคและคุณต้องติดอยู่ในนั้นสิบสองชั่วโมง และดิฉันคิดว่ามันคงไม่น่าสนุกเท่าไหร่” เจ้าหน้าที่ผู้นำทางน้ำทิพย์กล่าวอธิบายด้วยสีหน้าเรียบเฉยอีกทั้งน้ำเสียงก็ราบเรียบไร้อารมณ์
นักจิตวิทยาสาวเลื่อนมือขวาขึ้นมาสัมผัสนาฬิกาที่จะทำหน้าที่ส่งสัญญาณเตือนให้เธอรับรู้ถึงเวลาที่ควรออกมาจาก ‘ห้องบำบัด’ ทว่าหลังจากที่ได้ฟังคำเตือนจากปากของเขาและข้อห้ามที่เธอได้ศึกษามาจากคู่มือการปฏิบัติงาน เจ้าหล่อนอดจะคิดไม่ได้ว่าหลังประตูไม้บานใหญ่มีความน่ากลัวซุกซ่อนอยู่
“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ” กระนั้นน้ำทิพย์ก็ทำได้แค่กล่าวขอบคุณแล้วมองดูเจ้าหน้าที่ร่างผอมสูงคนนั้นเดินกลับออกไปตามทางเดินสีขาวที่เลี้ยวลดขดเคี้ยว
ขณะที่สองเท้าเล็กในรองเท้าผ้าใบสีขาวกำลังก้าวเดินไปตามทางของตน สาวเจ้านึกไปถึงบทความต่างประเทศของนักข่าวฝีปากกล้าชาวอเมริกาที่ถูกเขียนเอาไว้เมื่อแปดปีก่อน
‘ทายาทลำดับสองก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง CEO บริษัท RRR Construction ด้วยวัยเพียง 23 ปี เขาเป็นคนเก่งหรือเพียงเพราะเป็นลูกชายที่ยังสติดี?’
หัวข้อบทความที่ค่อนข้างแรงแต่เป็นการกล่าวถึงลูกชายคนเล็กของครอบครัว น้องชายผู้เป็นรองพี่ชายมาตลอดทั้งชีวิตไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียนที่เขาทำได้ดี แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นพี่ชายที่คว้าเกียรตินิยมจากออกซฟอร์ด
และนั่นเป็นเพียงเรื่องเดียวที่เธอค้นเจอเกี่ยวกับ ‘เขา’ คนไข้ที่อยู่หลังประตูไม้บานใหญ่ที่สูงเกือบสามเมตรทั้งยังติดตั้งกลไกล็อคอัจฉริยะ ที่จะเปิดก็ต่อเมื่อเธอเดินเข้าไปยื่นข้อมือขาวผ่องซึ่งสวมนาฬิกาที่มีระบบปลดล็อคใกล้ๆแท่นรับสัญญาณบนประตู แต่มันก็ยังไม่สามารถใช้เปิดปิดได้ตามใจชอบ การจะเข้าจะออกผ่านบานประตูนี้ยังต้องเป็นไปตามเวลาที่ส่วนกลางกำหนด ซึ่งวันนี้เธอมีเวลาหนึ่งชั่วโมง
กึก ฟรืดด...
ประตูบานใหญ่เปิดออก เผยให้เห็นประตูอีกบานที่อยู่ถัดไปประมาณห้าเมตร ดวงตาพราวระยับมองเข้าไปอย่างชั่งใจ ล็อคสองชั้นอย่างแน่นหนาเหมือนเป็นคุกขังนักโทษคดีรุนแรง
แต่กลับปล่อยให้เธอเข้าไปหาคนไข้ตามลำพังเนี้ยนะ!
สาวเจ้าสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด กระชับชาร์ตคนไข้ในอ้อมแขนจนมั่นก่อนจะก้าวขาเดินเข้าไปอย่างใจกล้าโดยไม่ลืมที่จะหันกลับมาปิดประตูบานแรกให้เรียบร้อยเสียก่อน
ประตูบานต่อมาเป็นเหล็ก ถูกล้อคเอาไว้ด้วยระบบยืนยันตัวตนด้วยการสแกนม่านตา แน่นอนว่าข้อมูลของน้ำทิพย์ถูกป้อนเข้าไปในระบบเป็นที่เรียบร้อย เพียงยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆกับช่องสแกน กลไกล็อคก็ถูกปลดออกในทันที
สาวเจ้าจับที่ก้านโยกขนาดพอดีมือ ตั้งจิตตั้งใจอีกหนก่อนจะเปิดประตูเข้าไปยังด้านใน ทว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้ากลับชวนให้ฉงนไม่น้อย
ห้องโล่งสีขาวขนาดประมาณห้าหรืออาจจะหกตารางเมตร กลิ่นอับชื้นอันเป็นสิ่งเฉพาะตัวของสถานที่ที่ไร้ช่องระบายอากาศชวนให้สนเท่ห์ ว่านี่มันสถานที่แบบไหนกันแน่ แล้วไหนละคนไข้ที่เธอต้องบำบัด?
แสงไฟสีขาวตกกระทบทุกส่วนในห้องแคบนั้น และมันคล้ายจะไม่มีอะไรอยู่ในนั้นเลยสักอย่างเดียว
สาวเจ้าทำใจกล้าเดินเข้าไปในห้องนั้น สองตาหันซ้านแลขวาอย่างพินิจพิจารณา แต่แล้วทันใดนั้นก็ต้องทรุดตัวลงกับพื้นเพราะพื้นที่เหยียบอยู่กำลังเคลื่อนตัวลงไปด้านล่างด้วยความเร็วอันชวนให้ใจหาย
ภาพประตูเหล็กที่ถูกเปิดทิ้งไว้เริ่มห่างออกไปทุกที ห่างมากจนมือของเธอคว้าเอาไว้ไม่ทัน ได้แต่นั่งคุกเขาและใช้สองมือดันพื้นเอาไว้ประคองตัวเองไม่ไห้ล้มเพราะการเคลื่อนที่อย่างไม่ทันตั้งตัวนี้
ฟิ้ว... ปึง!
ไม่นานนักพื้นก็หยุดลงพร้อมๆกับร่างเล็กที่ล้มกลิ้งไปด้านข้างเพราะแรงกระแทกที่มากกว่าจินตนาการ ช่างเป็นลิฟต์ที่ไม่ได้มาตรฐานและไม่ควรจะมีหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้จริงๆ
“โอ๊ย...” นักจิตวิทยาสาวอดจะร้องครวญไม่ได้ หน้าผากของเธอไปกระแทกเข้ากับพื้นเข้าพอดี และมันทำให้เนื้อขาวที่ควรจะผ่องใสของเธอเป็นรอยแดง
“ถือว่าดีกว่าคนอื่นๆนะ ส่วนใหญ่ถ้าไม่สลบก็อ๊วก” เสียงทุ่มต่ำดังมาจากสักที่ในระยะที่ไม่ห่างจากกันมาก
เสียงนั้นทำให้นักจิตวิทยาสาวรีบพยุงกายลุกขึ้นในทันที ทั้งยังไม่ลืมที่จะคว้าชาร์ตผู้ป่วยมาถือให้ดูภูมิฐาน สองตาเปิดกว้างมองดูภาพตรงหน้าอย่างไม่เชื่อในสายตาตัวเอง
“แล้วนี่... ผู้หญิงจริงๆใช่ไหม?” คำทักทายจากปากผู้ชายตรงหน้าทำเอาหญิงสาวถึงกลับสะอึกและเผลอกระชับชาร์ตปกปิดหน้าอกที่แบนราบราวไม้กระดานของเธอโดยไม่รู้ตัว
สายตาคู่คมที่คล้ายจะมีความน่าเกรงขามอยู่ทุกช่วงขณะ จมูกคมสันได้รูปช่างเหมาะเจาะกับริมฝีปากหนาและหยักได้รูป โครงหน้าเป็นเหลี่ยมสันอย่างชายชาตรีควรจะเป็น สีผิวของเขาน่าจะขาวกว่าเธออยู่เล็กน้อยด้วยซ้ำ
แล้วนี่...คนจริงๆใช่ไหม?
เป็นสิ่งที่นักจิตวิทยาอย่างเธออดจะสงสัยไม่ได้ คนเราจะดูเพอร์เฟคขนาดนี้ได้ยังไง นี่ขนาดเธอตัดร่างกายที่ดึงดูดไม่แพ้เครื่องหน้าออกไปแล้วแท้ๆ เขาก็ยังดูน่ามองจนแทบไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีคนที่สมบูรณ์เพอร์เฟคเช่นนี้อยู่บนโลก
“ถ้ายังไม่เลิกจ้องผมจะคิดค่ามองเป็นวินาทีแล้วนะ” ชายตรงหน้ายังคงเอ่ยต่อไปด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ใดๆ
“คนเราไม่ควรหวงความหล่อเอาไว้คนเดียวนะคะ แบ่งกันมองไม่เห็นจะเสียหาย” สาวเจ้าพยายามละลายพฤติกรรมกับคนไข้ของตนเอง
“ติดอยู่ที่ผมไม่ชอบแบ่งปัน และค่อนข้างขี้หวงอยู่มาก” ชายหนุ่มผู้นั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้บุกำมะหยี่เอ่ยอย่างใจเย็น ทว่าทุกถ้อยคำพยายามหักล้างคำพูดของหญิงสาวอย่างไม่ใยดี
น้ำทิพย์ที่พยายามทำลายบรรยากาศอึดอัดได้แต่หัวเราะในลำคอแก้เก้อ ผู้ชายตรงหน้าดูไม่คล้ายคนเสียสติสักนิด ออกจะห่างไกลจากคำนั้นเสียด้วยซ้ำ หรืออาการยังไม่ปรากฏตอนนี้
ไบโพลาร์? หลายบุคลิก?
“ฟังนะคุณหมอ ผมไม่คิดว่าคุณจะรักษาอาการป่วยของผมได้ แต่ไหนๆคุณก็ลงมาแล้ว จะใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงที่มีเพื่อเปลื้องผ้าแล้วรักษาอาการทางกายที่มันรบกวนใจผมมาสักระยะจะดีกว่า ถ้าคุณไม่ติดที่ผมจำเป็นต้องสอดใส่แบบไร้ถุงยางอนามัย ก็ถอดชุดเห่ยๆของคุณเสียตอนนี้ เพราะผมไม่ได้มีความอดทนอะไรมากมาย แต่หวังว่าหลังจากกลับขึ้นไปคุณจะช่วยรับผิดชอบชีวิตตัวเองด้วยการหายาคุมฉุกเฉินมากินซะ เท่านี้ก็ถือว่าดีล”
______________________________________________________________________________________
ดีลเลยดีไหมคะ เปิดเรื่องมาก็โจ๊ะพึมๆกันเลย น้ำหมากกระจายแต่หัววันเลยดีไหมคะ 5555
ฝากติดตามนิยายของทะเลดาวด้วยนะคะ ตรงไหนดีไม่ดีสามารถติชมได้นะงับ คำผิดมีบ้างต้องขออภัยฮะ ไรท์ตกไทยแบบกู่ไม่กลับ