Intro
Intro
โรงพยาบาล
ว่ากันว่า ‘ความรัก’ ไม่เคยทำให้ใครเจ็บปวด
หากแต่เป็น ‘คนรัก’ ต่างหากที่เป็นต้นเหตุของคราบน้ำตา
แต่ถ้าหากทุกอย่างเป็นเช่นนั้นแล้ว
ทำไมเสียงกู่ก้องกรีดร้องในหัวใจ...ยังเปี่ยมไปด้วยแรงปรารถนา
“พี่ยังไม่หลับใช่มั้ยคะ แค่กๆ”
น้ำเสียงแหบแห้งและเสียงไอโขลกจากเด็กสาวที่นอนอยู่บนเตียงทำให้ ‘คิมยองวอน’ ต้องปิดหนังสือเล่มเล็กในมือลงฉับพลัน สองเท้ารีบก้าวมาหยุดยืนอยู่ด้านข้างเตียง หางตาเหลือบมองนาฬิกาดิจิทัลที่ตั้งอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ ด้วยความรู้สึกประหลาดใจ หัวคิ้วหนาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาคมเข้มจะทำหน้าที่มองสำรวจใบหน้าที่ดูอิดโรยของน้องสาวด้วยความห่วงใย
‘คิมยองแอ’ เด็กสาวอายุเพียงเก้าขวบส่งมอบรอยยิ้มที่ดูอ่อนแรงให้กับเขา ยองแอเป็นเด็กร่าเริงสดใสและมักแบ่งปันรอยยิ้มที่ทำให้โลกน่าอยู่ให้กับคนรอบข้างเสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งในเวลาที่เธอกำลังนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล
“เรานั่นแหละ ทำไมถึงยังไม่นอน นี่มันจะเที่ยงคืนแล้วนะยองแอ” ยองวอนเปิดบทสนทนาระหว่างเขากับยองแอด้วยคำถามเชิงตำหนิ แต่แฝงเอาไว้ด้วยความห่วงใย ฝ่ามือแสนอบอุ่นคู่ที่เขาใช้มันโอบอุ้มและปกป้องเธอมาตั้งแต่เธอยังเด็กเอื้อมดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้เธอด้วยความอ่อนโยน
ก่อนหน้านี้ร่างกายของยองแอเคยมีน้ำมีนวลกว่านี้ ใบหน้าของเธอแจ่มใสกว่านี้ เส้นผมของเธอหนาและดกดำกว่านี้ แต่หลังจากเมื่อสามเดือนก่อนตรวจพบว่ามีโรคร้ายแฝงอยู่ในร่างกายของเธอ โรคร้ายนั่นก็ค่อยๆ กลืนกินความสดใสของเธอให้ลดหายไป
‘มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน หรือ ลิวคีเมีย (Acute lymphoblastic leukaemia)’ คือเหตุผลที่ทำให้ยองแอต้องกลายเป็นเด็กผู้หญิงที่น่าสงสาร แม้ว่าตัวเธอเองจะพยายามเข้มแข็ง รวมไปถึงทุกคนจะพยายามช่วยกันอย่างสุดความสามารถเพื่อจะรักษาเธอให้หายขาดจากโรคร้ายที่กำลังเผชิญ แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่ง่ายอย่างนั้น
ผลจากการถ่ายเลือดทำให้เธอเคยติดเชื้อในกระแสเลือด ผ่านวินาทีแห่งความเป็นความตายมาอย่างยากลำบาก แพทย์ต้องสั่งชะลอการรักษาเพื่อให้ร่างกายของเธอฟื้นตัวจากอาการติดเชื้อเสียก่อน รอจนอาการของเธอดีขึ้นจึงสามารถกลับมาทำการรักษามะเร็งด้วยการให้คีโม
แต่ผลปรากฏว่าร่างกายของยองแอตอบสนองกับตัวยาได้ไม่ดีเท่าที่ควร จึงทำให้ต้องเปลี่ยนตัวยาอยู่หลายครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งล้วนมีผลข้างเคียงที่ทำให้เธออ่อนแอลงเรื่อยๆ ทั้งอาเจียน ท้องเสีย ไข้ขึ้นสูง เส้นผมจากที่เคยหนาและดกดำก็เริ่มหลุดร่วงจนหมด ยองแอต้องใส่หมวกไหมพรมตลอดเวลา โดยมียองวอนเป็นคนเลือกแบบและสีสันสดใสแบบที่เธอชอบมาให้ บ่อยครั้งที่เขามักจะสวมมันเป็นเพื่อนเธอเพราะไม่ต้องการให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยว
“ฉันนอนไม่หลับน่ะค่ะ” ยองแอสารภาพเสียงแหบแห้ง รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอบอกได้ดีว่าเธอไม่โกหก
ยองวอนสังเกตว่าในค่ำคืนนี้ใบหน้าของยองแอดูซีดขาวกว่าคืนก่อน อาจเพราะเมื่อช่วงบ่ายเธออาเจียนจนหมดแรง แถมยังทานอะไรไม่ค่อยได้จนเขาเองก็ยังเป็นกังวลอยู่มาก
ยองวอนหย่อนก้นนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ เตียง สิ่งที่เขาทำเสมอเวลานั่งตรงนี้ก็คือจับมือของยองแอขึ้นมากุมเอาไว้ จ้องมองรอยยิ้มที่ขมขื่นของเธอนั้นด้วยหัวใจที่ปวดแปลบ
ถ้าเลือกได้ ยองวอนอยากจะเป็นคนที่รับเอาโชคร้ายทั้งหมดนั่นไว้เสียเอง อยากเป็นคนที่ตรวจพบเชื้อร้ายนั้นแทนเธอ สิ่งที่เขาเฝ้าอธิษฐานมาตลอดนับตั้งแต่วันที่รู้เรื่องคือขอให้ปาฏิหาริย์มีจริง สิ่งที่เขาปรารถนาและจะขอยอมแลกด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามี คือการได้เห็นรอยยิ้มที่สดใสของน้องสาวเพียงคนเดียวคนนี้อีกครั้ง
“พี่คะ”
“ไม่ต้องกลัว พี่จะอยู่ข้างๆ เธอ” ยองวอนปลอบด้วยน้ำเสียงอบอุ่นพร้อมกับก้มจูบเบาๆ ที่หลังมือของยองแอ หวังจะส่งผ่านกำลังใจทั้งหมดจากเขาไปถึงเธอ ขอให้มันช่วยทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยได้เหมือนกับที่เป็นมาตลอด
“ฉันไม่ได้กลัวค่ะ ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว พี่เองก็ไม่ต้องกลัวนะคะ ถ้าหากว่าพรุ่งนี้เกิดอะไรขึ้นกับฉันจริงๆ พี่ต้องเข้มแข็งนะ”
คำพูดของเด็กหญิงวัยเก้าขวบทำให้ยองวอนรู้สึกจุกอยู่ในอก
“จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอทั้งนั้นยองแอ ทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี” ยองวอนให้คำมั่นสัญญา แม้ลึกๆ แล้วเขาจะรู้ดีว่ามันเป็นถ้อยคำโกหก แต่ความกลัวที่ฝังอยู่ลึกในก้นบึ้งของหัวใจ จำเป็นต้องถูกซ่อนเอาไว้ให้อยู่ได้แค่เพียงในนั้น ไม่มีทางที่เขาจะแสดงออกมาให้เธอเห็นแน่นอน
“พี่คะ”
“พักผ่อนได้แล้ว พรุ่งนี้วันเกิดเธอแล้วนะ พี่เตรียมของขวัญเอาไว้ให้เธอด้วย” ยองวอนพยายามกลบเกลื่อนความกลัวในหัวใจของเขาด้วยรอยยิ้ม เขาลุกขึ้นยืนอีกครั้งพลางยกมือขึ้นลูบใบหน้าของยองแออย่างอ่อนโยน สายตาจับจ้องไปบนใบหน้าที่ซีดขาวราวกับกระดาษเอสี่ ริมฝีปากที่แห้งผากและเริ่มลอกเป็นขุยอย่างนึกห่วงใย
“พี่เองก็ต้องนอนด้วยเหมือนกันนะคะ ถ้าพี่ล้มป่วยขึ้นมา ฉันคงรู้สึกผิด” ยองแอหัวเราะขื่นๆ นัยน์ตาของเธอสั่นระริกชนิดที่ไม่สามารถฝังกลบความหวาดกลัวและเป็นกังวลได้อย่างที่พี่ชายเพิ่งจะทำให้เธอดูเป็นตัวอย่างเลยแม้สักนิด
“พี่จะอ่านหนังสือต่อสักหน่อยน่ะ แล้วเดี๋ยวจะรีบนอน”
“พี่คะ”
“อะไรอีก เอาแต่จ้อไม่หยุด เมื่อไหร่จะได้นอนสักที” น้ำเสียงของยองวอนเข้มขึ้นเมื่อเขาต้องการจะยุติบทสนทนา เพราะเขารับรู้ดีว่าหากพูดคุยกันมากกว่านี้ ทุกอย่างจะต้องเข้าสู่โหมดดราม่าแน่ๆ และเขาไม่ต้องการให้สถานการณ์มันแย่ลงไปกว่านี้อีกแล้ว
“สัญญาอะไรกับฉันหนึ่งข้อได้มั้ยคะ”
“พี่จะไม่สัญญาอะไรกับเธอทั้งนั้นยองแอ และจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย นอน-ได้-แล้ว” ยองวอนเน้นทีละคำ ถึงแม้น้ำเสียงจะออกคำสั่ง หากแต่สายตาของเขากลับอ่อนโยนและเอ็นดูเธออย่างสุดซึ้ง
“รักพี่ค่ะ”
“พี่ก็รักเธอ”
แสงไฟภายในห้องดับลง เหลือเพียงโคมไฟแอลอีดีสำหรับอ่านหนังสือบนโต๊ะกลางด้านหน้าโซฟารับรองเท่านั้นที่ยังส่องแสงสว่างอยู่
ยองวอนเดินกลับมานั่งลงที่โซฟาอีกครั้ง หากแต่สายตากลับไม่ได้จ้องมองไปยังหนังสือที่เขาอ่านค้างเอาไว้ เพราะตอนนี้สิ่งเดียวที่สามารถดึงความสนใจไปจากเขาได้ทั้งหมดก็คือยองแอ
คืนนี้เธอสวมหมวกไหมพรมสีฟ้าอ่อนที่เขาเพิ่งซื้อมาให้ใหม่เมื่ออาทิตย์ก่อน และกำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงที่รอบด้านมีแต่อุปกรณ์ทางการแพทย์เต็มไปหมด สองแขนของเธอโอบกอดตุ๊กตาหมีเน่าเอาไว้แน่นราวกับว่ามันเป็นสิ่งมีค่าและหวงแหนมันที่สุดในเวลานี้
Rrrr~
โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ใกล้กันกับหนังสือที่ยองวอนอ่านค้างไว้เมื่อก่อนหน้านี้สั่นขึ้นเรียกเสียงถอนหายใจจากยองวอนได้เฮือกใหญ่ ก่อนที่สายตาของเขาจะเบิกโพลงขึ้นเช่นเดียวกับความกระตือรือร้นที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อกดรับสาย แม้จะรู้ดีว่าตอนนี้การพักผ่อนของเขาเองก็เป็นเรื่องที่ควรจะรีบทำ
“ข่าวดีรึเปล่าบอนซอง” ยองวอนยิงคำถามใส่อีกฝ่ายแทนการกล่าวคำทักทายตามปกติ น้ำเสียงของเขาไม่สามารถปิดบังความตื่นเต้นได้ แม้จะพยายามสะกดกลั้นมันไว้เพราะกลัวว่าเสียงของเขาจะทำให้คนที่นอนหลับอยู่ตื่นขึ้นมาเพราะถูกรบกวน
[ก็ไม่เชิง] ปลายสายตอบเสียงเรียบ ก่อนจะถอนหายใจทิ้งท้ายประโยคบอกเล่านั่นเสร็จสรรพ
“หมายความว่ายังไง”
[ก็หมายความว่ามันมีทั้งข่าวดีแล้วก็ข่าวไม่ดีน่ะสิ เอาเป็นว่านายฟังฉันให้ดีๆ ก็แล้วกันนะยองวอน ฉันอยากให้นายคิดดูให้ดีอีกรอบ ความจริงแล้วเรื่องยองแอน่ะ ฉันว่า...]
“ที่ฉันอยากรู้คือนายมีของที่ฉันต้องการรึเปล่า ตอนนี้ดึกมากแล้ว ยองแอหลับอยู่ ฉันไม่อยากรบกวนการนอนของเธอ”
ข้ออ้างของยองวอนทำให้คนปลายสายทำเสียงลมหายใจฮึดฮัด แต่ก็พอจะเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่เพื่อนรักต้องการ
[มี พรุ่งนี้เก้าโมงฉันจะเอาไปให้นายที่โรงพยาบาลก็แล้วกัน]
“ขอบใจ”
[เดี๋ยวยองวอน]
แม้บอนซองจะรู้ดีถึงเจตนาและความต้องการของยองวอน แต่เขาก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ ทั้งที่รู้ดีว่าไม่ว่าเขาจะพูดยังไงอีกฝ่ายก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจ และก่อนหน้านี้เขาเองก็เคยพยายามจะเตือนมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ยังอยากจะลองดูอีกซ้ำๆ และจะลองจนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้ายที่จะสามารถทำได้
“ฉันขอบใจนายมากบอนซอง นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดที่ฉันมี ถ้านายไม่รังเกียจ ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ฉันก็อยากจะขอเป็นเพื่อนกับนายแบบนี้ต่อไป”
[ฉันไม่เคยรังเกียจนายเลยยองวอน นายเลิกแปลเจตนาของฉันผิดสักทีเถอะ ที่ฉันพูดทั้งที่รู้ว่ามันจะทำให้นายรำคาญก็เพราะฉันมองเห็นทางเลือกอื่นที่มันดีกว่าสิ่งที่นายกำลังเลือกอยู่เท่านั้น]
“อย่าลืมเรื่องที่นายรับปากฉันเอาไว้ว่าจะดูแลยองแอเป็นอย่างดีล่ะ เธอรักและเคารพนายมากนายก็รู้ แล้วพรุ่งนี้ฉันจะรอนายอยู่ที่โรงพยาบาล” ยองวอนตัดบทสนทนาให้สั้นลงเหลือเพียงแค่นั้นก่อนที่เขาจะกดวางสายในทันที
จังหวะการบีบและคลายตัวของก้อนเนื้อขนาดเท่ากำปั้นในอกหนักหน่วงขึ้นจนรู้สึกได้ ลำคอของยองวอนแห้งผาก ทั้งตื่นเต้นและตื่นกลัวในเวลาเดียวกัน
ข่าวดีจากบอนซองทำให้เขามีความหวังที่จะได้เห็นรอยยิ้มที่สดใสของยองแอส่องประกายวิบวับขึ้นมาอีกครั้ง แม้ว่ามันจะริบหรี่ แต่ยองวอนมั่นใจว่าเขาจะทำทุกอย่างให้เต็มความสามารถ แม้จะต้องแลกมาด้วยการถูกบดขยี้ทั้งร่างกายและหัวใจก็ตาม...