ตอนที่ 8 คำขอโทษที่มาช้าเกินไป

1311 Words
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในช่วงสายของวันอาทิตย์ ดารัญมองชื่อบนหน้าจอแล้วลังเล ชื่อของกัลยาทำให้หัวใจเธอสั่นไหวเล็กน้อย เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจกดรับ “สวัสดีค่ะคุณแม่” ปลายสายมีเสียงเงียบไปครู่ ก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ “หนูว่างไหมจ๊ะ แม่อยากให้ลูกแวะไปหาตาวินที่บ้านหน่อย มีบางอย่างที่แม่อยากให้ลูกคุยกับเขา” “คุยเรื่องอะไรเหรอคะ” “แม่ขอเถอะลูก มาคุยต่อหน้าได้ไหม อย่าเพิ่งถามตอนนี้ แม่เองก็ไม่รู้ว่าจะบอกหนูอย่างไร” ดารัญเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเสียงเบา “ค่ะ หนูจะไป” เมื่อไปถึงบ้านของกัลยา เธอพบว่าบ้านว่างเปล่า มีเพียงผู้ชายที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสามี และเป็นทั้งโลกของเธอ เขาใส่เสื้อเชิ้ตเรียบๆ และมองเธอด้วยแววตาที่ไม่เคยมีมาก่อน อ่อนโยน อ่อนแรง และสำนึกผิด “ขอบคุณที่มา” เขาเอ่ยเสียงเบา “มีอะไรจะพูดก็พูดเถอะค่ะ” เธอยืนอยู่ห่างๆ ไม่ยอมเข้าไปนั่ง เขาเดินไปหยิบกล่องเล็กๆ จากโต๊ะ แล้วเปิดเผยให้เห็นแหวนแต่งงานที่เธอถอดวางไว้ก่อนไป “ผมอยากเริ่มต้นใหม่กับคุณ” เธอเงียบ น้ำตารื้นในดวงตา แต่ไม่ใช่เพราะดีใจ เป็นเพราะคำพูดเหล่านั้นมาช้าเกินไป รวมถึงสรรพนามที่แสนสุภาพนั้น เขาไม่เคยใช้กับเธอก่อนหน้านี้ “คุณรู้ไหมคะ ตอนคุณบอกว่าคุณไม่ได้รักฉัน มันเจ็บแค่ไหน” เธอยิ้มเศร้า “ตอนนั้นคุณบอกว่าคุณก็แค่ซื่อสัตย์กับหัวใจของตัวเอง แล้ววันนี้ฉันก็กำลังทำแบบนั้นเหมือนกันค่ะ” “หมายความว่ายังไง…” เขาถามเสียงสั่น “ขอโทษนะคะ ตอนนี้ฉันไม่ได้รักคุณอีกแล้ว” เขาใช้ประโยคที่เขาเคยบอกเธอมาใช้กับเขาบ้าง สีหน้าของเขาเปลี่ยนทันที เหมือนถูกดึงโลกทั้งใบออกจากใต้ฝ่าเท้า “ชีวิตฉันตอนนี้ลงตัวแล้ว ฉันไม่อยากกลับไปเป็นตัวสำรองของใครอีก ไม่อยากกลับไปเป็นผู้หญิงที่ต้องรอให้ใครมารัก” เธอกลั้นน้ำตาอย่างเข้มแข็ง “คุณเคยเลือกความรักของตัวเองเหนือทุกอย่าง ตอนนี้ถึงตาฉันบ้าง” เธอยังคงพูดต่อ ในขณะที่เขาแทบพูดอะไรไม่ออก เขาคิดว่าเธอคงดีใจมากที่เขาขอเธอให้กลับมา แต่กลายเป็นว่าเธอไม่สนใจเขาด้วยซ้ำ เขาก้าวเข้ามาใกล้ แต่เธอก้าวถอย “ดารัญ” เขาเรียกชื่อเธอเสียงเบา “เราสองคนยุติสถานะสามีภรรยากันแล้วนะคะ สามปีที่ผ่านมาคุณชดเชยด้วยเงินสิบล้านให้ฉันแล้ว เราสองคนไม่มีอะไรติดค้างกันอีก ลาก่อนค่ะ” เธอหันหลังให้เขาเป็นครั้งสุดท้าย เหมือนที่เคยทำในวันที่จากมา แต่คราวนี้เธอไม่ได้ร้องไห้อีกแล้ว หลังจากประตูปิดลง ธาวินทร์นั่งอยู่ในห้องรับแขกเงียบๆ ในใจเขากลับหนาวเหน็บกว่าทุกครั้ง กล่องแหวนยังอยู่ตรงหน้า เขาหลับตาพยายามเรียบเรียงความคิดภาพของเธอ ในวันแต่งงาน วันครบรอบที่เธอรอเก้อ อาหารมื้อเย็นที่เธอจัดโต๊ะไว้ทุกวัน แม้เขาจะกลับดึกหรือไม่กลับเลย เสียงหวานๆ ที่ถามเขาว่าเหนื่อยไหม มือที่ยื่นยาให้เวลาที่เขาเป็นไข้ เธอไม่เคยเรียกร้อง ไม่เคยบังคับ ไม่เคยโกรธเกรี้ยว เพราะเธอ...รักเขา สามปีที่เขาปล่อยให้เธออยู่คนเดียวในความสัมพันธ์ สามปีที่เขาใช้ความเงียบทำร้ายเธอทุกวัน บุญวาดกลับมาจากตลาด เธอเดินผ่านเขาไปทางห้องครัว แต่ถูกเรียกเอาไว้ก่อน “พี่วาด” “คะคุณวิน” บุญวาดชะงักเท้า “พ่อแม่ของดารัญเสีย พี่รู้หรือเปล่า” “รู้สิคะ ฉันยังไปช่วยเสิร์ฟน้ำแขกด้วย” “แล้วทำไมไม่มีใครบอกฉัน” เขาถามเสียงเรียบ แววตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง “คุณรัญบอกแล้วนะคะ ตอนนั้นคุณวินก็พยักหน้ารับแล้วด้วย แต่... วันงานคุณวินก็ไม่ได้ไป พอคุณรัญโทรตามก็โทรไม่ติด เลขาคุณวินบอกว่าคุณวินบินไปต้อนรับลูกค้าที่สิงคโปร์” บุญวาดบอกเท่าที่เธอจำได้ ธาวินทร์นิ่งไป เขาโบกมือให้แม่บ้านกลับไปทำหน้าที่ของตน จากนั้นก็หัวเราะในลำคอเบาๆ ด้วยความสมเพช สมเพชตัวเองที่ไม่ใส่ใจดารัญ จนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในชีวิตของเธอ ************************ เย็นวันพุธ อากาศเริ่มเย็นลงเล็กน้อยเพราะฝนตกในช่วงบ่าย ดารัญเดินลงจากรถพร้อมด้วยกระเป๋าใส่หนังสือพะรุงพะรัง เธอมองเลขบ้านตรงหน้าแล้วกดกริ่งประตู ประตูเปิดออกพร้อมเสียงใสๆ “คุณแม่มาแล้ว!” เอวาวิ่งออกมาด้วยท่าทางดีใจ มือเล็กๆ ดึงมือเธอเข้าไปในบ้านอย่างไม่รีรอ พร้อมเรียกเธอว่าแม่ ดารัญไม่ได้อึดอัดนัก แต่เธอรู้สึกเห็นใจเด็กหญิงมากกว่า หริณเดินออกมาจากครัวเมื่อได้ยินเสียงลูกสาวเขายิ้มบางๆ ขณะเช็ดมือลงบนผ้าเช็ดจาน “ขอบคุณที่มานะครับ วันนี้เอวาตื่นเต้นตั้งแต่เช้า เลิกเรียนบ่ายสามก็เอาแต่ถามถึงคุณ” “ฉันก็ตื่นเต้นเหมือนกันค่ะ ไม่ได้สอนเด็กตัวเล็กมานานแล้ว” เธอยิ้มให้เขา “เอวา ต้องเรียกว่าคุณน้านะครับ” “ไม่ค่ะ เอวาจะเรียกว่าคุณแม่” เด็กน้อยไม่ยอม กอดอกแล้วทำแก้มป่องอย่างคนที่ขัดใจ “ให้เอวาเรียกเถอะค่ะ ฉันไม่ได้ติดอะไร” เธอบอกเขาแล้วยิ้มเอ็นดูเด็กน้อย “ไม่ได้หรอกครับ แบบนี้คุณรัญเสียหายแย่ แล้วเอวาเองก็จะติดนิสัย เวลาคุณรัญไม่อยู่อาจจะงอแงหนัก” เขาอธิบายถึงปัญหาที่จะตามมาให้เธอเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังฝึกให้ลูกสาวยอมรับความจริง “งั้นเอวาเรียกน้าว่า น้ารัญ ดีกว่า... ได้ไหมคะ” “ได้ค่ะ เอวาเชื่อฟังน้ารัญ” โต๊ะเตี้ยๆ ถูกจัดไว้ในห้องนั่งเล่นพร้อมหนังสือฝึกอ่านภาษาอังกฤษ ดารัญกับเอวานั่งลงด้วยกัน เสียงหัวเราะค่อยๆ แทรกแซงบทเรียน และทุกนาทีก็ดูเหมือนจะเบากว่าที่ใจเธอเคยรู้สึกมาหลายเดือน หลังสอนเสร็จ เอวาก็ยังนั่งอยู่ใกล้ๆ ไม่ยอมปล่อยมือ “น้ารัญจะอยู่ทานข้าวกับเอวาไหมคะ” ดารัญกำลังจะปฏิเสธ แต่หริณพูดขึ้นก่อน “ผมทำอาหารง่ายๆ ไว้แล้ว ไม่ได้เลิศหรูอะไร แต่ถ้าคุณไม่รีบกลับ อยากให้คุณอยู่ด้วยกัน” ดารัญนิ่งไปเล็กน้อย บ้านหลังนี้ไม่หรูหรา แต่สะอาด อบอุ่น และเงียบสงบ มันไม่มีความอึดอัดแฝงอยู่ในคำชวนนั้น “งั้นฉันจะอยู่ค่ะ” เธอรับปาก ทำให้เด็กหญิงกระโดดไปมาด้วยความดีใจ ทั้งสามนั่งที่โต๊ะอาหารเล็กๆ ถูกจัดไว้กลางห้อง อาหารบนโต๊ะมีผัดผัก หมูทอด และไข่ตุ๋น เอวานั่งกินไปคุยไป ส่วนหริณก็ตักกับข้าวให้ลูกเรื่อยๆ “ไม่คิดว่าคุณจะยอมอยู่กินข้าวง่ายๆ แบบนี้นะครับ แล้วยังเป็นฝีมือบ้านๆ อีก” “อาหารที่ทำด้วยใจ มันอร่อยกว่าเยอะค่ะ อีกอย่างมันควบคุมคุณภาพและเครื่องปรุงได้เอง” “ครับ เอวาแพ้ผงชูรส ผมเลยต้องทำอาหารเองเป็นส่วนใหญ่ และโรงเรียนเองก็มีนโยบายไม่ใส่ผงชูรสอยู่แล้ว ผมจึงวางใจได้ในระดับหนึ่ง” เธอพยักหน้ารับฟัง อาหารนี้รสชาติธรรมดา แต่สำหรับเธอแล้วมันไม่ใช่แค่อร่อย แต่ว่ากินแล้วยังรู้สึกอบอุ่นอีกด้วย ************************
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD