เสียงโทรศัพท์มือถือของดารัญดังขึ้นในขณะที่เธอกำลังจัดเสื้อผ้าใส่ตู้กับสิริญา เธอชะงักทันทีที่เห็นชื่อบนหน้าจอ
คุณแม่
ไม่ใช่แม่แท้ๆ ของเธอแต่เป็นมารดาของธาวินทร์ ผู้หญิงคนเดียวที่เคยกอดเธอแน่นในวันแต่งงาน และมองเธอด้วยแววตาอ่อนโยนอยู่เสมอ
ดารัญลังเลเล็กน้อย ก่อนจะกดรับสาย เสียงแม่สามีฟังดูสั่นไหวอย่างชัดเจน
“ดารัญลูก… แม่เพิ่งเห็นข่าว…” เสียงนั้นแฝงความตกใจและสับสน ดารัญกลืนน้ำลาย ก่อนเอ่ยอย่างใจเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ค่ะ ลูกพีชกลับมาแล้วค่ะ แม่คงรู้แล้วใช่ไหมคะ ว่าคุณวินเลือกจะยุติทุกอย่างกับหนูแล้ว”
อีกฟากของสายเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะมีเสียงถอนหายใจยาว
“แม่ขอโทษลูก แม่ไม่รู้ว่าเขาจะใจร้ายกับหนูขนาดนี้ แม่ไม่รู้เลยว่าลูกต้องอดทนแค่ไหนตลอดสามปีที่ผ่านมา”
ดารัญยิ้มบางๆ แม้รอยยิ้มนั้นจะเต็มไปด้วยรอยร้าว แต่มันก็แฝงความสงบ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูรู้มาตลอดว่าวันนี้ต้องมาถึง หนูแค่หวังลึกๆ ว่า บางทีความดีหรือความพยายามจะเปลี่ยนใจเขาได้” เธอหยุดพูดไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ขึ้น
“แต่หนูเข้าใจแล้วค่ะ ว่ารักมันไม่ใช่เรื่องของความพยายามเพียงฝ่ายเดียว”
ปลายสายยังเงียบดารัญจึงยิ้มอีกครั้ง พลางกล่าวเบาๆ
“ขอบคุณนะคะที่แม่เคยเมตตาและเอ็นดูหนู หนูไม่อยากให้การจากลาครั้งนี้ทิ้งความขุ่นเคืองอะไรไว้เลย ขอบคุณทุกอย่างจริงๆ ค่ะ”
“ดูแลตัวเองนะลูก” เสียงนั้นสั่นเครือจนแทบฟังไม่ชัด ก่อนที่สายจะถูกตัดไป
เธอวางโทรศัพท์ลงเบาๆ แล้วหลับตา น้ำตาหยดสุดท้ายร่วงลงจากขอบตา แต่เธอไม่ได้ปาดมันทันที เธอปล่อยมันไหล เหมือนปล่อยเศษซากสุดท้ายของหัวใจ
สิริญาเดินเข้ามากอดเธอจากด้านหลัง กิ่งแก้วกับชรัญรัตน์ที่เหลือในห้องต่างก็เดินเข้ามาล้อมไว้แล้วช่วยกันพูดปลอบใจเธอ
“ถึงเวลาแล้วรัญ แกต้องรักตัวเองเหมือนที่เคยรักเขา”
“แกอยากมีรักเดียวใช่ไหม ก็เริ่มจากการรักตัวเองให้สุดก่อนเลย”
“อย่าเสียใจเลยนะเว้ย แกยังมีพวกฉันอยู่”
ดารัญยิ้มออกมาในที่สุด
“เขามีรักแรก… ส่วนฉันก็มีรักแรกของฉันเหมือนกัน และคนแรกที่ฉันควรรักที่สุดในชีวิตก็คือตัวเองนี่แหละ”
และในวินาทีนั้น หญิงสาวผู้เคยยอมทุกอย่างเพื่อความรัก ก็เริ่มต้นเรียนรู้ที่จะยอมรับการรักตัวเองอย่างสง่างาม
แม้เธอยังไม่รู้ว่าทางข้างหน้าจะเจอใคร แต่สิ่งที่แน่นอนคือ จากนี้ไป เธอจะไม่ขอไล่ตามหัวใจใครอีกแล้ว
************************
กระจกเงาบานใหญ่สะท้อนภาพหญิงสาวผู้เคยอ่อนหวานในเดรสลูกไม้สีครีมและไว้ผมยาวดัดเป็นลอนอย่างอ่อนหวาน
ตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นหญิงสาวในเสื้อยืดแขนสั้นเรียบง่ายกับกางเกงยีนเอวสูง ผมสีน้ำตาลเข้มที่เพิ่งย้อมใหม่เรียงเส้นตรงเรียบ สะท้อนประกายอ่อนของแสงแดดยามบ่าย
ไม่ต้องความพยายามจะเป็นคนในฝันของใครมีเพียงแค่ดารัญในแบบที่เธออยากเป็น
เธอหันซ้ายหันขวา มองดูตนเองในมุมที่เธอไม่เคยได้เห็นตลอดสามปีที่ผ่านมา ริมฝีปากคลี่ยิ้มอย่างบางเบา ขณะที่สายตานั้นกลับแน่วแน่และนิ่งสงบ
“แบบนี้แหละ ตัวฉันจริงๆ”
เธอเคยไว้ผมยาวดัดลอนเป็นคลื่นอ่อน เพราะเขาชอบผู้หญิงแบบนั้น เธอเคยแต่งตัวเรียบร้อย อ่อนหวาน เพื่อให้เหมาะสมกับฐานะภรรยาของนักธุรกิจดัง เธอเคยทำทุกอย่างเพียงเพื่อจะได้เข้าไปอยู่ในหัวใจของเขาสักเสี้ยวหนึ่ง
แต่สุดท้ายเธอตระหนักว่า ไม่มีใครควรต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้ใครมารัก
เธอสไลด์ผมให้บางลง ยืดตรงแบบที่ชอบมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย สีผมน้ำตาลเข้มไม่ใช่แฟชั่น แต่เป็นสีที่เธอมองแล้วรู้สึกว่า นี่แหละตัวเธอ เสื้อผ้าที่สวมอยู่ไม่จำเป็นต้องหรูหรา แต่สบายพอให้เธอหายใจได้เต็มปอด
ดารัญเดินออกจากร้านทำผมพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ แดดยามเย็นส่องกระทบใบหน้าเธอที่ไร้เมคอัพ แต่กลับดูสง่างามอย่างแปลกประหลาด
หญิงสาวผู้เคยพยายามยืนข้างใครสักคน วันนี้เลือกจะยืนให้มั่นในจุดของตัวเอง และมันรู้สึกเบาสบายอย่างไม่น่าเชื่อ
เธอใช้ลุคใหม่ที่ดูทะมัดทะแมงและมั่นใจนี้ไปสมัครงานในวันต่อมา ดารัญใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกระโปรงสุภาพและเรียบง่ายเดินเข้าไปในโรงเรียนอนุบาลเอกชนขนาดกลาง พร้อมแฟ้มสะสมผลงานในมือ แม้ไม่มีประสบการณ์โรงเรียน แต่เธอเคยสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ให้เด็กหลายคน และมีใบประกาศการอบรมการสอนเด็กเล็กจากหลักสูตรออนไลน์
หัวหน้าฝ่ายบุคคลเปิดแฟ้มดูเอกสารเงียบๆ อีกฝ่ายเป็นหญิงวัยกลางคน สวมแว่นตาและมีสีหน้าท่าทางสุภาพ
“เราดูจากโปรไฟล์คุณแล้ว คุณดูตั้งใจจริงนะคะแต่ทางโรงเรียนมีนโยบายรับครูที่มีประสบการณ์สอนในระบบ หรือมีวุฒิด้านการศึกษาค่ะ”
ดารัญยิ้มบางๆ กลบความผิดหวังในใจ
“ฉันเข้าใจค่ะ” เธอลุกขึ้น ยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม ก่อนเดินจากมาอย่างเงียบๆ เสียงรองเท้ากระทบพื้นสะท้อนในทางเดินโล่งๆ หัวใจเธอก็ว่างเปล่าไม่ต่างกัน
หญิงสาวถอนหายใจ เพราะนี่คือโลกแห่งความจริงที่ต้องเรียนรู้
“ไม่เป็นไรดารัญ เธอแค่เริ่มต้นใหม่ ถ้าโรงเรียนนี้ไม่เปิดประตูให้ เธอก็จะเคาะประตูอื่นต่อไป”
ดารัญเดินออกมาจากห้องธุรการของโรงเรียนอย่างช้าๆ หัวใจที่เพิ่งถูกปฏิเสธยังรู้สึกหนักอึ้ง แม้จะเตรียมใจก่อนมาแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำว่าไม่รับก็ยังอดรู้สึกว่างเปล่าไม่ได้
ท่ามกลางทางเดินโล่งในโรงเรียน เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเล็กๆ วิ่งเข้ามา
“แม่คะ” เสียงแหลมเล็กดังขึ้น ก่อนที่ร่างเล็กของเด็กหญิงคนหนึ่งจะโถมเข้ากอดเธอเต็มแรง
ดารัญเบิกตากว้าง รีบประคองร่างเล็กนั้นไว้ไม่ให้ล้ม
“เอ๊ะ...หนู...หนูเข้าใจผิดแล้วจ้ะ น้าไม่ใช่แม่ของหนูนะคะ”
“ฮึก...แม่ไม่มาหาหนูเลย...เพื่อนๆ มีแม่กันหมด หนูไม่มีใครเลย...ฮือ…” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตรื้นน้ำตา หัวใจของดารัญบีบรัดในทันที เด็กหญิงตัวเล็กกอดเธอแน่นเหมือนกลัวว่าเธอจะหายไป
ก่อนที่เธอจะพูดอะไรออกมา เสียงฝีเท้าของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นตามมาอย่างเร่งรีบ
“ขอโทษครับ เห็นลูกผมหรือเปล่า…คุณครูบอกว่าเธอวิ่งออกมาอยู่ทางนี้” เขาหยุดชะงักเมื่อเห็นดารัญที่ยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาของเขาดูตกใจเล็กน้อยที่ลูกสาวกำลังร้องไห้และเกาะเธอไม่ปล่อย
“ขอโทษจริงๆ นะครับ เอวามาหาพ่อมา” เขาขอโทษเธอแล้วอ้าแขนออกรอรับลูกสาว
“ไม่ไป เอวาจะอยู่กับแม่”
“เอ่อ ขอโทษด้วยนะครับ ภรรยาผมเสียตั้งแต่คลอดลูก ยัยหนูเลยไม่เคยมีโอกาสได้รู้จักคำว่า ‘แม่’ จริงๆ วันนี้เป็นวันแม่ โรงเรียนจัดกิจกรรมให้แม่มาร่วมกิจกรรมกับลูกๆ …” เขาพูดไม่จบเสียงก็เงียบไป เหมือนกำลังกลืนก้อนสะอื้นบางอย่างลงไป
ดารัญมองดูเด็กหญิงที่ยังสะอึกสะอื้นเงียบๆ ใจเธออ่อนยวบลง
“งั้นวันนี้น้าจะเป็นแม่ให้หนูหนึ่งวันดีไหมคะ”
เด็กหญิงชะงักน้ำตา มองหน้าเธอด้วยดวงตาที่เปื้อนน้ำตาและความหวัง จากนั้นก็ค่อยๆ ยิ้มออกมา แล้วพยักหน้าหงึกๆ
************************