กว่าจะไปถึงที่หมู่บ้านเจียงอันที่อยู่ทางเหนือของหมู่บ้านอันจิ้งก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ตอนแรกหลินเสี่ยวเหยาจะขอพักที่บ้านญาติฝ่ายบิดาที่อยู่หมู่บ้านเดียวกัน แต่เพราะสถานะหย่าร้างของเธอทำให้ไม่ได้รับการต้อนรับที่ดี หญิงสาวจึงตัดสินใจไปที่บ้านหลังเดิมของตนเพื่อที่จะพักที่นั่น
เมื่อไปถึงเธอก็พบว่าสภาพบ้านที่ไม่ได้อยู่มาสามปีนั้นทรุดโทรมพอสมควร ประตูบ้านยังดูแข็งแรงดี แต่กลอนขึ้นสนิมแล้ว
เมื่อย่างเข้าไปด้านในก็มองดูตัวบ้านที่ตั้งอยู่ตรงหน้า บ้านสกุลหลินที่เคยอบอุ่นและพร้อมหน้า บัดนี้ถูกทิ้งร้างขาดคนดูแล บ้านเก่าหลังนี้เต็มไปด้วยความทรุดโทรม ทั้งหลังคาที่แตกร้าว ผนังที่อับชื้นและมีตะไคร้เกาะเต็ม พอเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าทุกอย่างยังอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่มีฝุ่นเกาะเต็มไปหมด
“มีเพียงผนังด้านนอกและหลังคาเท่านั้นสินะที่ต้องซ่อมแซม” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่โล่งใจ ภายในเพียงแค่ทำความสะอาดเช็ดถูก็พออยู่ได้แล้ว
หลินเสี่ยวเหยาอาศัยความทรงจำของคนเดิมตรงไปที่ห้องนอนของเธอ เตียงนอนและตู้เก็บเสื้อผ้าทุกอย่างยังอยู่ที่เดิม แต่เธอไม่ได้ต้องการใช้ห้องนี้ จึงเดินสำรวจไปที่ห้องนอนหลักของบ้านที่มีขนาดใหญ่และกว้างกว่า ตัดสินใจใช้ห้องนี้เป็นห้องนอนของเธอ
“เอาล่ะ ต้องทำความสะอาดห้องนี้ก่อน” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง จากนั้นก็เริ่มลงมือทำความสะอาดห้องนอนเดิมของมารดา แม้จะลำบากหน่อยที่อยู่ตัวคนเดียว แต่เธอรู้ว่านี่คือสิ่งที่หลินเสี่ยวเหยาคนเดิมต้องการ นั่นคือการออกจากสกุลหลี่และกลับมาที่บ้านอย่างอิสระ
เธอนำผ้ามาปิดปากและจมูกแล้วทำการปัดฝุ่นตามซอกมุมต่าง ๆ จากนั้นก็กวาดพื้นห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่นผง ก่อนจะทำแบบเดิมซ้ำอีกครั้งเพื่อให้ดูสะอาด
ตอนนั้นเองก็มีเสียงเรียกชื่อเธอจากหน้าบ้าน หลินเสี่ยวเหยาจึงเดินออกไปดู พบว่ามีผู้ชายที่วัยไล่เลี่ยกับเธอยืนยิ้มอยู่ที่หน้าประตูบ้าน
ความทรงจำเกี่ยวกับเขาผุดขึ้นมา ใบหน้าของเขาดูคุ้นเคยแม้จะไม่ได้พบกันมาหลายปีแล้ว
“อาเหยา เป็นเธอจริง ๆ ด้วย” ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงประตูบ้านยิ้มให้เธอ
นั่นคือ ไป๋เจิ้งฉวน เพื่อนในวัยเด็กของหลินเสี่ยวเหยาที่เคยเรียนหนังสือและเล่นด้วยกันในหมู่บ้านเมื่อหลายปีก่อน ก่อนที่เขาจะย้ายออกไปทำงานในเมืองใหญ่
“ไป๋เจิ้งฉวน นายทำไมถึงกลับมาล่ะ นี่ไม่ใช่ช่วงเทศกาลนี่” หลินเสี่ยวเหยาแทบไม่เชื่อสายตา
“ฉันกลับมาทำงานที่บ้านเกิดน่ะ พอดีได้ยินข่าวว่าเธอกลับหมู่บ้าน ฉันก็เลยคิดว่าจะมาช่วยดูบ้านที่เธอกำลังซ่อมแซม” ไป๋เจิ้งฉวนยิ้มเบา ๆ ตอนนี้เขากลับมาทำงานที่หมู่บ้านหลังจากที่ได้ทำงานสะสมประสบการณ์ด้านก่อสร้างมาเป็นเวลาหลายปี
“ข่าวแพร่ไปไวเสียจริง” เธอพูดแล้วยิ้มให้เขา รู้ว่าเขารักษามารยาทที่ไม่ถามเรื่องการหย่าของเธอ ซึ่งก็แน่ล่ะว่าเขาต้องรู้ ถ้าเรื่องที่เธอกลับมาที่หมู่บ้านถูกพูดจนไปถึงหูของเขา เรื่องหย่าของเธอสหายผู้นี้ก็ต้องรู้เช่นเดียวกัน
“ให้ฉันช่วยดูให้นะ”
“อืม เบื้องต้นก็มีแต่หลังคาเท่านั้นและ แล้วก็ผนังที่ต้องทาสีใหม่ กลอนประตูหน้าต่างที่ขึ้นสนิม นอกนั้นก็ไม่มีอะไรมาก” เธอบอกเขาเท่าที่ตนเองสำรวจด้วยตาเปล่า พร้อมกับถอนหายใจ การซ่อมบ้านทั้งหลังไม่ใช่เรื่องง่าย
ไป๋เจิ้งฉวนมองไปรอบ ๆ บ้านและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“บ้านนี้เก่ามากนะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะซ่อมไม่ได้ ฉันมีเครื่องมือและวัสดุที่ช่วยให้ทำงานนี้ได้ง่ายขึ้น หากเธอไม่ขัดขวาง ฉันจะช่วยซ่อมแซมให้ไม่คิดค่าแรง ฉันเอาแค่ค่าวัสดุก็พอ”
“เธอจะช่วยฉันจริง ๆ เหรอ” หลินเสี่ยวเหยาอึ้งไปนิด ไม่เคยคิดว่าเขาจะมาช่วยเธอ
“แน่นอน ฉันไม่อยากเห็นเธอต้องเหนื่อยเพียงลำพัง” ไป๋เจิ้งฉวนตอบอย่างมั่นใจ แววตาของเขาดูจริงจังและเต็มไปด้วยความจริงใจ
หากเป็นหลินเสี่ยวเหยาคนเดิมคงไม่คิดอะไร แต่เธอเป็นสาวสมัยใหม่ แน่นอนว่าเธอเข้าใจแววตาของเขาดี ไป๋เจิ้งฉวนผู้นี้มีใจให้แก่หลินเสี่ยวเหยาอย่างแน่นอน
“แต่วันนี้เย็นมากแล้ว คงยังไม่ได้ทำอะไรมาก ฉันทำความสะอาดห้องแค่ให้ได้นอนในคืนนี้น่ะ” เธอบอกเขาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินสำรวจไปทั่ว
“อืม คืนนี้ฉันจะให้เสี่ยวจวงมานอนเป็นเพื่อนเธอเอง ส่วนฉันจะนอนเฝ้าหน้าเรือนให้ ให้เธอนอนคนเดียวในบ้านที่ประตูกลอนพังแบบนี้ฉันไม่วางใจ” เขาพูดถึงน้องสาวของเขาที่อายุห่างกันเกือบสิบปี
“อืม ขอบใจนายมากนะเจิ้งฉวน” เธอพูดขอบคุณเขาจากใจ ไม่คิดเลยว่าจะมีสหายที่จริงใจกับเธอแบบนี้
หลังจากเดินดูรอบ ๆ บ้านแล้ว ชายหนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดก็พบว่าการชำรุดนั้นมีไม่มากแต่ก็ไม่น้อยเลยทีเดียว
“จริงอย่างเธอว่า หลังคามีกระเบื้องร้าว ผนังบ้านยังดีแต่มีตะไคร่น้ำเกาะต้องขูดออกแล้วทาสีใหม่ พื้นบ้านเธอก็แตกร้าวแล้วนะต้องทำใหม่ หรือไม่ก็ใช้เสื้อน้ำมันปูทับไว้ชั่วคราว เพราะถ้าทำพื้นใหม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเยอะแน่ แล้วก็กรอบประตูหน้าต่างเป็นไม้พวกนี้บวมแล้วนะ ต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด รวมถึงกลอนประตูหน้าต่างด้วย” สิ่งที่เขาไล่มาอย่างละเอียดทำให้เธอถึงกับเอามือทาบอกด้วยความตกใจ
“นี่บ้านพังขนาดนี้เลยเหรอ”
“อืม แต่ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะช่วยเหลือเธอเอง บอกแล้วไงว่าไม่คิดค่าแรง” เขาพูดแล้วส่งยิ้มให้เธอวางใจ
“อืม ขอบใจจะเจิ้งฉวน นายนี่พึ่งพาได้จริง ๆ” เธอพูดแล้วยิ้มด้วยความยินดี ถึงอยากปฏิเสธแต่ก็รู้ว่าเขาคงไม่ยอมรับ เธอจึงต้องรับน้ำใจของเพื่อนวัยเยาว์คนนี้เอาไว้
ในตอนค่ำไป๋เจิ้งฉวนกลับมาอีกครั้งพร้อมกับน้องสาววัยสิบสองขวบและซาลาเปาที่นำกลับมาให้เธอกินเป็นมื้อเย็น
“ขอโทษนะ ที่บ้านฉันไม่ได้เตรียมกับข้าวไว้ เหลือแค่ซาลาเปาสองลูกนี้”
“แค่นี้ก็ดีแล้ว ขอบใจนายมากจริง ๆ ขอบใจเธอด้วยนะเสี่ยวจวงที่จะมานอนเป็นเพื่อนฉัน” เธอรับซาลาเปาจากเขาแล้วหันไปพูดกับเด็กหญิงที่ติดตามมา
“ด้วยความยินดีค่ะพี่เสี่ยวเหยา พี่เจิ้งฉวนบอกว่าพี่นอนคนเดียวไม่ปลอดภัยจึงจ้างฉันด้วยลูกกวาดหนึ่งกำมือให้มานอนด้วยจนกว่าจะซ่อมแซมกลอนเสร็จ” เด็กน้อยพูดตามซื่อ เรียกเสียงหัวเราะจากหม้ายสาวหมาด ๆ ได้เป็นอย่างดี
ไป๋เจิ้งฉวนเองก็ยิ้มออกมาที่ถูกเปิดเผยวิธีการของเขาที่ว่าจ้างให้น้องสาวมาอยู่เป็นเพื่อนเธอ จากนั้นจึงพูดเข้าเรื่องการซ่อมแซมบ้านเพื่อกลบเกลื่อนความในใจ
“จริงสิ พรุ่งนี้จะเริ่มจากการซ่อมหลังคาและเปลี่ยนประตูหน้าต่างนะ ฉันกับพ่อแล้วก็แฝดโจวจะมาช่วยกัน สี่คนช่วยกันทำสองวันก็เสร็จ จากนั้นก็ค่อยเริ่มทำส่วนอื่น ๆ” เขาอธิบายกับเธอ
“ส่วนฉันก็จะช่วยพี่เสี่ยวเหยาทำความสะอาดบ้านค่ะ” ไป๋จวงจวงเสนอความช่วยเหลือแล้วยิ้มมองพี่ชายอย่างมีผลประโยชน์
“งั้นพรุ่งนี้ฉันจะทำอาหารเลี้ยงทุกคน ตอบแทนที่ช่วยเหลือฉัน” เธอพูดด้วยความเกรงใจ หากมีไป๋เจิ้งฉวนคนเดียวก็ไม่เป็นไร แต่พอมีคนอื่นด้วยเธอก็ต้องมีอะไรตอบแทนพวกเขา
************************