๓
ดักลอบต้องหมั่นกู้ เจ้าชู้ต้องหมั่นเกี้ยว
ลลิตาลอบมองเสี้ยวหน้าคมเข้มที่เต็มไปด้วยหนวดเคราขณะที่อีกฝ่ายกำลังขับรถพาไปส่งที่อพาร์ตเมนต์ มองจนอีกฝ่ายหันกลับมาแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม คนแอบมองรีบหลบสายตาแล้วเมินมองไปข้างทางด้วยความอับอายที่ถูกจับได้ว่าแอบมอง
เรืองฤทธิ์ยิ้มที่มุมปาก แล้วหันไปมองทางตามเดิมพลางบอก
“มองหน้าทำไม ฉันหล่อขึ้น หรือว่าแก่ลง...”
คำถามของเขาทำให้หญิงสาวหันไปมองอีกฝ่ายอย่างพินิจ ชายหนุ่มหันมายิ้มให้หล่อนแวบหนึ่งแล้วหันกลับไป เขาไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงเลย เมื่อก่อนเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น หนวดเคราก็เช่นเดียวกัน...
หญิงสาวหลบสายตาของคนที่มองมาอีกครั้ง รู้สึกร้อนวาบที่ผิวแก้ม
“คุณยังเหมือนเดิมทุกอย่างค่ะ”
คำตอบของหญิงสาวทำให้คนฟังหัวเราะออกมาเบาๆ
“ส่วนเธอไม่.. เธอเปลี่ยนไปมาก แต่เปลี่ยนไปในทางที่ดี”
คำตอบของชายหนุ่มทำให้คนที่ก้มหน้ากุมมือเข้าหากันเงยขึ้นมองเขา หัวใจเต้นแรงด้วยความรู้สึกไหววาบ จนไม่กล้าคิดว่ามันคือความรู้สึกใดกันแน่
หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็เงียบกันจนมาถึงที่พักของลลิตา หญิงสาวไหว้ลาและขอบคุณเขาที่มาส่ง แต่เมื่อหันหลังลงจากรถ ท่อนแขนกลมกลึงถูกมือใหญ่หยาบจับเอาไว้จนเจ้าของหันกลับไปมองเขาด้วยความแปลกใจ รู้สึกร้อนวาบบริเวณที่ถูกสัมผัส...
“ขอบใจนะ”
คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน ต้องเป็นหล่อนไม่ใช่หรือที่ควรเอ่ยคำนั้น
“เรื่องอะไรคะ”
เรืองฤทธิ์ยิ้มให้กับเจ้าของท่าทางงงงัน ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า
“เหตุการณ์เมื่อห้าปีก่อน...”
หัวใจดวงน้อยกระตุกวาบ นั่นยิ่งไม่สมควรที่เขาจะขอบใจหล่อน หญิงสาวมองเขา เกิดความสับสนในเวลาเดียวกัน...
ใบหน้าอ่อนใสแสดงออกอย่างชัดเจนว่างุนงงและค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเรื่อ จนคนมองแววตาพราวไหว
เขาคงรู้ว่าหล่อนอาย แต่จะรู้ด้วยหรือไม่ว่านอกจากอายยังรู้สึกละอายแก่ใจทุกครั้งที่คิดถึง ยิ่งถูกกระตุ้นความทรงจำครั้งเก่าก็ทำให้รู้สึกอับอายจนต้องหลบสายตา
“ขอบใจที่ทำให้ฉันตาสว่าง”
คำตอบที่ดังข้างๆ ทำให้คนที่ก้มหน้างุดเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตสบดวงตาคมเข้มแล้วใจไหววาบ ก่อนจะเบือนสายตามองออกไปข้างนอก...
“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ” หญิงสาวยกมือไหว้อีกฝ่าย ก่อนจะหันไปเปิดประตูรถ ทว่ากลับต้องชะงักลงอีกครั้งเมื่อเสียงทุ้มลื่นหูดังขึ้น
“เราจะได้พบกันอีกไหม”
หัวใจของลลิตากระตุกรอบที่ร้อยนับตั้งแต่พบหน้าเรืองฤทธิ์ หล่อนยังจำสายตาโกรธเหมือนไฟไหม้ป่าได้ไม่ลืม แต่มาวันนี้ แววตาดุดันคู่นั้นกลับแปรเปลี่ยน...
“ไม่รู้ค่ะ ฉันต้องทำงาน ไม่ค่อยมีเวลา คง...ไม่ได้เจอกันอีก”
บอกอย่างตัดใจ จึงได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจของอีกฝ่ายดังขึ้น หญิงสาวไม่แม้จะกล้าสบตาเขา แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะเอ่ยอะไรออกมาสักคำร่างบอบบางก็ผลักประตูรถของเขาเปิดกว้างแล้วปิดลงหนักๆ ก่อนจะยกมือขึ้นโบกลาเขาสองสามครั้งแล้วเดินแกมวิ่งหายเข้าไปในตัวอาคารที่พักอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เจ้าของรถกระบะนั่งมองอยู่อย่างนั้น ครู่ต่อมาจึงส่ายหน้ายิ้มๆ บอกตนเองอย่างแน่วแน่ว่าการพบกันครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน
ลลิตาเดินออกมายังระเบียงห้อง มองลงไปที่หน้าอาคารแล้วถอนหายใจยาว
เขาไปแล้ว...และคงไม่ได้พบกันอีก
หญิงสาวก้มหน้าลง แล้วหมุนตัวเดินคอตกกลับเข้าห้องด้วยอาการหงอยเหงา
เสียงหมาเห่าอยู่หน้าบ้านในช่วงบ่ายแก่ๆ ทำให้คนที่นอนหลับอยู่ในเปลใต้ถุนบ้านสะดุ้ง ใบหน้าคมเข้มยู่ยี่บ่งบอกว่าเพิ่งตื่น ยกมือขยี้ตามองก่อนจะขยับตัวนั่งเพ่งสายตาไปยังหน้าบ้าน พอเห็นว่าเป็นใครเขาก็ส่งยิ้ม แต่คนที่ก้าวตามมาต่างหากที่ทำให้ต้องมองซ้ำ
“ไงฤทธิ์ หลับอยู่เรอะ” นางน้อยยิ้มแป้น ขณะหันไปมองลูกสาวของคนรู้จัก เรืองฤทธิ์มองตามสายตาของน้าสาว ก่อนจะยิ้มให้นางแล้วลุกขึ้นจากเปล
“ตื่นพอดีน้า นั่งก่อนสิ” เขาไม่ได้บอกแค่นางแต่หมายรวมถึงสาวหน้าตาดีอีกคนที่มากับนางด้วย
นางน้อยหันไปพยักหน้าให้วันเพ็ญก้าวตามไปที่แคร่ ขณะที่ร่างสูงใหญ่ของเรืองฤทธิ์เดินหายไปครู่หนึ่ง ก่อนกลับออกมาพร้อมกับกระบอกน้ำและแก้วสองใบ
วันเพ็ญลอบมองผู้ชายที่ป้าน้อยเคยไปคุยให้แม่และพ่อตนฟัง จนท่านทั้งสองอยากพบเจอชายหนุ่ม วันนี้ท่านให้หล่อนนำผักผลไม้มาฝาก จึงเป็นโอกาสเหมาะที่นางจะพาหญิงสาวมาทำความรู้จักกับหลานชายของตน
“นี่ลูกสาวนังพา เป็นเพื่อนน้า ชื่อวันเพ็ญ”
ชายหนุ่มรับไหว้หญิงสาว อีกฝ่ายยิ้มเขินเมื่อสบตาเขา ชายหนุ่มจึงหันไปสบสายตาน้าน้อย ฝ่ายนั้นขยิบตาให้ เขาจึงรู้ทันว่าอีกฝ่ายพาสาวหน้าตาดีมาให้ดูตัว
“วันนี้ผ่านมาแถวนี้ นังพาเลยให้ลูกสาวแวะเอาของมาฝาก”
นางวางถุงผลไม้ลงบนแคร่ ชายหนุ่มหันไปมองหญิงสาว
“ขอบใจนะวันเพ็ญ”
วันเพ็ญยิ้มตอบ แก้มสีการะเกดค่อยๆ ซับสีเลือด เรืองฤทธิ์เลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง แล้วหลุบนัยน์ตาลง คิดถึงแก้มใสๆ ของใครอีกคนแทน...
“น้ามีธุระอะไรกับผมด้วยหรือเปล่า” เขาหันไปมองคนที่นั่งยิ้มเหมือนมีความนัยด้วยสายตารู้ทัน
“เปล่าๆ แค่แวะมาเฉยๆ เอ้อ! พอจะมีส้มโอเหลือไหม วันนี้น้ายุทธเอ็งบ่นเปรี้ยวปากอยากกิน” บอกพลางชำเลืองตาไปทางวันเพ็ญ เพียงแค่นั้นเรืองฤทธิ์ก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
เขาขยับตัวแล้วลุกขึ้นยืนทันที
“มีสิ ทั้งสวนเนี่ย” เขากล่าวยิ้มๆ พลางมองไปที่ วันเพ็ญแล้วบอก “เดี๋ยวจะเก็บมาเผื่อวันเพ็ญด้วย ฝากไปให้พ่อกับแม่กินนะ”
วันเพ็ญหลบสายตาคมปราบอย่างขวยเขิน ขณะที่นางน้อยลอบยิ้มพอใจ จะมีก็แต่เรืองฤทธิ์เท่านั้นที่ต้องแอบผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ ก่อนจะยิ้มออกมาจางๆ เป็นรอยยิ้มที่ออกจะดูเนือยๆ เสียด้วยซ้ำ แล้วหมุนตัวตรงไปยังสวนข้างบ้าน ไม่ลืมหยิบฉวยถังใต้โคนไม้ติดมือไปด้วย ร่างสูงใหญ่ก้าวยาวไปที่สะพานแคบๆ ทำข้ามร่อง ไม่นานก็หายเข้าไปในดงส้มโอ
นางน้อยชะเง้อมองตามก่อนจะหันมายิ้มให้ลูกสาวเพื่อนแล้วกระซิบถาม
“เป็นไง เข้าทีใช่ไหมล่ะพ่อฤทธิ์ของป้า”
วันเพ็ญแก้มแดงเรื่อขึ้นทันที แรกเลยหญิงสาวอิดออดที่จะมาตามคำสั่งของแม่ แต่เมื่อได้พบหน้าค่าตาหลานชายของนางน้อย สิ่งที่เคยไม่พอใจต่างๆ นานาก่อนหน้านี้มีอันตกไปจนสิ้น
“พี่ฤทธิ์ไม่มีแฟนแน่เหรอป้า คนลักษณะอย่างนี้ไม่น่าจะยังอยู่เป็นโสดนะ”
นางน้อยหันไปทางสวนส้มโอ พลางถอนหายใจเฮือก
“ฤทธิ์มันเคยมีแฟน ถ้าไม่ทิ้งมันไปเสียก่อนก็คงได้ตบแต่งสมใจ มีลูกมีเต้ากันไปนานแล้วละเพ็ญเอ๊ย”
วันเพ็ญละสายตาจากนางน้อยหันไปมองยังสะพานที่พาเรืองฤทธิ์หายไป ในหัวใจและความคิดเริ่มมีเงาของชายหนุ่มชัดเจนขึ้นทุกวินาที เพราะนับแต่แวบแรกที่สบนัยน์ตาคมกริบของเขา หญิงสาวบอกตนเองทันทีว่าผู้ชายคนนี้นี่แหละที่หล่อนรอคอยมานานแสนนาน ลักษณะแบบนี้ รูปร่างแบบนี้และหน้าตาอย่างนี้ มีหรือที่ผู้หญิงจะปฏิเสธ แล้วหญิงสาวก็กวัดไปถึงผู้หญิงที่ทอดทิ้งเขาไป บอกตนเองในใจว่า
ผู้หญิงคนนั้นโง่! ผู้ชายขยันขันแข็งและแสนดีแบบนี้ยังทิ้งไปได้ อยากรู้นักว่าผู้ชายที่ผู้หญิงคนนั้นไปพบเจอใหม่จะเลิศเลอสักเพียงไหนกัน แต่ก็ดี หากไม่เช่นนั้น วันนี้หล่อนคงไม่มีโอกาสได้รู้จักกับเขา
ระหว่างที่ตัดผลส้มโอใส่ถัง ชายหนุ่มคิดถึงวันวาน บริเวณนี้เคยมีร่างของสองแม่ลูกที่ช่วยกันดูแลต้นส้มโอ สาวน้อยที่ตอนนั้นเขาไม่เคยมองหล่อนมากไปกว่าลูกสาวคนงาน แต่เวลานี้กลับมามีอิทธิพลเหนือความคิดของเขาไปเสียได้ ชายหนุ่มส่ายหน้ายิ้ม มือใหญ่หยาบเอื้อมประคองส้มโอผลโตเอาไว้ในมือ ลูกนี้สวย น้ำหนักดี แค่คลำดูก็รู้ว่าข้างในเนื้อแน่น กรุบกรอบและหวานฉ่ำ ริมฝีปากสีเข้มปรายยิ้ม ก่อนจะตัดออกจากขั้วแล้วบอกตนเองอย่างหมายใจว่าเขาจะเอาไปฝากลลิตาสักกระสอบ!
ความคิดของหนุ่มใหญ่โลดแล่นไปไกลยามคัดผลส้มโอใส่ถัง ไม่นานนักร่างสูงๆ ก็ก้าวออกมาพ้นสวน วันเพ็ญขยับกายนั่งหลังตรงทันทีที่ชายหนุ่มก้าวเข้ามายังใต้ถุนที่ตนและนางน้อยนั่งอยู่
“นั่นตัดมาเสียเยอะแยะเลย” นางน้อยร้องทัก ใบหน้าเจือยิ้ม เรืองฤทธิ์ยิ้มตอบขณะวางถังส้มโอลงกับพื้นดิน
“เดี๋ยวผมใส่ถุงให้” เขาบอก แล้วเดินตรงไปยังกองเข่งที่วางซ้อนกันอยู่หลายสิบใบ รื้อๆ ค้นๆ อยู่ไม่นานก็เดินกลับมาพร้อมกับถุงก๊อบแก๊บสองใบ เขาหยิบส้มโอใส่จนเต็ม ถุงหนึ่งส่งให้นางน้อย อีกถุงส่งให้วันเพ็ญ
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอ่ยขอบคุณเสียงเบา รอยยิ้มแต้มใบหน้าสวยเรียบไม่จางหาย
“ไม่เป็นไร วันหลังถ้าอยากกินก็แวะมาหาได้นะ ผมให้ฟรี ไม่ต้องซื้อหา” เขาเอ่ยอย่างใจป้ำ ทำเอาน้าน้อยยิ้มแก้มปริ
“เห็นไหมเพ็ญ ฤทธิ์มันใจดี” นางพยักพเยิดกับหญิงสาว ทำให้หลานชายเขม้นตามองอย่างจับผิด ระหว่างเขาหายไปพักใหญ่ ไม่รู้น้าน้อยโฆษณาชวนเชื่ออะไรเอาไว้บ้าง
“เห็นว่าเป็นคนกันเองหรอกน้า นี่ถ้าไม่รู้จักกันผมก็ขายเอาตังค์เท่านั้นเอง” เขาพูดทีเล่นทีจริง เลยถูกนางน้อยค้อนขวับ
“เชอะ! ทำมาปากดี น้าเห็นเอ็งก็เที่ยวแจกเขาไปทั่วนั่นแหละวะไอ้ฤทธิ์”
เรืองฤทธิ์หัวเราะพรืด มันก็จริงของน้าน้อย ใครผ่านมาผ่านไปแวะมาเยี่ยมมาหา เขามักยัดส้มโอฝากกลับบ้านคนละถุงสองถุงประจำ ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก เขาก็ให้มาหมดแล้ว
“ก็ของเราเต็มสวน แบ่งๆ กันกินบ้างจะเป็นไรไป”
เขาเปรยเบาๆ พลางก้าวไปนั่งลงบนแคร่ข้างนางน้อย มองออกไปทางหน้าบ้าน ทำให้ผู้หญิงต่างวัยทั้งสองมองเขาด้วยสายตาชื่นชม
เพราะเรืองฤทธิ์มีน้ำจิตน้ำใจเช่นนี้อย่างไรเล่า ถึงได้มีแต่คนรักเขาทั้งนั้น ยกเว้นแม่ผู้หญิงหัวใหม่ อดีตคนรักของเรืองฤทธิ์นั่นแหละ ที่หลงแสงสีชิงหนีไปแต่งกับคนรวยในเมืองกรุง แล้วทิ้งให้เรืองฤทธิ์อกกลัดหนองอยู่นานสองนาน
แต่ก็ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้เช่นเห็นชาติกันเป็นแน่แท้!
เสียงถอนหายใจดังของน้าน้อยทำให้เรืองฤทธิ์หันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“เป็นอะไรน้า ถอนหายใจเสียงดังเชียว” เขาเอ่ยถาม โดยไม่ลืมสบตากับวันเพ็ญยิ้มๆ ฝ่ายนั้นยิ้มตอบ ผิวแก้มเป็นสีเข้มขึ้น จนเขาต้องเบือนสายตากลับมามองเพียงแค่นางน้อยเท่านั้น ด้วยไม่อยากให้ความหวังใครอื่นอีก เพราะคนที่เขาอยากให้หวัง ป่านนี้คงกำลังทำงานของหล่อนอยู่ จะมีสักเสี้ยววินาทีไหม ที่จะหวนคิดถึงเขาบ้าง ผู้ชายใจร้ายที่ครั้งหนึ่งเคยไล่หล่อนกับแม่ออกจากงานโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน...
“เฮ้อ…” คราวนี้เป็นฝ่ายเจ้าของบ้านหนุ่มบ้างที่ถอนหายใจ จนผู้มาเยือนทั้งสองต่างหันมามองเขาเป็นตาเดียว
“อะไรวะฤทธิ์ เลียนแบบกันหรือไงวะ” นางน้อยเอ่ยกระเส้า เรืองฤทธิ์ได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ พลางบอก
“ก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ว่าแต่น้าไม่รีบเอาส้มโอไปให้น้ายุทธหรอกหรือ”
คำถามของชายหนุ่มทำให้คนเป็นน้าค้อนขวับ ขณะที่รอยยิ้มของวันเพ็ญเจื่อนลง เขาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เพราะมีสิ่งที่อยากทำต่อจากนี้เหมือนกัน
“แหม ไม่ต้องรีบไล่หรอก”
เรืองฤทธิ์ทำหน้าเป็น เขายิ้มให้นาง ขณะที่อีกฝ่ายผุดลุก แล้วยิ้มออกมาอีกครั้ง
“รู้จักกันเอาไว้เสียนะสองคนนี้น่ะ เผื่อไปเจอะเจอกันที่อื่นจะได้ทักทายกันถูก คนกันเองทั้งนั้น” นางพยายามมองตาหลานชาย ฝ่ายที่นั่งยิ้มก็ยิ้มเฉย เขาไม่ปฏิเสธหรือตอบรับความรู้สึกของหญิงสาว เพราะไม่อยากให้ใครมาเสียความรู้สึกกับตนภายหลัง
“เดี๋ยวผมเดินไปส่งน้า” เขาว่าพลางผุดลุก แล้วก้าวไปส่งคนทั้งสองจนถึงหน้าบ้าน วันเพ็ญหันกลับมามองเขาอีกครั้ง พลางบอก
“ขอบคุณนะคะ” เอ่ยพลางยกส้มโอในถุงขึ้นนิดหนึ่ง
“วันหน้าหากผ่านไปแถวบ้าน แวะไปเยี่ยมกันบ้างนะคะ”
เรืองฤทธิ์สบนัยน์ตาคู่หวานที่มองมาอย่างมีความหมายแล้วยิ้มตอบ
“ได้สิ เอาไว้ผมผ่านไปจะเอาส้มโอไปฝาก” พูดจบก็หันไปมองนางน้อยที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ยิ้มอะไรน้า วันนี้แปลกๆ นะ”
เขาแกล้งแซว ทั้งที่อยู่รู้เต็มอกว่านางน้อยคิดจะทำอะไร แต่ถ้าหากเขาไม่สนเสียอย่าง ใครก็จับเอาใครมายัดเยียดใส่มือเขาไม่ได้เหมือนกัน
“เอ๊อะ ไอ้หลานคนนี้นี่ น้ามันยิ้มก็ว่า ไปเพ็ญ เรากลับกันดีกว่า”
ว่าแล้วนางน้อยก็หมุนตัวเดินตรงไปยังบ้านของตน ทำให้วันเพ็ญต้องก้าวตาม แต่ไม่วายหันกลับไปมองคนข้างหลังอีกครั้ง หวังมอบรอยยิ้มสุดท้ายก่อนจาก ทว่าคนตัวโตหุ่นเร้าใจกลับหมุนตัวหันหลังให้เสียแล้ว ทำเอาหล่อนยิ้มค้าง ได้แต่หุบยิ้มลงช้าๆ ด้วยความผิดหวัง...