เราสองคนออกจากร้านไปห้างสรรพสินค้าตอนสิบโมงนิดๆ พอดี เบสพาฉันขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นห้าที่มีโรงภาพยนตร์ก่อนเป็นจุดแรก ดูโปรแกรมหนังแล้วหันมาปรึกษากัน
“ดูไหม รอบสิบเอ็ดโมง ก็น่าจะจบราวๆ บ่ายโมงกว่าๆ”
“แกอยากดูไหมล่ะ”
“พูดแบบนี้แสดงว่าไม่อยากดู” เขาถามอย่างรู้ทัน ฉันพยักหน้ายอมรับ
“รู้สึกเวลามันกระชั้นชิดเกินไป แต่ถ้าแกอยากดูก็ดู” บอกแล้วว่ายกให้เขาหนึ่งวันในฐานะเจ้าของวันเกิด
“แสดงว่ามีอะไรที่อยากทำจนกว่าจะถึงบ่ายสองใช่ไหม” นัดร้านบ่ายสาม เราก็คงต้องออกจากห้างบ่ายสองนิดๆ นั่นแหละ
“เดินดูนั่นดูนี่ กินข้าวก็หมดแล้วมั้งเวลาอะ”
“ก็จริง” เขาเดินนำฉันออกจากโรงหนัง ล้วงกระเป๋ากางเกงเดินเอื่อยๆ แบบที่รอให้ฉันบอกว่าอยากไปไหน
“เบส อยากได้อะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า ของขวัญวันเกิด” ยังไงก็ต้องให้อยู่แล้ว เขาก็ให้ฉันทุกปีเหมือนกัน ให้กันไปมาไม่รู้กี่ปีตั้งแต่เด็กๆ มันก็ต้องหมดมุกกันบ้าง
“คิดก่อน” เจ้าตัวเองก็ดูจะยังคิดไม่ออก ฉันก็เคยต้องพยายามคิดเหมือนกัน
“งั้นพาลงไปร้านทำผมก่อนได้ไหม อยากสระผมอะ”
“ไปสิ” เราสองคนพากันไปชั้นจีที่มีร้านทำผมที่ฉันมักจะแวะประจำถ้าคนไม่เยอะ
“สระผมคิวเยอะไหมคะ”
“สระดรายร์นะคะ”
“ใช่ค่ะ”
“ได้ค่ะ เชิญเลยค่ะว่างพอดี” ซึ่งก็ถือว่าโชคดีมากๆ สำหรับวันหยุดแบบนี้
“แกไปเดินดูหนังสือไหมเบส” ร้านหนังสือก็อยู่ข้างๆ กัน ที่ก็ไม่ได้ขายแค่หนังสืออย่างเดียว ถัดจากร้านหนังสือก็เป็นพวกร้านเสื้อผ้าแฟนชันต่างๆ ที่เช่าโซนนี้ขายของ น่าจะมีอะไรให้เขาดูแก้เบื่อบ้าง
“นั่งรอแหละ ขี้เกียจเดิน” เขาหาที่นั่ง หยิบมือถือขึ้นมาเล่น เวลามารอฉันที่ร้านเสริมสวยเขาอาจจะมีบ่นบ้างถ้ามันช้าเป็นสองสามชั่วโมง แต่สระดรายร์เฉยๆ คงไม่ถึงชั่วโมงหรอก
ซึ่งเขาก็นั่งเล่นมือถือแบบไม่ลุกไปไหนจนฉันเป่าผมเสร็จ แถมไม่บ่นด้วย หน้าตายิ้มแย้ม พอออกมาจากร้านก็จับผมฉันมาดมเล่น
“อย่ากวน ผมเพิ่งสระมา”
“มันนุ่มดี หอมด้วย”
“ฉันถึงชอบมาร้านสระผมไง รู้สึกผมสวยสุขภาพดี ยิ่งเวลาปวดหัวนะ ร้านสระผมคือคำตอบ”
“แล้ววันนี้ปวดหัวเหรอ” มือที่เกี่ยวผมฉันมาหอมกางบนศีรษะ ขยับเบาๆ เหมือนช่วยนวดให้...ทำให้ผมยุ่งเสียเปล่า
“ไม่ได้ปวด เลิกเล่นผมได้แล้ว เสียทรงหมด ทำมาตั้งแพง”
“เท่าไหร่ จ่ายให้” แล้วก็ทำเป็นดมๆ อีกที ฉันต้องหยิกเอวเขาแรงๆ เพราะไม่ใช่แค่จับเส้นผมไปดม แต่กดจมูกลงหัวเลย
เจ้าตัวหัวเราะเบาๆ ...มันสนุกอะไรกับการแกล้งฉันเนี่ย
“แมงมุม รู้แล้วอยากได้อะไร” เขาจูงมือฉันเข้าร้านหนังสือ...คนแบบเบสเนี่ยนะอยากอ่านหนังสือ เชื่อเขาเลย
“เธอชอบอ่านหนังสือมากใช่ไหม ลองแนะนำฉันสักเล่มสองเล่มสิ”
“เอาจริง”
“อืม”
ฉันยิ้ม แล้วจูงแขนเขาไปที่ชั้นหนังสือเลย ไม่ได้เลือกแค่เล่มสองเล่มหรอก แต่หยิบเอาหยิบเอาจนเขาจะหอบไม่ไหว ได้หนังสือเป็นสิบเล่ม แถมพวกเครื่องเขียนให้ด้วย
“ซื้อให้แล้วต้องอ่านนะ”
“เธอกลัวฉันโง่เหรอแมงมุม ซื้อหนังสือให้ขนาดนี้”
เขาไม่โง่หรอก เรียนเก่งเลยละ แต่ขี้เกียจและเหลวไหลเป็นที่หนึ่ง กว่าฉันกับแม่เขาจะเข็นให้อ่านหนังสือสอบ ไปติว ไปเรียนพิเศษ...จนสอบติดวิศวะมหาวิทยาลัยเดียวกันในในรอบสุดท้ายได้แบบหืดขึ้นคอ
“อ่านไปเหอะ เผื่อจะเปิดความคิดอะไรใหม่ๆ”
“คนเรามันไม่ได้คิดได้เพราะอ่านหนังสือคำคมพวกนี้หรอกน่า เขียนอะไรสวยๆ แบบนี้ใครก็เขียนได้ ตัวคนเขียนทำได้เปล่าก็ไม่รู้”
ฉันหันขวับไปมองแรงที่เบสชอบประชดรสนิยมการอ่านหนังสือฉันอยู่บ่อยๆ
“ฉันไม่ได้สนหรอกว่าคนเขียนเขาจะทำได้จริงแบบที่เขาเขียนหรือเปล่า เราอ่านเอาสุนทรียภาพทางภาษาน่ะเข้าใจไหม ทำได้ไม่ได้เป็นหน้าที่ที่เราต้องคิดเอง...แต่อ่านให้มันช่วยขัดเกลาจิตใจหน่อยก็ดี”
“เธอกำลังด่าว่าฉันจิตใจไม่เคยถูกขัดเกลาเหรอแมงมุม”
ฉันส่ายหน้า ไม่เถียงอะไรเขาอีก ส่วนอีกฝ่ายก็ไม่ได้จะชวนทะเลาะอะไรจริงจังหรอก ออกมาจากร้านก็ใช้ศอกค้ำกับไหล่ข้างหนึ่งจนฉันต้องปราม
“เบส แกทำแบบนี้ฉันปวดไหล่อะ”
“เหรอ โทษที” เขาเลยเปลี่ยนมาเป็นโอบไหล่แทน เฮ้อ เอาเข้าไป แบบนี้จะบ่นปวดไหล่ก็ไม่ได้แล้วใช่ไหม
เบส นายมันน่าสงสัยแล้วนะ เป็นฝ่ายหาเรื่องคลอเคลียเขาตลอดอะ...ว่าแต่ ปีที่แล้วยังน่ารักอยู่เลยเนอะ