ตอนที่ 2 การฟื้นคืน

1450 Words
เปลือกตาของหญิงสาวกำลังขยับ จากนั้นก็เบิกตากว้างพร้อมทั้งสำลักน้ำออกมา “คุณหนูฟื้นแล้ว” เสียงผู้คนที่พูดอยู่รอบกายทำให้หญิงสาวมองไปรอบๆ พบว่าตนนอนอยู่ที่ริมสระน้ำในสวนของบ้านตระกูลไหนสักที่ที่ไม่คุ้นตา สาวใช้คนหนึ่งพยุงให้ลุกขึ้นนั่ง แล้วนางก็สำลักน้ำออกมาอีกครั้ง “ที่นี่ที่ไหนกัน” น้ำเสียงนั้นกล่าวถามพร้อมกับท่าทางที่ยังคงมึนงงอยู่ “ที่ริมสระน้ำในจวน คุณหนูตกน้ำเจ้าค่ะ” สาวใช้แปลกหน้าพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความยินดีกับตนที่รอดชีวิต “แล้วเจ้าเป็นใคร สาวใช้ใหม่เช่นนั้นหรือ” ประโยคนั้นทำให้เสี่ยวชิงถึงกับยิ้มไม่ออก หันกลับไปหาพ่อบ้านฉวนที่ยืนอยู่ “คุณหนูแย่แล้ว นางจำข้าไม่ได้” พ่อบ้านสกุลฉวนวิ่งเข้ามาดู หลิวอี้เจินอยู่ในร่างของฉวนเร่อหลานเงยหน้ามองพ่อบ้านด้วยแววตาที่ประหลาดออกไป ราวกับว่าไม่เคยพบหน้าหรือรู้จักกันมาก่อน “แย่แล้ว” พ่อบ้านวัยกลางคนรีบวิ่งเข้าไปในเรือน ในขณะที่สาวใช้ช่วยพาร่างที่อิดโรยของฉวนเร่อหลานเข้าไปยังหอนอนของนางเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มออก ดวงตาคู่เรียวปรือตามองด้วยความอ่อนแรง มองบรรดาสาวใช้ช่วยกันพยุงร่างตนโดยไม่ได้ขัดขืน จากนั้นก็รู้สึกอ่อนเพลียแล้วสิ้นสติไปอีกครั้ง หลังพบกับวุ่นวายที่แสนสับสน เสียงพูดคุยดังแว่วอยู่ใกล้หู ทำให้หลิวอี้เจินรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง แต่ยังอ่อนแรงเกินจะลุกขึ้นมา “หลานหลานตกน้ำไปได้อย่างไรกัน พวกเจ้าไม่มีใครรู้เห็นเลยหรือ” ฉวนเซ่าฉือกล่าวถามด้วยน้ำเสียงเข้มด้วยโทสะกับเรื่องที่เกิดกับบุตรีอันเป็นที่รัก “เสี่ยวชิง เจ้าบอกนายท่านไปตามตรง จะได้ตาสว่างเสียที” หลี่หงพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ รู้เต็มอกว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับบุตรีของตน “แม่นางมู่หลอกให้คุณหนูไปชมดอกบัวแล้ว..ผลักคุณหนูลงไปในสระเจ้าค่ะ” เสี่ยวชิงพูดเสียงเบา เมื่อกล่าวถึงหญิงงามที่เจ้าเมืองฉวนพากลับมาจากต่างเมืองและเรียกร้องขอให้มีงานแต่งงานในเดือนหน้า “เห็นหรือไม่ สตรีนางนั้นร้ายกาจเพียงใด เห็นว่าหลานหลานของเราอ่อนแอไม่มีทางสู้ก็จะรังแก หึ...หรือท่านจะแก้ตัวแทนนางว่าครั้งนี้เป็นการหยอกเย้าอย่างคราวก่อนที่ทำหลานหลานล้มในงานเลี้ยงน้ำชา” เมื่อได้ยินภรรยากล่าวเช่นนั้นฉวนเซ่าฉือก็เงียบไป ยอมรับลำบากใจอยู่ไม่น้อยเพราะตอนนี้ตนรักและลุ่มหลงในตัวของมู่ซือซือเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อถึงเรื่องนี้ หลิวอี้เจินฟื้นแล้วแต่ยังหลับตาอยู่ นางงุนงงกับสิ่งที่ได้ยิน แต่เมื่อประกอบกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่ฟื้นขึ้นมาเจอกับบรรดาคนแปลกหน้าที่เรียกตนว่าคุณหนู ก็พอปะติดปะต่อได้ บางทีการตายของตนอาจได้รับโอกาสให้มาอยู่ในร่างของคุณหนูผู้อ่อนแอคนนี้ หรือทุกอย่างอาจจะเป็นเพียงความฝันเท่านั้น สักพักเสียงพูดคุยนั้นก็เงียบลงพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ก้าวออกไปจากห้องนอนของฉวนเร่อหลาน ทำให้เจ้าตัวลืมตาขึ้นมา เสี่ยวชิงเมื่อมองเห็นคุณหนูของตนฟื้นแล้วก็รีบเข้าไปประคองให้ลุกขึ้นนั่ง “ข้าหิว” หลิวอี้เจินในร่างใหม่กล่าวขึ้นเสียงเบา “มีน้ำแกงบำรุงยังอุ่นๆ อยู่ เดี๋ยวบ่าวป้อนให้คุณหนูเอง” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความจงรักภักดีนั้นพูดอย่างกระตือรือร้น ร่างเล็กที่บอบบางเดินไปหยิบชามน้ำแกงมาแล้วตักป้อนที่ริมฝีปากแห้งผากของนาง จนหญิงสาวรู้สึกดีขึ้นมากแล้วมองไปรอบๆ ห้อง “เจ้าชื่ออะไร” หลิวอี้เจินกล่าวถามเสียงเบา แววตาที่เคยดูอ่อนโยนและไร้เดียงสาดูต่างออกไป “คุณหนู อย่าล้อเล่นกับบ่าว เสี่ยวชิงใจคอไม่ดีเอาเสียเลย” ได้ยินเช่นนั้นแล้วหลิวอี้เจินก็เริ่มมั่นใจแล้วว่าตนคิดถูก มือเรียวจับที่ขอบตั่งนอนแล้วพยุงตัวลุกขึ้น เดินไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้งแล้วส่องมองเงาที่สะท้อนจากกระจกทองแดงตรงหน้า หญิงสาววัยแรกรุ่นที่มีหน้าตางดงาม แม้จะดูซีดเซียวเพราะเพิ่งฟื้นจากอาการจมน้ำ แต่ทว่าความงดงามนั้นก็ยังถูกเผยออกมาให้เห็นอยู่มาก “เร่อหลาน....ข้าชื่อเร่อหลานเช่นนั้นหรือ” น้ำเสียงนั้นกล่าวถามเสียงเบา หากไม่ใช่ความฝันนางจะอยู่ในร่างที่งดงามนี้ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง “เจ้าค่ะ” เสี่ยวชิงตอบแล้วมองคุณหนูของตนอย่างงุนงง “ข้าจำอะไรไม่ได้เลย น่าจะเกิดจากอาการเจ็บป่วย” มือเรียวยกกุมที่ศีรษะแล้วแสดงอาการที่ทำเหมือนว่าไม่สบาย “คุณหนูมีอาการอย่างไร ข้าจะไปบอกนายหญิงให้เรียกหมอมารักษาท่าน” เสี่ยวชิงกล่าวด้วยความร้อนใจ “แค่จำอะไรไม่ได้ เจ้าช่วยเล่าเรื่องของข้าให้ฟังทีสิเสี่ยวชิง เผื่อจะนึกอะไรออกบ้าง” หลิวอี้เจินในร่างใหม่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่อิดโรยเล็กน้อย “เจ้าค่ะ” สาวใช้คนสนิทกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความยินดีและเต็มใจ จากนั้นนางก็เริ่มเล่าประวัติและเรื่องราวที่เกิดขึ้นคร่าวๆ ให้ฟัง จนหลิวอี้เจินเริ่มเข้าใจแล้วว่าชีวิตของคุณหนูเร่อหลานผู้อ่อนแอนี้น่าสงสารนัก แม้จะเป็นบุตรสาวคนเล็กของฉวนเซ่าฉือที่เป็นเจ้าเมืองจินโจว แต่ชีวิตช่วงหนึ่งเดือนหลังก็ไม่ได้ราบรื่นนักเพราะถูกสตรีที่บิดาลุ่มหลงคอยกลั่นแกล้ง หลี่หงผู้เป็นมารดา แม้จะเป็นใหญ่ในเรือนนี้ แต่ก็ยังไม่พ้นถูกมู่ซือซือใส่ความว่ารังแกนาง จนทำให้มีปากเสียงกับเจ้าเมืองฉวนอยู่บ่อยครั้ง ฉวนเร่อหลานมีพี่ชายที่รับราชการอยู่ต่างเมือง แต่ฉวนยี่หานก็ถูกสั่งห้ามไม่ให้ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว เพราะฉวนเซ่าฉือเห็นว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ตนจัดการเองได้ “เช่นนั้นหากนางถูกแต่งเข้ามา ก็คงจะรังแกข้ามากขึ้นเช่นนั้นหรือ” นางถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรม นึกถึงตนตอนอยู่ร่างเดิมที่ทุกข์ทรมานจากความมักมากของบุรุษก็พลันเจ็บปวดแน่นไปทั่วหัวใจ หลี่หงไม่ควรมาเจอกับอะไรอย่างนี้ เสี่ยวชิงได้แต่พยักหน้า ขนาดตอนนี้ถูกวางให้เป็นอนุคนที่เจ็ดอย่างไม่เป็นทางการ แต่นางก็เริ่มระรานทั้งฉวนฮูหยินและคุณหนูรองฉวนเสียแล้ว ซ้ำยังเรียกร้องให้มีการจัดงานแต่งงานเข้าเรือนอย่างยิ่งใหญ่ต่างจากอนุผู้อื่น เพื่อขึ้นเป็นฮูหยินรอง และครั้งนี้ก็มีฉวนเซ่าฉือคอยถือหางให้ เชื่อคำพูดที่เสแสร้งว่านางทำทุกอย่างเพียงแค่พยายามเข้ามาผูกไมตรี แต่เป็นฉวนฮูหยินและคุณหนูฉวนที่แต่งเรื่องใส่ร้ายนาง “ข้ายังหิวอยู่ อยากกินผัดเปรี้ยวหวาน” น้ำเสียงของหลิวอี้เจินราบเรียบ แต่ในใจครุ่นคิดอย่างหนักถึงสถานการณ์ที่ไม่ต่างกับชาติที่แล้ว ชาติก่อนถูกอนุร้ายกาจกับสามีโฉดชั่วร่วมมือกันทำให้ถึงแก่ความตายเพื่อเปิดทางให้อนุขึ้นมามีอำนาจเป็นฮูหยินของเรือน ชาตินี้บิดาก็มีอนุที่จ้องกลั่นแกล้งตนกับมารดา เช่นนี้แล้วหากไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง ตนก็คงอยู่อย่างไม่สงบสุข เมื่อเสี่ยวชิงออกไป นางก็มองตัวเองในกระจกทองแดงอีกครั้ง มองดูใบหน้างดงามในวัยสิบเจ็ดหนาวด้วยสายตาที่แข็งกร้าว “ต่อไปนี้ข้าคือฉวนเร่อหลาน” น้ำเสียงนั้นกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง พร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยแรงแค้น ในเมื่อชีวิตของนางต้องตกต่ำและถูกรังแกจากหญิงแพศยา ชาติที่แล้วไม่สามารถหวนคืนไปแก้แค้นได้ ทั้งตนและไจ๋ซิ่วต้องตายอย่างทรมานในขณะที่สองคนนั้นอยู่อย่างสงบสุข เช่นนั้นชาตินี้ก็ขอเป็นสตรีเจ้าเล่ห์ จัดการอนุร้ายกาจของบิดาเพื่อตอบแทนร่างของฉวนเร่อหลานที่ให้ตนมาเกิดใหม่ และปกป้องฉวนฮูหยินจากแม่ดอกบัวขาวผู้นี้ ************************
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD