INTRO
ความฝันของหญิงสาวที่ไร้ค่า
ณ คฤหาสน์ ริมหาดทรายขาว
เคยมีคนบอกกับฉันว่า..ในชีวิตของคนเรานั้น..
" ความสุขมักจะอยู่กับเราได้ไม่นาน..ความทุกข์ก็เช่นเดียวกัน "
ดังนั้นเวลาที่สุขก็จงสุขให้ถึงที่สุด เวลาที่ทุกข์ก็ทุกข์ให้ถึงที่สุด เพราะเมื่อวันและเวลามันผ่านพ้นไป ทุกอย่างที่ผ่านมามันก็จะเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าของเมื่อวาน อยู่กับลมหายใจของตัวเองในแต่ละวัน พระอาทิตย์ยังคงขึ้นใหม่ได้ทุกวัน ชีวิตของเราทุกคนก็เริ่มต้นใหม่ได้ทุกวันเช่นเดียวกัน
ในทีแรกฉันไม่เคยเข้าใจความหมายของประโยคนี้เลย จนกระทั่งวันนี้..วันที่ฉันเติบโตและเดินผ่านเรื่องราวมากมาย มันทำให้ฉันรู้ เข้าใจ และปล่อยวางได้จริง ๆ
"คนเราทุกคนมีวันที่แย่ที่สุด ย่อมก็ต้องมีวันที่ดีที่สุดรอคอยอยู่เช่นกัน" หญิงสาวยืนมองตัวเองในกระจกเงาสะท้อน น้ำตาคลอเบ้า
"และวันนี้คือวันที่ดีที่สุด ...ที่มันเกิดขึ้นในชีวิตของฉันเลย" พริ้งพราวจ้องมองตัวเองในกระจกเงาสะท้อนภายในห้องแต่งตัวสุดหรูของคฤหาสน์หลังใหญ่
"ใครจะคิดว่าผู้หญิงที่เหลวแหลกอย่างฉัน จะมีผู้ชายดี ๆ สักคนยอมรับไปเป็นภรรยา" เธอเหลือบมองไปทางบรรยากาศด้านหน้าของคฤหาสน์หรูแห่งนี้ ที่ประดับประดาไปด้วยดอกไม้มากมาย แม้จะเป็นงานแต่งที่เรียบง่าย แต่มันกลับตลบอบอวลไปด้วยความรักที่แสนหวาน ชีวิตตรงหน้าของเธอมันเป็นชีวิตที่เธอไม่เคยคิดไม่เคยฝันมาก่อนเลยว่า..มันจะเกิดขึ้นจริง ๆ ได้
เสียงคลื่นทะเลซัดกระทบฝั่งดังแผ่วเบา ราวกับเสียงขับกล่อมจากธรรมชาติ ดวงอาทิตย์ยามเย็นคล้ายหยดทองที่กำลังละลายลงสู่ท้องทะเลที่กว้างใหญ่ ท้องฟ้าไล่เฉดจากส้มอ่อนสู่ม่วงเข้ม
สายลมเย็นปะทะเข้ากับผิวกายของหญิงสาว ที่ยืนสวยเด่นสง่าในชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์
รองเท้าส้นสูงเดินลงบันไดวนของบ้าน ตรงเข้าไปในพิธีงานแต่งในช่วงเย็น ๆ คนทั้งงานลุกขึ้นปรบมือให้เธอ แต่สายตาของเธอจับจ้องมองไปทางเขา..แค่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
กระโปรงสีขาวยาวปลิวสว่างไปตามแรงลม เส้นผมของเธอยาวสลวยพลิ้วไหว มือน้อยของเธอวางอยู่ภายในฝ่ามือหนาที่แสนอบอุ่นของ
ภายในงานมีเพียงแขกคนสำคัญไม่กี่คนเท่านั้น แม้ว่าเธอจะไม่ค่อยคุ้นหน้า แต่เธอก็ยิ้มรับในทุก ๆ คำอวยพรนั้นอย่างจริงใจ
โต๊ะไม้เรียงเป็นแนวบนผืนทราย ขวดแก้วใส่น้ำเปล่าตกแต่งด้วยดอกกุหลาบหลากสีสัน เสียงเพลงคลอเบา ๆ ล่องลอยอยู่ในบรรยากาศ… ท่ามกลางสวนดอกไม้สีขาวที่บานสะพรั่งราวกับฤดูใบไม้ผลิไม่มีที่สิ้นสุด แม้ว่าระยะทางมันจะไม่ได้ไกลสักเท่าไหร่ แต่สำหรับเธอแล้วทุกวินาทีในตอนนี้มันเหมือนโลกหยุดไปชั่วขณะหนึ่งเลย ปลายเท้าของเธอเหยียบลงพื้นทรายเดินตรงเข้าไปหาผู้ชายที่ยิ่งกว่าความฝันคนนั้น
ร่างสูงในชุดทักซิโด้สีดำเข้ม... ยืนรอเธออยู่ที่ปลายทาง แสงแดดสุดท้ายของวันสะท้อนลงบนเรือนผมของเขา เส้นผมสีเข้มของเขาตัดกับผิวขาวจัดของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ
"พร้อมมั้ย?" เจ้าบ่าวเอ่ยถามขณะที่ทั้งสองคนควงแขนกันเดินไปหยุดที่หน้าแท่นพิธีการ
"พร้อมมาก ๆ เลยค่ะ" เธอพยักหน้าเบา ๆ แววตาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น... หรือบางทีอาจจะเป็นความหวังครั้งสุดท้ายในชีวิต
"เจ้าบ่าว… คุณยินดีรับผู้หญิงคนนี้เป็นภรรยา ดูแลและรักเธอตราบนานเท่านานหรือไม่?"
"ครับ… ผมยินดี" เขามองเธอ ราวกับไม่มีใครอื่นในโลกนี้
“เจ้าสาว… คุณยินดีรับชายคนนี้เป็นสามี ซื่อสัตย์ และร่วมทุกข์ร่วมสุขเคียงข้างกันไปหรือไม่?"
"แน่นอนค่ะ… ฉันยินดี..ยินดีจะใช้ทั้งชีวิตนี้เพื่อรักผู้ชายคนนี้คนเดียวตลอดไป" เธอเอ่ยตอบพิธี แต่สายตาของเธอยังคงมองที่เจ้าบ่าวโดยไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้เลยจริง ๆ
เสียงปรบมือดังก้องเมื่อทั้งสองสวมแหวนให้กัน ริมฝีปากของเขาประทับลงบนหน้าผากเธอเบา ๆ ก่อนที่เขาจะกระซิบ…
"ขอบคุณนะคะคนดี" ร่างสูงกระซิบบอกพลางกอดหญิงสาวไว้แนบกาย น้ำตาแห่งความปีติยินดีหลั่งไหลออกมา ขณะที่ฝ่ามือหนายกขึ้นเช็ดน้ำตาให้เธออย่างอ่อนโยน
"พริ้งต่างหากที่ต้องขอบคุณพี่..ถ้าไม่มีพี่ความฝันของพริ้งคงไม่มีวันเป็นจริงได้" มือเล็ก ๆ ของเธอลูบทับลงบนมือที่อ่อนโยนของเขา เพชรน้ำดีบนนิ้วนางของเธอส่องสว่างเปล่งประกายท่ามกลางความมืดมิดหลังจากที่พระอาทิตย์ตกดินลงไปแล้ว
ที่เธอร้องไห้มันไม่ใช่เพราะเสียใจ แต่เพราะไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าผู้หญิงที่ผ่านความแหลกเหลวมากมาย
ผู้หญิงไม่หลงเหลือคุณค่าอะไรในตัวเอง จะกลายมาเป็นเจ้าสาวที่สง่างามของใครบางคนได้จริง ๆ
เธอไม่เคยคิด ไม่เคยฝันเลยจริง ๆ ว่า จะมีใครรักเธอ ให้เกียรติเธอและเห็นคุณค่าในตัวของเธอ
แต่ตอนนี้...คนที่เธอไม่คิดว่ามีอยู่จริง คือคนเดียวกับที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ เขาไม่เพียงแต่เอ่ยคำมั่นสัญญาว่าจะรักและดูแลเธอตลอดไป แต่เขาทำให้เธอเห็น ทำให้เธอสัมผัสและเข้าใจในคำว่า
ความรักแท้จริง มันเป็นแบบไหน...ความรักที่เธอตามหามาทั้งชีวิต แม้ว่ามันจะสายเกินไป แต่อย่างน้อยเธอก็ได้เจอกับเขาแล้ว คนที่รักษาทุกบาดแผล ทุกความเจ็บช้ำของเธอให้หายดี
"เราจะอยู่ดูแลกันแบบนี้ไปจนแก่..ไปจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต" ร่างสูงใหญ่เจ้าของใบหน้าที่หล่อเหลา ราวเทพเจ้าสรรค์สร้าง เอ่ยกระซิบบอกเจ้าสาวแสนสวยของเขาด้วยแววตาที่อ่อนโยนเหนือคำจะบรรยายได้ เขามองเธอราวกับสิ่งของมีค่าที่ประเมินค่าไม่ได้เลย
"ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ หนูจะรักและเทิดทูนพี่เพียงคนเดียวตลอดไป" เธอกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป
มือของเธอสั่น เธอยกมือขึ้นพนมและไหว้ลงแทบอกแกร่งของเขา
"โปรดรู้เอาไว้ว่าพี่คือลมหายใจ คือทุกสิ่งทุกอย่างของหนูเลยนะคะ" เธอเอ่ยทุกถ้อยคำออกมาจากหัวใจ
เสียงคลื่นยังคงซัดเข้าฝั่งเหมือนเดิม เสียงปรบมือจากแขกดังขึ้นหลังจากที่เจ้าบ่าวประคองใบหน้าของเจ้าสาวมาจุพิศอย่างแสนหวาน ท่ามกลางคลื่นลมทะเล และบรรยากาศสุดแสนจะโรแมนติกนี้
หลังจากงานแต่งที่สุดแสนจะเรียบง่ายจบลง แขกในงานก็ทยอยเดินทางกลับกันจนหมด เหลือเพียงแต่คู่บ่าวสาว ที่ยังคงนั่งมองท้องทะเลที่กว้างใหญ่ตรงหน้า และจับมือกันแน่น
เจ้าบ่าวและเจ้าสาวยังคงนั่งอยู่เคียงข้างกันอยู่บนผืนทราย หน้าคฤหาสน์หรูที่เป็นเรือนหอของทั้งคู่ แสงจากเทียนไขในโหลแก้วสว่างไสวอยู่รอบตัว ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดาว คลื่นจากทะเลยังคงซัดเข้าหาชายฝั่งซ้ำไปมาอยู่แบบนั้น
มือของเขา… ยังคงกุมมือของเธอไว้แน่น นิ้วเรียวยาวของเขาสอดประสานกับนิ้วของเธออย่างแนบแน่น
"ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้ มันสวยงามเหมือนภาพในความฝันของพริ้งเลยนะคะ" พริ้งพราวเงยหน้ามองเขา ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยประกายอ่อนโยน และความเชื่อมั่นที่ไม่เคยมีใครได้เห็นมาก่อน
"….พริ้งจำไม่ได้เลยว่าตัวเอง มีความสุขมากที่สุดแบบนี้ ..ครั้งสุดท้ายคือเมื่อไหร่" เธอหันไปมองหน้าชายที่นั่งอยู่เคียงข้าง พร้อมกับยกมือลูบใบหน้าของเขาเบา ๆ
…
…..
"ทั้งหมดนี้มันไม่ใช่ความฝันซะหน่อย" เจ้าของใบหน้าหล่อเหลา มองเธอด้วยสายตาที่อบอุ่น เขาเอ่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
"ทุกอย่างมันเป็นความจริง..เราสองคนแต่งงานและกำลังได้ใช้ชีวิตคู่ไปด้วยกัน" เขาก้มลงจูบเธอ…เบา ๆ ที่หน้าผาก ริมฝีปากนั้นเลื่อนลงมาที่ข้างแก้ม แล้วหยุดที่มุมปาก
จูบแรก… เนิบช้า อ่อนโยน แต่ลึกซึ้ง ราวกับกำลังสลักสัญญาไว้กับวิญญาณ
มือของเขาสัมผัสใบหน้าของเธอ นุ่มนวล อบอุ่น ปลายนิ้วลูบไล้จากขมับลงมาถึงลำคอ
และเมื่อริมฝีปากของเขาซุกซนลงไปเนินอกสวย เสียงลมหายใจของเธอก็เริ่มสั่นพร่า
‘ถ้าฉากตรงหน้านี้คือความฝันจริง ๆ ได้โปรด..อย่าปลุกฉันให้ตื่นขึ้นมาอีกเลย’ เธอมองใบหน้าของชายตรงหน้า พร้อมกับลูบไล้เรือนร่างของเขาด้วยใจที่เต็มไปด้วยความรักที่เกินคำจะบรรยายได้
มือหนาค่อย ๆ ปลดสายเดรสเจ้าสาวสีขาวออกจากบ่าเธออย่างปลอบโยน เนื้อผ้าลื่นไหลราวกับสายน้ำ แสงจันทร์สะท้อนผิวเธอที่เปลือยเปล่าอย่างนุ่มนวล
เสียงคลื่นซัดเข้าฝั่งเบา ๆ เสียงหัวใจของเธอก็เต้นแรงไม่แพ้กัน ริมฝีปากของทั้งคู่บดขยี้จูบกันอย่างดูดดื่มใต้แสงจันทรา ร่างบางถูกกดลงจมผืนทราย
ร่างหนาของเขาโน้มลงประกบ สัมผัสแรกของเนื้อแนบเนื้อคืออ้อมกอดที่อบอุ่น
เขาซุกหน้าลงที่ต้นคอเธอ สูดกลิ่นกายที่หอมละมุน มือของเขาค่อย ๆ ลูบจากแผ่นหลังเธอลงไป ปลายนิ้วสัมผัสทุกส่วนด้วยความละเอียดอ่อน
"คุณคือทั้งชีวิตของหนู" เธอร้องเรียกเบา ๆ เสียงสั่นพร่า ทั้งสองร่างนัวเนียคลอเคลียกันไปบนผืนทรายราวกับว่าโลกทั้งใบมีเพียงแค่เขากับเธอเพียงเท่านั้น
ชุดของบ่าวสาวถูกถอดออกโยนกองเรี่ยราดอยู่ตามพื้น ร่างบางพลิกตัวขึ้นคร่อมร่างหนา พร้อมกับกดริมฝีปากไล่ไซร้ตามซอกคอ กล้ามอกแกร่ง ขณะที่มือหนาลูบวนที่อกซ้ายของเขา พร้อมกับนาบใบหน้าสวยลงไปแนบฟังเสียงหัวใจของเขาอยู่เนินนาน