ทันทีที่รถม้าจอดที่หน้าประตูจวน เจ้ากรมยุติธรรมหนุ่มก็รีบลงจากรถม้า และยื่นมือให้หญิงคู่หมั้นโจวเยี่ยนหงลงจากรถม้าตามหน้าที่ของบุรุษ แม้ในใจอยากถือห่อกระดาษนั้นเดินเข้าไปในจวนโดยเร็วแต่เพราะรับปากหลินฉงหยูเอาไว้แล้วว่าจะผูกไมตรีกับอีกฝ่ายจึงต้องข่มใจเอาไว้
เสวี่ยเหวินเจิ้งไม่คิดจะมีสองภรรยา เขาไม่อยากแต่งงานกับโจวเยี่ยนหงและเคยพูดเปิดใจกับนางตั้งแต่วันแรกที่นางมาพักที่จวน แต่นางกลับยินยอมที่จะให้เขารับหลินฉงหยูเอาไว้แลกกับการที่ให้นางแต่งงานเป็นภรรยาเอก คิดว่าอีกฝ่ายก็มีความจำเป็นที่จะต้องแต่งงานกับตนแน่ ไม่เช่นนั้นจะมีสตรีนางใดยินยอมจะให้สามีมีหญิงอื่น
วัยเด็กแม้พบพานกันอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้สนิทสนมพูดคุยกัน พอมาเจอกันอีกครั้งในฐานะคู่หมั้นเขาก็ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติต่อนางเช่นไรในเมื่อตนก็มีคนที่รักอยู่แล้ว และนางก็ดูเหมือนว่าจะยอมรับสิ่งที่อันเหม่ยจิงเสนอให้แต่งเป็นภรรยาเอก
หากจะกล่าวว่าหลินฉงหยูมีบางอย่างแอบแฝงจึงยอมที่จะเป็นเพียงนางบำเรอที่ไร้สถานะ โจวเยี่ยนหงเองก็ต้องมีบางอย่างแอบแฝงเช่นกัน เพราะเหตุนี้เขาจึงไม่ได้ไว้วางใจนางนัก เมื่อมีปัญหากับหลินฉงหยูจึงเชื่อใจสตรีที่ตนชิดใกล้มากกว่า
“ขอบคุณคุณชายเสวี่ย”
“เราเองก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยรู้จักกัน เจ้าเรียกข้าว่าพี่เหวินเจิ้งเหมือนตอนยังเยาว์ก็ได้” น้ำเสียงนั้นบอกด้วยความนุ่มนวลขณะที่เดินเข้าไปในจวนพร้อมกัน
“ท่านจำได้...”
“แน่นอนว่าข้าจำได้ว่าเจ้าเคยเรียกข้าเช่นนั้น และจำได้ว่าตอนยังเด็กเราสองคนก็เคยพูดคุยกันบ้าง” เมื่อเสวี่ยเหวินเจิ้งกล่าวเช่นนั้นก็ปรากฏรอยยิ้มที่มุมปากของนาง
ฟางฮุ่ยที่เดินถือของตามหลังร่วมกับบ่าวของสกุลเสวี่ยก็แอบอมยิ้มด้วยความยินดีที่ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นดูราบรื่นกว่าที่คิด
“ตั้งแต่ที่ข้ามาพักที่สกุลเสวี่ย วันแรกท่านทำเหมือนว่าไม่พอใจข้า ข้าคิดว่าท่านจะจำข้าไม่ได้เสียอีก” นางถามเสียงนุ่มหากแต่แฝงด้วยการตัดพ้อเล็กน้อย
“ไม่ใช่เช่นนั้น เพียงแต่ข้าไม่รู้มาก่อนว่าจะมีการหมั้นหมาย และไม่อยากจะกลายเป็นบุรุษมากรักจึงไม่อยากให้เจ้าเสียเวลากับคนที่มีคนรักอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าท่านแม่ของข้าจะยื่นข้อเสนอที่ทำให้คุณหนูโจวต้องเสียเปรียบเช่นนั้น” เสวี่ยเหวินเจิ้งกล่าวแล้วหยุดเดินกลางคัน แล้วผายมือให้นางไปคุยกันที่สวนตามลำพัง
โจวเยี่ยนหงพยักหน้าให้สาวใช้ ฟางฮุ่ยและบ่าวคนอื่น ๆ จึงเดินถือของไปเก็บ ไม่อยู่รบกวนการสนทนาของทั้งคู่
“หากคำพูดวันนั้นของข้าทำให้คุณหนูโจวรู้สึกแย่ ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย”
โจวเยี่ยนหงพยักหน้ารับ ไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้จากอีกฝ่าย ก่อนจะยกแขนเสื้อปิดริมฝีปากที่อมยิ้มเล็กน้อยนั้นด้วยความเขินอาย
“พี่เหวินเจิ้งเรียกข้าว่าเยี่ยนหงเถิด” น้ำเสียงหวานนั้นกล่าวอย่างนุ่มนวล
“ได้สิ น้องเยี่ยนหง” เขารับปากแล้วแอบโล่งใจที่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะดูสดใสขึ้น นั่นหมายความว่าภายภาคหน้าย่อมนำความสงบสุขมาสู่หลินฉงหยู
หลังงานแต่งงานของพวกเขา หลินฉงหยูก็จะได้รับการยอมรับและเขาจะสามารถอยู่ร่วมหอกับนางได้ ตอนนั้นอยากให้นางอยู่อย่างสงบสุขและสุขสบายมากที่สุด
โจวเยี่ยนหงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ ๆ เสวี่ยเหวินเจิ้งก็ดูเปิดใจให้ตนขึ้นมา หรือบางทีเขาอาจจะเริ่มมองเห็นความร้ายกาจของหลินฉงหยูแล้วก็เป็นได้
สักพักฟางฮุ่ยก็เดินกลับมาพร้อมกับเชิญให้ทั้งคู่ไปที่ห้องโถงใหญ่เพื่อร่วมรับประทานอาหารมื้อกลางวัน
“เรียนคุณชายเสวี่ย คุณหนู เสวี่ยฮูหยินให้มาเชิญไปที่ห้องโถงเจ้าค่ะ”
“เราไปกันเถอะ” เสวี่ยเหวินเจิ้งพยักหน้าชวนนางให้เดินไปพร้อมกัน นำห่อกระดาษเก็บไว้ในช่องลับแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง และอมยิ้มเมื่อคิดถึงใบหน้าของหลินฉงหยูว่าจะดีใจแค่ไหนที่เห็นของที่เขาซื้อมาให้นาง
ในขณะที่หลินฉงหยูกำลังเดินชมดอกไม้เพื่อย่อยอาหารที่เพิ่งกินเข้าไป สายตาก็เหลือบไปเห็นว่ามีกลุ่มของสาวใช้ในเรือนเดินตรงมาทางตนก็เกิดความสงสัย
“แม่นางหลิน” จางมามาเรียกชื่อนางแล้วยิ้มทักทายด้วยใบหน้าที่ดูอ่อนโยน
“ท่าน...”
“ข้าคือจางหยุนหนิง บ่าวข้างกายคนสนิทของเหล่าฮูหยิน ที่มาหาแม่นางในครั้งนี้เพราะว่านายหญิงของข้าชื่นชมฝีมือในการทำอาหารของแม่นาง” ฮูหยินผู้เฒ่าที่ฝากให้จางมามาบ่าวคนสนิทมาหานางด้วยตนเอง
“และนายหญิงเรียกให้ไปพบที่ห้อง เชิญตามข้ามาทางนี้” จางมามากล่าวแล้วพยักหน้าเล็กน้อยเป็นทำนองให้นางทำตามคำเชิญ หลินฉงหยูจึงเดินตามไป พลางคิดว่าเรื่องดี ๆ มาเร็วกว่าที่คิดเอาไว้
เมื่อไปถึงเรือนพักของหม่าหรูหรง หลินฉงหยูก็รู้สึกได้ถึงความกดดันที่แผ่ซ่านไปทั่วอย่างบอกไม่ถูก
“หลินฉงหยู คารวะเหล่าฮูหยิน” หญิงสาวย่อกายคารวะด้วยท่าทีที่อ่อนหวานและเก็บความตื่นเต้นเอาไว้อย่างมิดชิด
“นั่งลงก่อนสิ” หม่าหรูหรงกล่าวเสียงเบา
ใบหน้าของหญิงชราเต็มไปด้วยริ้วรอยที่บ่งบอกว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมามากแล้ว และใช้สายตาพิจารณาหญิงงามที่อยู่ตรงหน้าอย่างละเอียด ก่อนที่จะเผยรอยยิ้มที่ดูเย้ยหยันออกมา
“เจ้าคือหญิงงามที่ติดตามเจิ้งเอ๋อร์มาสินะ” คำถามนั้นถามขึ้นทั้ง ๆ ที่ก็รู้อยู่แก่ใจ เห็นทีว่าคำชมที่ฝากจางมามาไปบอกนางและจุดประสงค์ที่เชิญมาที่นี่คงไม่ใช่เรื่องเดียวกัน
“ข้า...”
“ช่วยชีวิตกับการแต่งงานมันเป็นคนละเรื่อง เจิ้งเอ๋อร์อาจจะเลอะเลือนไปชั่วขณะ ที่เขาอยากแต่งงานกับเจ้าก็อาจจะเป็นเพราะอยากตอบแทนบุญคุณ เจ้าเคยคิดถึงเรื่องนี้หรือไม่” หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงและประโยชน์ที่กดดัน
หลินฉงหยูทำตัวไม่ถูก พอได้สวมบทบาทจริงก็รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดเอาไว้ อีกทั้งสถานการณ์นี้ในนิยายก็ไม่เคยปรากฏ
“อาหารที่เจ้าทำรสชาติถูกปาก ทำให้ข้าเจริญอาหารมากนัก แต่ว่ามันก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะยอมรับเจ้าในฐานะหลานสะใภ้” หม่าหรูหรงไม่ได้พูดถนอมน้ำใจ นั่นหมายความว่านางมั่นใจว่าสามารถควบคุมหลินฉงหยูได้
“ฉงหยูไม่ได้คิดจะใช้ฝีมือทำอาหารทำให้เหล่าฮูหยินยอมรับ หากแต่ทำไปเพราะอยากจะช่วยงานในสกุลเสวี่ย อีกทั้งสถานะในตอนนี้แม้จะได้ชื่อว่าเป็นแขกของคุณชายเสวี่ย แต่ก็มิอาจจะอยู่นิ่งเฉยกินข้าวสกุลเสวี่ย ใช้ของสกุลเสวี่ยโดยไม่ทำอะไรตอบแทนได้ จึงยินดีที่จะช่วยงานในครัวตามที่ได้รับมอบหมายจากเสวี่ยฮูหยินเท่านั้นเองเจ้าค่ะ” น้ำเสียงนั้นกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ และลงท้ายให้รู้ว่าที่นางเข้าครัวนั้นเป็นคำสั่งของอันเหม่ยจิงแต่แรก หาใช่อาสาเข้าครัวเพื่อเอาอกเอาใจใครไม่
หม่าหรูหรงเลิกคิ้วสูงแล้วมองสตรีตรงหน้าที่ไม่หลบสายตา ดูแล้วสตรีนางนี้ต่างจากที่อันเหม่ยจิงเคยมาเล่าวีรกรรมต่าง ๆ เอาไว้ เห็นทีว่าหลังจากนี้ต้องจับตาดูหลินฉงหยูอย่างใกล้ชิดแล้ว
************************