พระราชวังฉางอานที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าซือหยูดูกว้างขวางกว่าที่เธอคิด เธอยืนอยู่เคียงข้างแม่ทัพจ้าวหย่งเฉินในท้องพระโรงอันกว้างใหญ่ รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็น ไม่ใช่จากลมพัดผ่านแต่เป็นเพราะบรรยากาศชวนให้รู้สึกขนลุกเสียมากกว่า แสงจากโคมไฟสีทองนับร้อยดวงสั่นไหวราวกับพร้อมจะดับลงทุกขณะ เสียงฝีเท้าของขุนนางและทหารองครักษ์ดังก้องเป็นระยะ ขณะที่ทุกสายตาจับจ้องไปยังแท่นสูงที่จักรพรรดิถังเต๋อจงประทับนั่ง หย่งเฉินยืนตัวตรงแม้ร่างของเขาจะเต็มไปด้วยบาดแผล ใบหน้าคมเข้มของเขาไม่ได้เปื้อนฝุ่นและเลือดแห้งกรังเหมือนกับทุกที มันดูสะอาดสะอ้านจนแปลกตา แต่บาดแผลที่ไหล่และแขนยังคงมีเลือดซึมผ่านผ้าพันแผลออกมาบ้างเล็กน้อย “ได้เวลาแล้ว” หย่งเฉินหันมากระซิบพร้อมมองซือหยูด้วยดวงตาคมอันเย็นชาแต่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น แม้น้ำเสียงของเขาออกจะทุ้มสั่นจากความเจ็บปวดของบาดแผลบนร่างกายก็ตาม เขาพยักหน้าเป็นสัญญาณความพร้อมพลางบีบ

