Chapter 1
แผลแรกพบ
ช่วงเวลาเย็น
กลางเวิร์กช็อปของคณะวิศวกรรมศาสตร์ บรรยากาศอบอ้าวและเต็มไปด้วยเสียงเครื่องมือที่ดังกระหึ่ม
วาโย หรือ โย นักศึกษาปี 3 วิศวะเครื่องกล กำลังขมักเขม้นกับโปรเจกต์ของกลุ่มเพื่อนอยู่ที่ห้องปฏิบัติการ เชื่อไหมว่าการเรียนวิศวะนอกจากต้องใช้สมองแล้ว ยังต้องใช้แรงกายมากพอ ๆ กับแรงใจ
“เฮ้ย! โย ระวัง!”
เสียงของ มุก เพื่อนสนิทในกลุ่มดังขึ้น ยังไม่ทันตั้งตัว ใบมีดคัตเตอร์ในมือที่กำลังตัดโฟมต้นแบบของชิ้นงานเกิดลื่นไถลเพราะแรงกดที่มากเกินไป
ปึ่ด!
“โอ๊ย!” วาโยร้องออกมาเบา ๆ สะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกถึงของเหลวอุ่น ๆ ไหลออกจากปลายนิ้ว
“เชี่ย! มึงเลือดออก!” ต้า เพื่อนสนิทในกลุ่มร้องลั่น รีบคว้าทิชชู่มายื่นให้
“แม่ง ตัดแรงไปหน่อยเอง”
วาโยขมวดคิ้วมองแผลที่เริ่มมีเลือดซึมออกมา เขาเอาทิชชู่กดแผลไว้ก่อนจะยักไหล่
“ไม่เป็นไร ๆ เดี๋ยวล้างน้ำก็หาย”
“มึงจะบ้าหรอ นี่มันลึกอยู่ รีบไปทำแผลเลยไป๊!” มุกโบกมือไล่
“เดี๋ยวพรุ่งนี้เป็นแผลติดเชื้อขึ้นมาได้ตัดนิ้วจริง ๆ หรอก”
“เออ ๆ รู้แล้วน่า!” วาโยหัวเราะแห้ง ๆ ถึงแม้จะไม่อยากเสียเวลาทำโปรเจกต์ แต่เพื่อน ๆ ต่างรุมกันไล่ให้เขาไปห้องพยาบาล อย่างไรก็ตาม…คือห้องพยาบาลคณะวิศวะปิด
“แม่งเอ๊ย…” วาโยถอนหายใจมองประตูห้องพยาบาลที่ล็อกสนิท คงเพราะเป็นช่วงเย็นแล้วอาจารย์ที่ดูแลเลยกลับบ้านไปแล้ว
“เฮ้ย งั้นมึงไปโรงพยาบาลเถอะ” ต้าเสนอ
“อยู่ใกล้ ๆ แค่นี้เอง ไปทำแผลให้เรียบร้อยดีกว่า”
วาโยนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพึมพำออกมาเบา ๆ
“โรงพยาบาล…”
โรงพยาบาลมหาราช (รพ.สวนดอก)
บรรยากาศของโรงพยาบาลเต็มไปด้วยผู้คนที่เดินไปมา เสียงเครื่องวัดชีพจรดังเป็นระยะ ๆ กลุ่มพยาบาล
และบุคลากรทางการแพทย์ต่างก็เดินขวักไขว่ ดูยุ่งกันไปหมด วาโยเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ในโซนฉุกเฉิน หลังจากลงทะเบียนที่เคาน์เตอร์ พยาบาลบอกว่าให้รอพบหมอเพื่อทำแผลให้ ตอนแรกมุกกับต้าจะอยู่ด้วยแต่เพราะที่คณะยังมีงานค้างจึงต้องกลับไปก่อน มือข้างที่บาดยังคงถูกกดด้วยทิชชู่แบบลวก ๆ เพื่อห้ามเลือด วาโยใช้มืออีกข้างหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา แต่ยังไม่ทันได้กดอะไร เสียงพยาบาลก็ดังขึ้นเรียกชื่อ
“คุณวาโย อรุณภัทร เชิญที่ห้องตรวจหมายเลข3ค่ะ” วาโยขยับลุกขึ้นแล้วเดินไปตามทางที่พยาบาลบอก
ประตูไม้สีน้ำตาลอ่อนถูกเปิดออก ด้านในของห้องตรวจเต็มไปด้วยกลิ่นยาอ่อน ๆ โต๊ะทำงานสีขาว ชั้นวางยา และเก้าอี้สำหรับคนไข้ แต่สิ่งที่ทำให้วาโยชะงักไปนิดหน่อยคือคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะนั้น หมอคณิน หรือ หมอคิน ผู้ชายในเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดนั่งอ่านเอกสารบางอย่างอยู่ ใบหน้าคมเข้มรับกับโครงหน้าชัดเจน ดูเคร่งขรึม แต่สิ่งที่สะดุดตามากกว่ากลับเป็นแววตาเรียบนิ่งที่เหลือบมามองเพียงแวบเดียว ก่อนที่เจ้าของจะก้มลงเซ็นเอกสารต่อ วาโยรู้จักหมอคินมานานแล้ว ไม่ใช่ในฐานะคนรู้จักส่วนตัว แต่ในฐานะ ตัวท็อปของมหา’ ลัย ทั้งหล่อ ทั้งเรียนเก่ง แถมยังเป็นนักศึกษาแพทย์ที่ใคร ๆ ต่างก็พูดถึง แม้แต่ในคณะวิศวะก็ยังมีคนเอ่ยชื่อถึงบ่อย ๆ ไม่คิดเลยว่าครั้งแรกที่ได้เจอตัวจริงจะเป็นสถานการณ์แบบนี้
“คุณวาโยนะครับ” เสียงเรียบ ๆ ดังขึ้น ทำให้วาโยได้สติ รีบก้าวเข้าไปนั่งที่เก้าอี้คนไข้ ก่อนจะพยักหน้ารับ
“ครับ พี่หมอ”
หมอคินเงยหน้าขึ้นจากเอกสารเล็กน้อย คล้ายจะแปลกใจที่ถูกเรียกแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร มือเรียวยาวสะอาดหยิบไฟฉายอันเล็กขึ้นมาส่องดูแผล จากนั้นก็เลื่อนเก้าอี้เข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิดเพื่อมองให้ชัดขึ้น
“แผลลึกนะ ต้องทำแผลให้ดี เดี๋ยวจะติดเชื้อ” แววตาเรียบเฉยของหมอคินจ้องมองนิ้วมือที่เต็มไปด้วยคราบเลือด คิ้วขมวดเข้าหากันนิด ๆ ก่อนจะหยิบสำลีชุบแอลกอฮอล์ออกมา ทันทีที่สำลีแตะลงบนแผล ความแสบก็พุ่งขึ้นมาทันที
“โอ๊ย…” มือขยับหนีแทบไม่ทัน แต่หมอคินคว้ามือไว้ก่อน แรงจับไม่ได้มากนักแต่มั่นคงพอจะทำให้ขยับไปไหนไม่ได้
“อยู่นิ่ง ๆ” เสียงทุ้มต่ำของหมอดังขึ้น สบตากับหมอใกล้ ๆ อีกครั้งเพิ่งจะรู้ว่าขนตาอีกฝ่ายยาวขนาดนี้มาก่อน
วาโยแกล้งพูดเสียงอ้อน ๆ
“พี่หมอใจร้าย”
หมอคินชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ
“คุณเป็นคนซุ่มซ่ามเองไม่ใช่เหรอ”
รอยยิ้มขำ ๆ ผุดขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
“ก็แผลมันแสบอะ หมอเป่าลมใส่ให้หน่อยดิ”
หมอคินเหลือบตามองหน้าเหมือนจะอ่านออกว่าแกล้ง ก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงเรียบ ๆ
“ถ้าไม่อยู่นิ่ง ผมจะทำให้แรงขึ้น”
'…พี่หมอ แกล้งไม่ได้ผลเลยแฮะ'
หลังจากวันนั้น
หลังจากที่หมอคินทำแผลให้วันนั้น ทุกอย่างควรจะจบลงแค่นั้น แต่ทำไมไม่รู้ว่าผ่านไปสองสามวันแล้ว
กลับอยากเจอหมอคินอีกและพอคิดแบบนั้น…โอกาสมันก็ต้องสร้างเอง!
แผลที่มือของวาโยจริง ๆ แล้วไม่ได้ถึงกับต้องเปลี่ยนผ้าพันแผลทุกวัน แต่ก็นั่นแหละ ใครสน? ในเมื่อมีข้ออ้างที่จะไปเจอหมอคิน ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ใช้มันให้คุ้ม
เช้านี้ ท้องฟ้าโปร่ง ลมเย็นกำลังดี วาโยกำลังจะเดินออกจากคณะวิศวะโดยที่มุกกับต้ามองตามหลังอย่างเอือม ๆ
“สรุปคือแผลหายรึยัง?” มุกกอดอกถาม
“ก็…ใกล้หายแล้ว”
“แล้วจะไปทำไม?” ต้าถามต่อ
“ไปให้พี่หมอดูใจ” วาโยยักไหล่ ท่าทางสบาย ๆ แต่คำตอบเล่นเอาต้ากับมุกถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
“บอกตรง ๆ มึงไม่ต้องอ้างเปลี่ยนแผลก็ได้นะ บอกไปเลยว่าคิดถึงหมอ” มุกแซวขำ ๆ
“มึงกล้าพูดขนาดนั้น กูให้คารวะเลย” ต้าเสริม
วาโยไม่ได้ตอบอะไร แค่หัวเราะแล้วโบกมือลาเพื่อน ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลมหาราช
โรงพยาบาลมหาราช
บรรยากาศของโรงพยาบาลยังคงคึกคักเหมือนเดิม คนไข้เดินเข้าออก บางคนดูเร่งรีบ บางคนดูเหนื่อยล้า
แต่คนหนึ่งที่ดูสบายใจเกินเหตุอาจเป็นคนที่ชื่อวาโยคนเดียว พอเดินไปถึงโซนทำแผล เจ้าหน้าที่พยาบาลจำหน้าได้แล้วด้วยซ้ำ
“วันนี้มาเปลี่ยนแผลอีกเหรอคะคุณวาโย?”
“ครับผม แผลยังไม่หายดีเลย” พูดไปก็ซ่อนรอยยิ้มบาง ๆ ไว้
พยาบาลมองมาอย่างจับสังเกตแต่ก็ไม่ได้ซักไซ้ แค่พยักหน้าแล้วให้ไปนั่งรอเหมือนทุกครั้ง และไม่รู้ว่าเป็นโชคชะตาหรือพรหมลิขิต หรืออะไรบางอย่างที่เรียกว่า ความพยายาม หมอที่เดินออกมาจากห้องตรวจคือคนที่วาโยอยากเจอที่สุด 'หมอคิน'
“คนไข้รายต่อไป คุณวาโย—...?”
วาโยลุกขึ้นแทบจะทันที เดินตามหมอเข้าไปในห้องตรวจด้วยท่าทีสบาย ๆ แต่ลึก ๆ ในใจคือกำลังสนุกกับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย
ห้องตรวจ หมายเลข3
หมอคินเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงาน วางแฟ้มประวัติคนไข้ลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองวาโยที่นั่งลงฝั่งตรงข้าม
แววตาคู่คมเรียบนิ่ง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ
“คุณมาตรวจอะไรอีก?”
วาโยยกมือข้างที่เคยมีแผลขึ้นมาให้ดู แม้ตอนนี้มันจะดูดีขึ้นมากแล้วก็ตาม
“ก็แผลยังไม่หายสนิท เลยอยากให้พี่หมอดูหน่อย”
หมอคินมองมาอย่างจับผิด แววตาคล้ายกับจะรู้ทัน แต่มือก็ยังเอื้อมไปหยิบสำลีและอุปกรณ์ทำแผลออกมา
“แผลแค่นี้ คุณเปลี่ยนผ้าพันเองก็ได้”
วาโยเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย แกล้งทำหน้าสลด
“ก็เปลี่ยนเองได้แหละ แต่พี่หมอทำให้มันดูดีกว่า”
มือที่กำลังจับข้อมือวาโยชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่หมอคินจะปล่อยมือออกแล้วถอนหายใจเบา ๆ
“อยู่เฉย ๆ”
แค่นั้นก็รู้แล้วว่า หมอคินไม่ไล่
ระหว่างที่ทำแผล วาโยมองมือเรียวยาวที่จับอุปกรณ์อย่างคล่องแคล่ว คิ้วของหมอขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ตอนที่ใช้สำลีเช็ดแผลให้เบา ๆ
“พี่หมอมือเบาจัง มีแฟนยังเนี่ย?”
หมอคินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง
“เกี่ยวอะไรกับการทำแผล?”
“ก็แบบ… ถ้าพี่หมอทำแผลเก่งขนาดนี้ แฟนน่าจะโชคดีมากเลย”
หมอคินเงียบไปสักพักไม่ได้ตอบอะไร แค่ทำแผลต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งพันผ้าก๊อซเสร็จ วางอุปกรณ์ลงแล้วพูดเสียงเรียบ
“เรียบร้อย กลับได้”
วาโยไม่ยอมลุกง่าย ๆ พิงพนักเก้าอี้แล้วเอียงคอถามต่อ
“แล้วสรุปว่ามีแฟนรึยัง?”
หมอคินเงยหน้าขึ้นมอง
“ไม่มี” คำตอบสั้น ๆ แต่ทำให้คนฟังยิ้มกว้างขึ้น
“อ้าว งั้นก็แสดงว่ายังมีโอกาส?”
หมอคินมองมานิ่ง ๆ ไม่ได้ตอบอะไร แค่ถอดถุงมือยางออกแล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะเปิดประตูห้องตรวจเป็นเชิงไล่กลาย ๆ
“หมดเวลาแล้วคุณวาโย ผมมีคนไข้ต้องตรวจต่อ”
วาโยเดินออกมาพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ พลางคิดในใจว่าหมอคินคงเริ่มรู้ตัวแล้วว่าเขามาหาเพราะอะไร
เสียงทุ้มต่ำจากด้านข้างดังขึ้นดึงความสนใจไปที่ต้นเสียง
“จะบอกว่าเรามาหาหมอบ่อยผิดปกติ พี่ก็ว่าใช่”
วาโยหันไปเห็นผู้ชายอีกคนในชุดกาวน์ ใบหน้าคมเข้มแต่มีรอยยิ้มขี้เล่น ดูแตกต่างจากหมอคินลิบลับ
“หมอ…?”
ชายหนุ่มหัวเราะก่อนแนะนำตัวเอง
“พี่ชื่อพีระ เพื่อนหมอคิน”
วาโยรู้สึกได้ทันทีว่า คน ๆ นี้จับสังเกตบางอย่างได้แล้ว หมอพีระยืนกอดอก มองมาอย่างรู้ทัน
“พี่เดาไม่ผิดใช่ไหมว่าเราไม่ได้มาหาหมอเพราะแผลจริง ๆ”
วาโยแกล้งทำหน้าตาใสซื่อ
“โธ่พี่หมอ อย่าพูดแบบนั้น ผมก็เป็นคนไข้ที่ดีนะ”
“คนไข้ที่เปลี่ยนแผลเกินความจำเป็น?” หมอพีระแซวกลับ
วาโยหัวเราะเบา ๆ
"เอาน่า ถือว่าเป็นการเช็กสุขภาพไปด้วยไง"
หมอพีระหัวเราะพรืด มองคนตรงหน้าอย่างสนุกสนาน
“ขยันมาหาขนาดนี้ ระวังหมอคินจะจับได้แล้วไล่เราจริง ๆ นะ”
วาโยยักไหล่ ก่อนจะตอบกลับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ถ้าไล่ ผมก็คงต้องหาเหตุผลใหม่ให้ได้ไปหาหมออีกแหละ”
ตึกคณะวิศวะกรรมศาสตร์
เสียงลมยามเย็นพัดผ่านตึกเรียนของคณะวิศวะ ขณะที่นักศึกษาส่วนใหญ่เริ่มทยอยเก็บของ
กลับบ้าน วาโยนั่งแกว่งขาอยู่บนโต๊ะไม้ยาวริมระเบียง มองไปที่วิวดอยสุเทพพลางหมุนข้อมือซึ่งตอนนี้พันผ้าก๊อซนิด ๆ อยู่ มือข้างนี้ จริง ๆ แล้วแผลหายเกือบหมดแล้ว แต่ใจนี่สิยังอยากไปโรงพยาบาลอยู่เลย เสียงฝีเท้าสองคู่เดินเข้ามาใกล้ ก่อนที่ มุก กับ ต้า จะหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ
“มึงจะไปโรงพยาบาลอีกปะ?” มุกเปิดประเด็นพลางกอดอก มองแผลของวาโยที่แทบจะเรียบเนียนดีแล้ว
วาโยเหลือบมองเพื่อนแล้วหัวเราะเบา ๆ
“แน่นอน กูยังไม่ได้ลาออกจากตำแหน่งคนไข้ประจำเลยนะ”
ต้าหัวเราะพรืด
“กูว่าแล้ว มึงไม่ได้ไปทำแผลหรอก ไปทำคะแนนกับหมอมากกว่า”
“กูเปล่า” วาโยแกล้งทำหน้าซื่อ
“หมอทำแผลดี กูก็แค่ซาบซึ้ง เลยอยากไปบ่อย ๆ”
มุกส่ายหน้าอย่างเอือมระอา
“เฮ้อ… กูอยากรู้จริง ๆ ว่าหมอคินคิดอะไรอยู่ ถ้าเป็นกู เจอคนไข้ขยันมาหาขนาดนี้ กูสงสัยไปนานแล้ว”
“มึงว่าเขาไม่สงสัยกูเหรอ?” วาโยถามพลางยิ้มมุมปาก
ต้านิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า
"สงสัยแหละ แต่พี่หมอคนนั้นมันขรึมเกิน กูว่าถึงสงสัยก็ทำหน้าเฉย ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
วาโยเท้าคางนึกถึงภาพหมอคิน ก็นั่นแหละ ทำหน้าเฉยตลอดเวลาเลย ต่อให้แซวไปกี่รอบ หมอคนนั้นก็ยังตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนเดิม
“กูก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าถ้ากูรุกแรงกว่านี้ พี่หมอจะมีปฏิกิริยาอะไรไหม”
มุกกระตุกยิ้ม
“เอาดิ กูอยากเห็นมึงจีบหมอให้ชัด ๆ ไม่ใช่แค่แซวเล่น ๆ แบบเนียน ๆ”
ต้าเสริม
“แต่มึงต้องระวังด้วยนะ หมออาจจะไม่ได้สนใจมึงแบบนั้นก็ได้”
วาโยพยักหน้ารับ
“เออ กูก็คิดอยู่ แต่กูอยากลองว่ะ อย่างน้อยถ้าหมอไล่กูจริง ๆ กูจะได้เลิกเสียเวลา”
มุกตบบ่วาโยเบา ๆ
“เออ ๆ เอาเลย แต่ถ้าโดนเทกูไม่ปลอบนะ จะหัวเราะก่อน”
โรงพยาบาลมหาราช
บรรยากาศโรงพยาบาลไม่ได้ต่างจากวันก่อน คนเดินไปมาวุ่นวายตามเดิม วาโยเดินมุ่งหน้าไปยังโซนทำแผล
"วันนี้เป็นอะไรมาคะ"
วาโยยิ้มบาง ๆ
“มาทำแผลเหมือนเดิมครับ”
พยาบาลมองแผลที่แทบจะไม่มีร่องรอยอะไรแล้ว ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ
“รอสักครู่นะคะ”
ไม่นานนัก เสียงพยาบาลก็ประกาศชื่อให้เข้าห้องตรวจ พอเปิดประตูเข้าไป หมอคินก็นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตามเดิมวันนี้หมอคินดูยุ่งกว่าวันก่อนหน่อย มีแฟ้มเวชระเบียนหลายเล่มวางอยู่ข้าง ๆ มือ แต่ถึงอย่างนั้นหมอคินก็ยังเงยหน้าขึ้นมามองเขาทันทีที่เดินเข้าไป
"นี่คุณ..." น้ำเสียงเรียบ ๆ แต่ก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคยแปลก ๆ
“พี่หมอ” วาโยยิ้มกว้าง เดินไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
หมอคินเหลือบตามองแผลที่มือ แล้วขมวดคิ้ว
"ผมว่าแผลคุณหายแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาโรง'บาลอีกแล้วนะ"
“ก็อยากให้พี่หมอตรวจให้หน่อย”
หมอคินเงียบไปสองวินาทีก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหยิบอุปกรณ์ทำแผลขึ้นมาโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดแผลเบา ๆ วาโยแกล้งทำหน้าเหยเก
“โอ๊ย แสบอะพี่หมอ”
หมอคินเหลือบตามอง
“คุณเคยเจ็บกว่านี้ไม่ใช่เหรอ”
“แต่พี่หมอทำแสบเป็นพิเศษเลย”
วาโยแกล้งพูดเสียงอ้อน ๆ หมอคินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ขอโทษด้วยนะ ผมไม่ได้ตั้งใจ”
วาโยหัวเราะเบา ๆ
“ไม่ต้องขอโทษหรอกพี่หมอ ผมแค่แกล้งเล่น”
หมอคินไม่ได้พูดอะไรต่อ แค่พันผ้าก๊อซให้จนเสร็จ วาโยมองเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดตาของหมอคินแล้วอดไม่ได้ที่จะแกล้งต่อ
“พี่หมอเคยโดนคนไข้จีบไหม?”
มือที่กำลังเก็บอุปกรณ์ของหมอคินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขา
"คุณถามทำไม"
“ก็แค่สงสัย” วาโยยักไหล่
“คนหล่อ ๆ อย่างพี่หมอ น่าจะมีคนมาจีบเยอะ”
หมอคินมองวาโยนิ่ง ๆ อยู่สองวินาที ก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงเรียบ ๆ
"ไม่มีคนไข้คนไหนถามเรื่องไร้สาระหรอก"
“งั้นถ้าผมเป็นคนแรก ผมจะได้สิทธิพิเศษอะไรไหม?”
หมอคินถอนหายใจเบา ๆ เก็บอุปกรณ์ทุกอย่างเข้าที่ แล้วพูดเสียงราบเรียบ
“ได้สิทธิพิเศษให้กลับบ้านเร็วขึ้น”
วาโยหัวเราะพรืด
“โห ไล่กันโต้ง ๆ เลยเหรอพี่หมอ”
หมอคินไม่ตอบอะไร แค่พยักหน้าเป็นเชิงว่า ใช่ แต่ในจังหวะที่วาโยกำลังจะลุกขึ้น เสียงคุ้น ๆ ก็ดังขึ้นจากข้างหลัง
“เฮ้ย น้องวาโย! มาอีกแล้วเหรอ?”
หันไปมองก็เห็น หมอพีระ ยืนกอดอกอยู่หน้าประตู สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้ทัน
วาโยยิ้มทักให้หมอพีระ ก่อนจะหันไปทางหมอคิน
“งั้นวันนี้พี่หมอให้ผมกลับบ้านแล้วใช่ไหม?”
หมอคินพยักหน้า
“กลับได้แล้ว"
วาโยหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องตรวจ หมอพีระที่ยืนอยู่หน้าประตูยังคงมองตามหลังเขา ก่อนจะหันไปหาเพื่อนตัวเอง
“คิน มึงรู้ตัวไหมว่าเด็กนี่มันจีบมึง”
หมอคินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบเรียบ ๆ
“รู้”
หมอพีระเบิกตากว้าง
“ห๊ะ! แล้วมึงจะทำไง?”
หมอคินเงียบไปอีกครั้ง ก่อนจะตอบสั้น ๆ
"ยังไม่ได้คิดอะไร"
หมอพีระหัวเราะ
“เห้ย ๆ ๆ นี่มีโอกาสแล้วว่ะ กูนึกว่ามึงจะบอกว่าไม่สนใจเลยซะอีก”
หมอคินไม่ได้ตอบอะไรอีก เพียงแต่หลุบตาลงมองแฟ้มเวชระเบียนตรงหน้า ที่มีชื่อ วาโย อยู่เป็นคนไข้ล่าสุดของเขา
ดูเหมือนว่าต่อไปคงต้องคิดแล้วจริง ๆ ว่า ควรทำยังไง กับคนไข้ที่ไม่ได้อยากรักษา แต่อยาก จีบหมอ แทน