
“กลิ่นธูปตอนตีสามจากเพื่อนบ้านที่ไม่มีใครอยู่”
มีบางกลิ่น... ที่ไม่ควรลอยมาในเวลานั้น
มีบางเสียง... ที่ไม่ควรดังในบ้านที่ไม่มีใครอยู่
และมีบางความทรงจำ... ที่ไม่ควรถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง
อรินทร์ หญิงสาววัยสามสิบต้น ๆ ที่เพิ่งผ่านจุดตกต่ำในชีวิต สูญเสียงาน สูญเสียคนรัก และไม่มีที่ให้กลับไป เธอตัดสินใจหนีจากเมืองใหญ่ มาพักใจกับบ้านเช่าหลังเล็กในต่างจังหวัด — บ้านที่ดูธรรมดา แต่ราคาถูกเกินจริง และอยู่ติดกับ “บ้านไม้สองชั้น” ที่เจ้าของบอกเพียงว่า... ไม่มีคนอยู่มานานแล้ว
คืนแรกที่เธอย้ายเข้า กลิ่นธูปลอยมาแตะจมูกตอนตีสาม — กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่แปลกตรงที่มันเหมือน “มีคนเพิ่งจุด” ทั้งที่บ้านข้าง ๆ มืดสนิท ไม่มีแสงไฟแม้แต่น้อย อรินทร์พยายามบอกตัวเองว่าเป็นเพราะลม หรืออาจมีใครมาทำพิธีบางอย่าง แต่เมื่อคืนถัดมา กลิ่นธูปกลับมาอีกครั้ง พร้อมเสียงเคาะเบา ๆ จากรั้วไม้ด้านข้าง และเสียงกระซิบของหญิงแก่ที่เธอไม่เคยเห็นหน้า...
“อย่าลืมจุดให้แม่ด้วยนะลูก...”
เสียงนั้นดังขึ้นทุกคืน — ตรงเวลาเดิม — ตีสามตรงเป๊ะ
แม้อรินทร์จะพยายามไม่สนใจ แต่ความสงสัยกลับคืบคลาน เธอเริ่มสังเกตว่าในบ้านข้าง ๆ มีเงาคนผ่านหน้าต่างบ้างในบางคืน เหมือนมีใครอยู่ในนั้นจริง ๆ แต่พอเช้า เธอกลับพบว่ารอยเท้าที่เห็นเมื่อคืน... หายไปหมด เหมือนถูกลบออกไปจากพื้นด้วยมือใครบางคน
ทุกอย่างเริ่มสยองขึ้นเมื่อเธอพบกระถางธูปเล็ก ๆ วางอยู่หน้าประตูบ้านตัวเอง ภายในมีชื่อของเธอ — เขียนด้วยลายมือที่สั่นระริกบนกระดาษเก่า เหมือนเป็นกระดาษที่ใช้ในพิธีขอขมาอะไรบางอย่าง...
อรินทร์เริ่มฝันซ้ำ ๆ เห็นหญิงแก่ในชุดผ้าถุงสีซีด นั่งอยู่หน้าศาลไม้ จุดธูปแล้วหันมามองเธอพร้อมพูดคำเดิม “อย่าลืมจุดให้แม่ด้วยนะลูก...”
ทุกครั้งที่เธอตื่นขึ้นมากลางดึก กลิ่นธูปก็จะลอยอวลอยู่ในห้อง ทั้งที่ไม่มีธูปอยู่เลยสักดอก
เธอพยายามหาคำตอบจากคนในละแวกนั้น แต่ทุกคนกลับเงียบกริบเมื่อเอ่ยถึงบ้านหลังข้าง ๆ
บางคนแค่ส่ายหน้า บางคนทำท่าปัดมือราวกับไม่อยากพูดถึง
มีเพียงหญิงชราเจ้าของร้านขายของชำที่ยอมกระซิบเบา ๆ ว่า...
“บ้านนั้น... แม่เขาตายแบบไม่มีใครจุดธูปให้เลยจ้ะ เขามีลูกสาว แต่ไม่เคยกลับมาเยี่ยมเลยตั้งแต่หนีไปเมืองกรุง”
ชื่อของลูกสาวคนนั้น... ทำให้อรินทร์หัวใจหล่นวูบ — มันคือชื่อเดียวกับแม่ของเธอ
ทุกอย่างเริ่มสับสน ปริศนาเริ่มถักทอเข้ากับอดีตของเธอเอง
หญิงแก่ในฝันอาจไม่ใช่ “เพื่อนบ้าน”
แต่คือใครบางคนที่รอให้เธอ “จุดธูปให้” มานานกว่าที่คิด
เสียงสวด เสียงกระซิบ และกลิ่นธูปตอนตีสาม กลายเป็นการเตือนของวิญญาณที่ยังไม่ยอมไปไหน เพราะบางบาปในอดีต... ยังไม่มีใครขอขมา บางคำขอโทษ... ยังไม่มีใครได้ยิน
เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องผีหลอก
แต่เป็น “อาถรรพ์สะท้อนใจ” ที่ถามกลับเราทุกคนว่า —
เราทำได้จริงหรือ? ที่จะปล่อยวางอดีตโดยไม่หันกลับมาขอขมาใครเลย
และบางครั้ง... สิ่งที่น่ากลัวกว่าเสียงผี
คือ “ความเงียบ” ของคนที่เราลืมไปนานแล้ว

