บทที่ 1 แต่งงานกันนะ 1
ภายในร้านอาหารฝรั่งเศสที่หรูหราโออ่า สายตาหลายคู่จับจ้องหญิงสาววัยยี่สิบหกปีที่สวมชุดเดรสสไตล์หวานหยดแอบเซ็กซี่เล็กน้อยด้วยการโชว์เอวคอดบาง เรือนผมยาวสลวยประดับกิ๊ฟเพชรดอกไม้เหน็บข้าง ทำให้ดูสวยหวานบาดใจมากกว่าทุกที
เธอยืนฉีกยิ้มให้แฟนหนุ่มที่นัดมาในวันนี้อย่างน่ารัก เจ้าของใบหน้าพริ้มเพรามองภาพโรแมนติกตรงหน้าดวงตาเปล่งประกาย ใต้แชนเดอเลียร์คริสตัลแท้ระย้า มีโต๊ะอาหารและเก้าอี้สองตัวสไตล์หลุยส์ตั้งเป็นเอกเทศจากตัวอื่น บนโต๊ะตกแต่งด้วยดอกกุหลาบแดงและเชิงเทียน เปลวไฟสีส้มน้ำเงินเพิ่มความเย้ายวนระคนอบอุ่นอ่อนหวานขึ้นอีกหลายเท่า
รัชชัยมองโมฬีด้วยดวงตาวาววับชื่นชม ปกติแฟนสาวของเขามักชอบใส่เสื้อกับกางเกง จบด้วยรองเท้าผ้าใบลุยๆ หรือไม่ก็รองเท้าส้นเตี้ย ทำให้เธอดูสดใสอ่อนวัยเหมือนนักศึกษา แต่วันนี้เธอสวมใส่กระโปรงเข้าชุด ให้ความรู้สึกเป็นสาวสะพรั่งเต็มวัย นอกจากจะสวยแล้วยังดูเซ็กซี่ไม่หยอก ทำเอาร่างกายเขารุ่มร้อนตื่นตัว เกิดอารมณ์อยากจะจับเธอกดลงบนโต๊ะอาหารเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“มาครับ...โม”
เขาเอ่ยเรียกหญิงสาวพลางเดินเข้าไปจูงมือโอบเอว เลื่อนเก้าอี้ให้เธออย่างสุภาพบุรุษ ก่อนที่ตัวเองจะนั่งลงฝั่งตรงข้าม สายตาวิบวับยังคงมองโมฬีไม่วางตา รอยยิ้มยิ่งดูเจ้าชู้กรุ้มกริ่มจนสาวเจ้าสะเทิ้นอาย ใบหน้าเริ่มร้อนเห่อ รู้สึกประหม่า มือไม้เก้งก้างไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนดี
“อย่าเอาแต่มองสิรัช โมเขินนะ”
“แฟนรัชสวยขนาดนี้ ไม่มองก็เสียของน่ะสิ”
“รัชก็พูดเว่อร์ไป โมก็ปกติเหมือนทุกวันนั่นแหละ”
“ไม่เหมือน วันนี้โมสวยมาก สวยจนผมแทบจะอดใจไม่อยู่แล้วรู้มั้ย”
รัชชัยโน้มหน้าเข้ามาใกล้ กระซิบสุ้มเสียงแหบพร่าให้พอได้ยินกันแค่สองคน ถึงกระนั้นก็ยังทำเอาโมฬีหน้าแดงซ่าน ใจหวามสั่นหวิว ทั้งเขินทั้งดีใจที่ถูกแฟนหนุ่มชมเปาะไม่ขาดปาก หวนนึกขอบคุณจุรีรัตน์ที่พาเธอไปเลือกชุดนี้เมื่อตอนบ่าย...
“วันนี้แกจะไปเจอแฟนทั้งที ต้องแต่งตัวสวยๆ หน่อย”
“ก็แค่กินข้าวกันธรรมดา” เธอเอ่ยอย่างไม่ใคร่ตื่นเต้นนัก ผิดกับเพื่อนสนิทที่ทำราวกับเจ้าหล่อนกำลังจะถูกขอแต่งงาน
“วันนี้อาจจะไม่ธรรมดาก็ได้”
“แกหมายความไงฮะจุ๊” โมฬีถามเมื่อเห็นสีหน้ามีเลศนัยของเพื่อน
“ของแบบนี้ให้เจ้าตัวเขาพูดดีกว่ามั้ย”
“แกรู้อะไรดีๆ ก็ว่ามา”
จุรีรัตน์ทำเป็นอิดออดสองสามทีก็รีบคาย เพราะคันปากอยากเมาท์ให้เพื่อนรู้จนอกจะแตกตายอยู่แล้ว
“เมื่อวันก่อนฉันเห็นแฟนแกที่ร้านเพชร กำลังเลือกแหวนอยู่”
“แหวน?”
“ไม่ใช่แหวนธรรมดานะแก แต่เป็นแหวนคู่!”
“แหวนคู่แต่งงาน?” โมฬีถึงกับตะลึง
“ใช่! แถมวันนี้เขายังนัดแกไปดินเนอร์อีก แกคิดว่าไงล่ะ”
โมฬียกมือปิดปากอย่างเหลือเชื่อ จากตอนแรกที่เฉยๆ ตอนนี้เธอตื่นเต้นดีใจไปหมด จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าออกจากร้านมาตอนไหน ออกมาอย่างไร ชุดนี้ก็เป็นเพื่อนสาวที่ช่วยเลือกและจัดการให้เธอ ซ้ำยังพาเธอไปที่เคาน์เตอร์แบรนด์เครื่องสำอางเพื่อแต่งหน้าจนสวยพริ้ง
“หวานมากไปแล้ว เดี๋ยวโมก็สำลักน้ำตาลตายก่อนจะได้กินข้าวหรอก” เธอแซวยิ้มๆ ที่แฟนหนุ่มเอาแต่นั่งมองกันตาเยิ้ม
“พอก็ได้ ทานอาหารกันเถอะ อิ่มแล้วผมมีอะไรจะบอก”
โมฬีพยักหน้าแล้วเริ่มลงมือทาน อาหารมื้อนี้เป็นไปอย่างชื่นมื่น รัชชัยเอาใจใส่ตักของโปรดที่เธอชอบให้ไม่ขาด ปากอิ่มรูปกระจับเคี้ยวอย่างรวดเร็ว ลิ้นแทบไม่รู้รสชาติ ใจเธอตอนนี้ไม่ได้จดจ่ออยู่กับอาหารเลิศรสตรงหน้าเลย มันเอาแต่ลุ้นระทึกอยู่ว่ารัชชัยจะขอเธอแต่งงานอย่างไร
จะหวานเจี๊ยบจนเธอกรี๊ดลั่นเลยมั้ยนะ?
หลังตบท้ายท้ายด้วยของหวานที่หวานไม่เท่าสายตาแฟนหนุ่ม โมฬีก็นั่งตัวเกร็งเมื่อรัชชัยเอื้อมมือมากุมมือเธอไว้ มองเธอด้วยสายตาลึกซึ้งสื่อความหมาย แล้วเอ่ยกับเธอว่า
“ผมมีเรื่องสำคัญจะบอกคุณ”
มาแล้ว!
โมฬีลุ้นจนตัวโก่ง กลั้นหายใจถามกลับเขาไปว่า
“เรื่องอะไรคะ”
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบในทันที ล้วงมือเข้าไปในเสื้อสูท หยิบกล่องกำมะหยี่ใบเล็กออกมาเปิดออกตรงหน้าเธอ ในกล่องมีแหวนเพชรเม็ดงามเม็ดเล็กหนึ่งวงอยู่เคียงข้างกับแหวนเกลี้ยงเกลาไร้ลวดลายอีกหนึ่งวง เขาหยิบวงใหญ่สวมนิ้วนางข้างซ้ายของตน ก่อนจะหยิบอีกวงมาจ่อที่นิ้วนางข้างซ้ายของหญิงสาว เอ่ยถามเธอเสียงนุ่มอ่อนหวานว่า
“แต่งงานกันนะโม”
แววตากลมโตหวานฉ่ำของโมฬีเปล่งประกายเจิดจ้า น้ำตาปริ่ม รอยยิ้มปิติยินดีระบายเต็มใบหน้าจิ้มลิ้ม หัวใจที่เต้นตึกตักอยู่แล้วยิ่งพองโตจนคับอก เธอพยักหน้ารับระรัวโดยไร้คำพูด
รัชชัยฉีกยิ้มกว้าง มีความสุขไม่ต่างจากหญิงสาว เขาบรรจงสวมแหวนให้เธอ มองมันยามที่เคลื่อนเข้าจดโคลนนิ้ว รู้สึกว่าช่างสวยงามเหลือเกิน สวยจนอดใจไม่ไหว ยกมือโมฬีขึ้นจดริมฝีปากลงบนแหวนและหลังมือบอบบาง
“หลังจากนี้อีกสองปี เราจะแต่งงานกัน”
โมฬีฟังแล้วสะดุดหูกับคำว่า ‘สองปี’ รู้สึกว่ามันแปลกๆ มีอะไรที่รู้สึกติดใจอยู่บางอย่าง เขาขอเธอแต่งงานแล้ว นั่นหมายความว่าเขาพร้อมที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกับเธอแล้วมิใช่หรือ ถ้ารัชชัยอยากให้รออีกสองปี เขาน่าจะขอเธอแต่งงานตอนนั้นสิ ไม่ใช่มาขอแต่งตอนนี้
เอาจริงๆ เขาไม่ต้องรีบร้อนก็ได้นี่นา เขาน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเธอไม่เคยมีใครนอกจากเขา ถ้าเขาบอกว่าให้รอ เธอก็พร้อมจะรอเขาโดยไม่มีเงื่อนไข
“ทำไมต้องรอนานขนาดนั้นด้วยล่ะคะ”