“สร้อยเหรอคะ” เธอถามตอนที่เห็นเขาล้วงสร้อยออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“อืม เพิ่งนึกได้ว่าไม่ค่อยให้ของขวัญเป็นเครื่องประดับกับพรีม” ภามมีของขวัญให้เธออยู่ทุกโอกาสอยู่แล้ว แต่ส่วนมากให้เป็นของใช้มากกว่า ทั้งเรื่องเทคโนโลยี เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า หรืออะไรที่ตาม เทรนด์ ใกล้เคียงกับเครื่องประดับที่สุดก็น่าจะเป็นนาฬิกา
“พี่ใส่ให้นะ”
“เอ่อ ค่ะ” ทำตัวไม่ถูกอยู่ชั่วขณะก่อนหันหลังให้เขาใส่ให้
“เรียบร้อยแล้วครับ” พริมาหันกลับมา เห็นสายตาเขามองที่สร้อยเธอด้วยความชื่นชมก็ก้มลงมอง หยิบจี้กุหลาบเล็กๆ ขึ้นมาดู
“กุหลาบอีกแล้ว” เธอแซวเขา
“แล้วพรีมชอบไหม”
“ชอบค่ะ” เงยหน้ามองเขา ยิ้มกว้างสดใสเอาใจ ทำให้ภามขยับเข้าไปใกล้ โอบกอดและจุมพิตขมับเธอไปหนึ่งที
“ว่าแต่ทำไมนอนดึกจังครับ มีอะไรทำให้คิดมากจนนอนไม่หลับหรือเปล่า” เขาใส่ใจความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ของเธอเสมอ และเธอคงเก็บความรู้สึกบนสีหน้าได้ไม่ดีนัก ภามถึงดูกังวล
“พรีมมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า หรือมีใครทำอะไรพรีม” การถามย้ำด้วยอาการที่จริงจังกว่าครั้งแรกทำให้พริมาไม่รู้ว่าเธอจะหาเหตุผลไหนมาโกหกเขาแล้วภามจะสิ้นสงสัย และลึกๆ เธอก็กำลังคิดว่าหรือเธอควรจะพูดคุยกับเขาตรงๆ บ้าง เกี่ยวกับความสัมพันธ์ตลอดเกือบสามปีของเรา
“พี่ภาม ไม่มีใครทำอะไรพรีมหรอก”
“จริงเหรอ” เห็นไหมว่าเขาไม่เชื่อหรอก ช้อนสายตามองเขาตรงๆ เรียกความมั่นใจให้ตัวเอง
“พรีมกำลังคิดเรื่องของเรา”
“พี่ทำอะไรให้พรีมรู้สึกไม่สบายใจงั้นเหรอ พรีมบอกพี่ได้นะครับ”
ท่าทีร้อนรนและเคร่งเครียดของภามทำให้พริมายิ่งต้องรีบอธิบาย ก่อนที่ภามจะเข้าใจอะไรผิดไปมากกว่านี้
“ไม่ใช่ค่ะ พี่ภามไม่ได้ทำอะไรให้พรีมไม่สบายใจ แบบนั้น แต่คือ”
พริมาไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร จนภามดึงมือเล็กๆ มากุมไว้ แล้วรอให้เธออธิบายอย่างใจเย็น
“พรีมจะเริ่มจากตรงไหนดีพี่ภาม ฮื่อ”
“ค่อยๆ คิดครับ” นิ้วหัวแม่มือไล้หลังมือเธอให้ผ่อนคลาย
“พี่ภาม เราหมั้นกันตั้งแต่พรีมอายุสิบหก ตอนนั้นก็คิดว่าตัวเองเด็กมาก แต่ผ่านมาสามปีแล้วพรีมก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะยังเด็กเกินไปสำหรับการเป็นภรรยาพี่ภามหรือเปล่า”
คิ้วเข้มขมวด แล้วก็มองเธออย่างขอความเห็นใจ พริมายิ้มจางๆ ให้อีกฝ่าย บีบมือเขากลับ ก่อนจะพยายามอธิบายต่อ
“ตั้งแต่ที่เราหมั้นกันแรกๆ เลยนะคะ พี่เมธชอบแซวว่าพรีมยังเด็กเกินไป พรีมจะเอาพี่ภามอยู่เหรอ พี่ภามสาวๆ เยอะ ตอนแรกพรีมก็ยังไม่เข้าใจมากนักว่ามันหมายถึงอะไร พี่ภามก็ดีกับพรีมออก แต่พอถูกแซวบ่อยๆ พรีมก็เริ่มจะคิดมากว่าพี่ภามอาจจะมีสาวของพี่ภาม เพราะพรีมอาจจะยังเด็กเกินไปจริงๆ”
เธอเห็นว่าคิ้วเข้มนั้นยิ่งแทบจะชนกันเข้าไปอีก สายตาเต็มไปด้วยคำถามมากมาย ก่อนที่มันจะเริ่มนิ่งสงบ ทำให้หัวใจเธอสงบตาม และกล้าที่จะพูดทุกความรู้สึกกับเขา
“พรีมไม่รู้ว่าควรถามพี่ภามไหม สมมติว่าพี่ภามมีคนอื่นจริงๆ พรีมจะมาสิทธิ์หวงพี่ภามแค่ไหน เพราะพี่ภามก็ไม่ได้ตั้งใจจะคบกับพรีม แต่เราหมั้นกันเพราะผู้ใหญ่อยากให้พี่ภามดูแลพรีม”
“พรีม พี่ไม่เคยคิดว่าการที่มีพรีมเป็นคู่หมั้น เป็นว่าที่เจ้าสาวในอนาคตคือความจำเป็นเลยนะครับ โอเค มันอาจจะพูดยากที่เราไม่ได้เริ่มต้นจากการจีบกัน ชอบกัน แต่ตอนนี้เราก็จีบกันมาสามปีแล้วหรือเปล่า”
พริมายิ้มให้คำถามนั้น แม้ลึกๆ จะอยากฟังว่าเขาชอบเธอ รักเธอ แต่มันก็พูดยากจริงๆ นั่นแหละ แบบที่ถ้าเขาบอกแบบนั้นจริงๆ เธอเองยังไม่รู้ว่าจะเชื่อได้สนิทใจหรือเปล่า
“เหมือนที่พี่เองก็ไม่มั่นใจว่าพรีมมองความสัมพันธ์ของเราแบบไหน ตอนนั้นพรีมเด็กมากจริงๆ จนพี่กลัวว่าถ้าพี่จีบพรีมจริงจังเกินไป จะกลายเป็นผู้ใหญ่หลอกเด็กหรือเปล่า”
พอพูดมาถึงตรงนี้พริมาก็หลุดขำ
“ฮื่อ ก็จริง ตอนนั้นพรีมยังมึนๆ งงๆ อยู่เลยว่าต้องรู้สึกกับพี่ภามแบบไหน”
“จริงมั้ย แต่มันก็สามปีแล้วเนอะ” เขาพูดเพียงแค่นั้นก็ทอดสายตาเป็นประกายที่ทำให้พริมาหลบวูบ รู้สึกร้อนที่แก้ม
“ส่วนเรื่องผู้หญิง ตั้งแต่พี่ตัดสินใจที่จะมีพรีม พี่ไม่เคยมีคนอื่น พี่มีพรีมคนเดียว จะในฐานะไหนความสัมพันธ์แบบไหนพี่ก็ไม่เคยมี ใครมาแซวมาปั่นอะไรก็ไม่ต้องไปคิดมากแล้วนะครับ พี่ไม่มีทางหักหลังพรีม”
พอเขาบอกแบบนั้นพริมาก็ยิ้มกว้าง ก็ยังไม่มั่นใจหรอกว่าภามพูดจริงแค่ไหน เขาแค่พูดให้เธอสบายใจไปอย่างนั้นหรือเปล่า แต่ก็คิดว่าคงไม่ท้วงถามเขาอีกแล้วในเวลานี้ เธอรู้ว่าเขาดีกับเธอแค่ไหน แต่ด้วยความที่ถูกป้อนข้อมูลมานาน แล้วตัวเองก็อยู่แต่ในไร่เป็นส่วนใหญ่ เลยทำให้ความคิดพวกนั้นกัดกร่อนจิตใจเธอ วันนี้แม้จะรู้สึกโล่ง แต่ก็ไม่อาจสิ้นสงสัยจนหมดสิ้นได้
“แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าตัวเองจะเด็กเกินไปสำหรับพี่นะครับ” อีกครั้งที่สายตาเขาทำให้เธอใจสั่น พริมาหลุบสายตามองมือที่กุมกันไว้ตอนที่ใบหน้าคมเลื่อนเข้ามาจุมพิตที่หน้าผาก
“ปีก่อนนอกจากดอกกุหลาบกับแหวนแล้วพี่ให้อะไรพรีมอีกจำได้ไหม” เขาจูบหนักๆ บนหน้าผากอีกครั้ง พริมาก็จำได้ชัดเจนตอนที่เขานับเลขสอง
“สอง”
“สามแล้วค่ะ” เธอท้วง อีกฝ่ายหัวเราะ แล้วก็จูบแก้มเป็นครั้งที่สี่ หากปีนี้เขาไม่ได้หอมเร็วๆ ให้มันครบไวๆ แต่ทุกอย่างเชื่องช้า อ้อยอิ่ง
“ห้า หก เจ็ด” ห้าแก้มซ้าย หกแก้มขวา เจ็ดปลายจมูก และครั้งที่แปดไร้เสียงนับเมื่อปากร้อนผ่าวกดลงที่ริมฝีปากเธอ พริมาแทบกลั้นหายใจ แต่ก็พบว่าตัวเองใจสั่นมาก...ภามไม่เคยจูบแบบนี้
กดจูบแนบแน่นแล้วผละออก เสี้ยววินาทีก็จูบลงมาใหม่ สัมผัสที่คลึงเคล้าบนกลีบปากทำให้พริมานับไม่ถูกว่าครั้งที่เท่าไหร่แล้ว
“เก้า” เป็นเสียงทุ้มต่ำที่นับเองตอนที่ริมฝีปากกดจูบลงบนคอ จูบหลายๆ ครั้งจนน่าจะเกินปีที่สิบเก้าแล้วตอนที่เขาจูบลงบนหัวไหล่ในที่สุด หากก็ยังจูบไปทั่วผิวเนื้อที่อยู่นอกเหนือชุดนอนสายเดี่ยวเธอ
“สิบ” ไม่ใช่แล้วละ พริมาค้านในใจตอนที่ลมหายใจร้อนรินรดเนินอก ทั้งปากจมูกคลอเคลีย เดาไม่ถูกเลยว่าเขาจะจูบไปกี่ครั้ง แล้วก็จูบไปถึงตรงไหนบ้าง