ภามต้องยอมรับว่าสิ่งที่คุยกับปู่โรจน์เมื่อคืนยังติดอยู่ในความคิด แม้ยามหลับก็ยังเก็บเอาไปฝัน มันมีความลังเล แต่พอตื่นขึ้นมาในเช้านี้ ภามก็ยังมั่นใจว่าจะไม่กลับคำพูดแน่นอน
ชายหนุ่มยิ้มให้ตัวเอง ก่อนจะลุกจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัว วันนี้ต้องพาว่าที่คู่หมั้นขับรถเล่น ถึงไหนก็ค่อยว่ากัน
พอลงมาข้างล่างก็เห็นปู่โรจน์จิบกาแฟดำที่ห้องนั่งเล่นที่เราคุยกันเมื่อคืน ภามแวะเข้าไปหา
“เป็นไง เมื่อคืนนอนหลับไหม” ผู้สูงวัยถามด้วยรอยยิ้ม คงรู้ทันความรู้สึกนึกคิดว่าต่อให้เมื่อคืนภามจะยินดีที่จะแต่งงานกับพริมาในอนาคต แต่ก็คงยังสับสันอยู่พอสมควร
“หลับสบายเลยครับ อากาศกำลังดี” รอยยิ้มผ่อนคลาย แววตามั่นคงที่มองผู้สูงวัยทำให้อีกฝ่ายผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก
“ฝากน้องหน่อยนะภาม ปู่มองหาใครไม่เจอแล้ว ตอนแรกก็คิดว่าอยากจะลองคุยกับหนึ่ง แต่หลังๆ มาพรีมกับหนึ่งเขาก็ไม่ค่อยสนิทกัน ช่วงนั้นเขาก็อาจจะยุ่งๆ ทำงานหนัก แล้วหนึ่งเขาก็อายุมากกว่าพรีมอยู่หลายปี” พอปู่โรจน์พูดถึงผู้ชายอีกคนภามก็รู้สึกตึงๆ ขึ้นมา มันแอบรู้สึกหวง...เมื่อก่อนพริมามีพี่ชายอีกคนที่อยู่ใกล้ชิดและน่าจะสนิทสนมมากกว่าเขา
ธีรภัทรเป็นลูกชายของเพชร ที่เป็นทั้งลูกน้องคนสนิทและน้องชายคนหนึ่งของโรจน์ ซึ่งตอนนี้ก็ช่วยดูแลไร่ดูแลโรงงาน เพราะโรจน์เองก็วางมือจากการบริหารเยอะแล้ว ให้ภรรยากับลูกๆ ของเธอดูแล ส่วนเพชรก็เป็นเหมือนคนที่โรจน์ไว้วางใจที่สุด หลังจากสูญเสียลูกชายคนเดียวก็ยอมรับว่าหมดพลังในการใช้ชีวิตไปพอสมควร
ธีรภัทรน่าจะแก่กว่าเขาอยู่สี่ห้าปี ซึ่งถ้าเทียบกับพริมาก็เกือบๆ สิบปี แต่ก็เป็นพี่ชายคนเดียวที่เธอสนิทสนมด้วย เพราะอีกฝ่ายก็มีบ้านอยู่ในไร่ แต่อยู่คนละที่กับบ้านของโรจน์
ถ้าเป็นสมัยก่อนธีรภัทรก็ลงเป็นที่หนึ่งของพริมา จนพอเธอเริ่มมาเรียนในตัวเมืองถึงมาสนิทกับเขามากขึ้น ก็ตามประสาเด็ก อยู่ใกล้ใครก็ไว้ใจคนนั้น
ยิ่งหลังจากที่ประสบอุบัติเหตุ ก็ไม่ค่อยเจออีกฝ่ายหรือได้ยินพริมาพูดถึงเท่าไร ทางนั้นก็เพิ่งเริ่มมารับผิดชอบงานช่วยพ่อ ส่วนพริมาที่แทบจะไม่เอาใครเลยในตอนนั้นก็คงจะลืมๆ อีกฝ่ายไปบ้าง ถ้าภามไม่เพียรมาหาเธอบ่อยๆ จนเด็กหญิงไว้วางใจก็คงจะถูกลืมไปอีกคน
“ปู่ก็ไม่รู้จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน ปีหน้าก็เจ็ดสิบแล้ว”
“ปู่โรจน์ยังแข็งแรงอยู่มากครับ” ภามพูดยิ้มๆ แม้เขาเองจะพอรู้ว่าอีกฝ่ายก็มีโรคประจำตัว ซึ่งยิ่งคิดมาถึงตรงนี้ก็ยิ่งใจหาย ปู่โรจน์เป็นไม้ใหญ่ต้นเดียวที่พริมาสามารถพักพิง หากไม้ใหญ่ต้นนี้ล้มลงเด็กสาวคงเหมือนไม่เหลือที่ให้ยึดเหนี่ยว ซึ่งภามไม่มีทางที่จะมองดูเฉยๆ ได้ ดังนั้นสิ่งที่ปู่โรจน์ขอ มันเป็นสิ่งที่เขาควรต้องทำให้
“อืม ก็ดูกันไป ว่าแต่ภามจะบอกน้องเองไหม หรือรอให้ปู่คุยกับน้องก่อน”
“เอ่อ ให้ปู่คุยกับน้องก่อนแล้วกันครับ” เกิดเขาคุยเองแล้วน้องตกใจ ปฏิเสธที่จะมีเขาเป็นคู่หมั้นภามก็คงจะทำตัวไม่ถูก
“เอาไว้วันไหนปู่เรา หรือพ่อแม่เราว่างก็ค่อยมาพูดคุยกัน”
“ครับ”
“กี่โมงแล้วล่ะภามตอนนี้”
“เจ็ดโมงครับ”
“ไปตามเขามากินข้าวเช้าไหม จะไปไหนมาไหนจะได้รีบไป ไม่กลับค่ำ” ปกติแล้วที่บ้านจะกินมื้อเช้าไม่พร้อมกัน ปู่โรจน์มักจะดื่มกาแฟดำในเช้าตรู่
“ครับ เดี๋ยวผมไปหาพรีมก่อน”
“ไปๆ ไม่รู้ตื่นหรือยัง”
“ตื่นแล้วครับ คุยกันแล้วเมื่อเช้า” ปกติพริมาไม่ใช่คนตื่นสายเพราะเธอมักจะเข้านอนไว แล้วก็ตื่นเช้า ตีห้าหกโมงก็ตื่นแล้ว เจ้าตัวชอบบอกว่าตื่นมาวาดรูปเวลานี้มันสบายใจดี หลังจากเกิดอุบัติเหตุต้องยอมรับว่าการเรียนรู้เธอช้าลงมาก ตอนนี้ก็ดีตรงที่อ่านเขียนหนังสือได้แล้ว คำนวณพื้นฐานง่ายๆ ได้ ภามก็ส่งเสริมให้น้องลองเรียนศิลปะดู ซึ่งอีกฝ่ายก็ดูจะชอบทั้งศิลปะ ดนตรี แล้วก็พวกงานฝีมือต่างๆ
“ถ้าอย่างนั้นผมขอไปหาน้องที่บ้านเลยนะครับ”
“ไปๆ”
ระยะห่างจากบ้านสองหลังก็ประมาณสิบเมตร อยู่ในบริเวณรั้วกำแพงเดียวกัน แต่บ้านของพริมาจะมีรั้วไม้สีขาวเล็กๆ มีสวนกุหลาบเป็นรั้วอีกชั้นหนึ่ง
ตัวบ้านยังปลูกกุหลาบเลื้อย และมีตรงระเบียงอีก...เรียกได้ว่าเตรียมพร้อมเป็นเจ้าของไร่กุหลาบจริงๆ นอกจากศิลปะแล้วก็มีสวนดอกไม้นี่แหละที่พอให้พริมาได้มีอะไรให้ผ่อนคลายบ้าง แต่ละวันมันจะได้ไม่เงียบเหงาและน่าเบื่อเกินไป
ภามมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบ้าน หยิบโทรศัพท์โทรหาอีกฝ่าย
“สวัสดีค่ะพี่ภาม”
“ครับ พี่อยู่หน้าบ้านนะ”
“โอเค พรีมรีบลงไปเปิดประตูให้” แสดงว่าน่าจะยังอยู่บนห้อง
“ไม่ต้องรีบก็ได้ครับ ค่อยๆ เดิน” ภามแซวคนในโทรศัพท์ แต่ไม่ถึงนาทีพริมาก็มาเปิดประตูให้...ไม่รู้ว่าเพราะวันนี้เธอแต่งตัวน่ารักเป็นพิเศษ หรือเพราะรู้ว่าตัวเองกำลังจะได้เป็นคู่หมั้น มันเลยรู้สึกตื่นเต้นแปลกๆ
“แต่งตัวเรียบร้อยแล้วเหรอครับ”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ เป็นยังไงคะ พอจะเป็นสาวเมืองได้ไหม” เจ้าตัวยิ้มสดใส หมุนตัวโชว์อีกหนึ่งกรุบ ภามหัวเราะ พยักหน้าแล้วก็ทำเป็นยกนิ้วโป้งให้
วันนี้พริมาใส่เดรสลายดอกไม้เล็กๆ น่ารัก สดใสเชียว แม้ว่าเจ้าตัวจะมีความเป็นเด็กมากกว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันในยุคปัจจุบัน แต่เรื่องแต่งตัว แต่งหน้าเธอไม่เป็นรองใคร คงเพราะชอบศิลปะ ชอบอะไรสวยๆ งามๆ ศิลปะการแต่งหน้าเลยเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เธอสนใจ...คนที่สวยอยู่แล้ว แต่งแบบไหนก็ยิ่งสวยเข้าไปอีก
“กินข้าวกันก่อนไหมครับ ออกแต่เช้าจะได้ไม่กลับค่ำ ปู่โรจน์เป็นห่วง” พอเขาถามอีกฝ่ายก็ขมวดคิ้ม ทำปากยู่ครุ่นคิด
“พรีมยังไม่ค่อยหิว”
“งั้นเราไปหาอะไรกินข้างนอกกันไหม” ส่วนคำถามนี้ก็ทำให้เห็นรอยยิ้มสดใส
“พรีมเบื่อกินข้าวอยู่บ้านจะแย่แล้ว”
ภามยิ้มกว้าง นึกสะท้อนใจว่าเธอไม่ค่อยได้ออกไปเจอโลกภายนอกจริงๆ แต่ถ้าจะพาไปบ่อยๆ หรือพาออกไปจากตรงนี้เลยก็กลัวว่าเจ้าตัวอาจจะไม่ชิน พริมาน่าจะสบายใจกับการอยู่ไร่ของเธอมากกว่า
“โอเคครับ งั้นไปกันเลย”
“พรีมขึ้นไปเอากระเป๋าแป๊บหนึ่งนะคะ”
“ครับ” ภามเข้ามาในบ้านกับเธอ หาที่นั่งในห้องโถง รออีกฝ่ายที่ขึ้นไปเอากระเป๋าบนห้องนอนของเธอ คงทำธุระส่วนตัวอีกเล็กน้อยสักห้านาทีถึงเพิ่งลงมา
“รอนานไหมคะ” ถามด้วยความเกรงใจ
“แป๊บเดียวเอง ปะ พร้อมแล้วใช่ไหม”
“พรีมออกมาเที่ยวนอกไร่ครั้งสุดท้ายตอนไหนนะ” เขาชวนคุยหลังจากที่ขับรถออกมาจากขอบเขตของไร่พรางตะวันได้แล้ว
“น่าจะสองปีเลย หลังๆ มาปู่ก็ไม่ค่อยชอบนั่งรถไกลๆ แล้วก็ไม่ให้พรีมไปกับคนอื่นตามลำพังด้วย มีพี่ภามนี่แหละที่ปู่อนุญาต” เด็กสาวหันมายิ้มให้เขา ภามรู้สึกถึงน้ำหนักในหัวใจตัวเองกับความไว้วางใจที่ปู่โรจน์มอบให้เขาดูแลหลานสาวที่คงเหมือนแก้วตาดวงใจ
“แล้วพรีมอยากออกมาเที่ยวบ้างไหม”
“อืม อาจมีบ้าง แต่อยู่ไร่ก็มีอะไรให้ทำเยอะแยะ แล้วก็พอมันยิ่งไม่ได้ออกไปไหนมาไหนนานๆ ก็ยิ่งกังวล”
“พรีมยังแพนิคกับการนั่งรถไกลๆ อยู่ใช่ไหม” ซ้ำยังต้องผ่านจุดที่เกิดอุบัติเหตุด้วย
“อืม ตอนนี้ก็เริ่มทำใจนิ่งๆ ได้บ้างแล้วมั้งคะ เวลาผ่านพรีมก็ไม่มอง แต่ที่พรีมไม่อยากไปไหนเพราะพรีมรู้สึกว่าปู่ไม่มีใครอีกแล้ว เขาห่วงพรีมมาก เหมือนพรีมเองก็ห่วงเขา ถ้าไปไหนก็อยากไปด้วยกัน”
มันคงเป็นความรู้สึกที่เหลือกันอยู่แค่นี้ ไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็นอะไรไปพอๆ กับที่ไม่อยากให้ตัวเองเป็นอะไรไปเหมือนกัน ภามเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมปู่โรจน์ถึงรีบคุยกับเขาเมื่อคืน ท่านอายุมากแล้ว ก็คงกังวลว่าตัวเองอาจจะดูแลหลานสาวได้ไม่เหมือนเมื่อก่อน หรืออาจกลัวว่าถ้าตัวเองเป็นอะไรไปก่อนพริมาก็ตัวคนเดียวจริงๆ แล้วคนที่โรจน์มองเห็นในวันนี้ก็คือเขา
“พี่จะดูแลพรีมให้ดีสมกับที่ปู่โรจน์ไว้วางใจ” เขาพูดยิ้มๆ แน่นอนว่าความหมายมันลึกซึ้งกว่าที่อีกคนจะเข้าใจในตอนนี้ พริมาคงเข้าใจว่าเขาอาจพูดถึงเรื่องแค่พาเธอมาเที่ยว
พอขับรถมาใกล้ถึงจุดที่เกิดอุบัติเหตุภามก็อดที่จะลอบมองคนข้างๆ ไม่ได้ เห็นว่าพริมาเบือนหน้าออกไปทางหน้าต่างที่จะไม่ต้องมองเห็นตรงนั้น
“พรีมโอเคนะ” พอขับรถผ่านตรงนั้นมาได้ไกลสักหน่อยก็ถามคนข้างๆ พริมาหันมายิ้มให้เขา
“โอเค” แล้วก็ถอนหายใจแรงๆ