ด้วยความที่เป็นคนตื่นง่ายจึงทำให้เจตน์รู้สึกตัวตั้งแต่ตอนที่คนข้างๆ พลิกตัวไปมา ในห้องที่มืดสนิทเขารับรู้ถึงความกระสับกระส่าย คิ้วเข้มขมวดด้วยความสงสัยเล็กๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะสะดุ้งตื่น เธอไม่ได้เปล่งเสียง แต่ลมหายใจที่หอบแรงและผุดลุกขึ้นมานั่งหอบต่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง เจตน์ก็คิดว่าเธอคงไม่ปกติ
เหมือนแพรอาจจะยังไม่สังเกตว่าเขาตื่นแล้ว และเธอก็เหมือนจะข่มตาไม่หลับ เธอพลิกตัวอยู่สองสามทีเจตน์จึงตัดสินใจเอ่ยถาม
“มีอะไรหรือเปล่าออย”
“คุณเจตน์” เสียงที่เปล่งออกมาดูตกใจเล็กๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะพลิกตัวกลับมาหาเขา ตั้งสติได้ก็รีบละล่ำละลักตอบ
“เอ่อ หนูฝันร้ายนิดหน่อยค่ะ ขอโทษนะคะที่ทำให้คุณเจตน์ตื่น”
“อืม ไม่เป็นไรหรอก ฉันก็ตื่นของฉันแบบนี้อยู่แล้ว” ไม่พูดเปล่า เหมือนแพรยังรู้สึกว่าพื้นที่ว่างที่เว้นให้กันแคบขึ้น ในความมืดที่สายตาเริ่มชินรับรู้ได้ว่าใบหน้าคมห่างอยู่แค่คืบ และเขากำลังมองเธอ ทำให้ความรู้สึกหวาดกลัวในความมืดหายไปชั่วขณะ มือที่จับผมเธอแผ่วเบาให้ความรู้สึกเหมือนอ้อมกอดที่ปลอบประโลมอยู่อย่างน่าแปลกใจ
“ตอนนี้เหมือนเธอยังดูไม่โอเคนะ เปิดไฟไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณเจตน์” เธอเกรงใจ เขารู้ เจตน์จึงเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟหัวเตียงโดยที่เธอยังไม่ทันเอ่ยประโยคปฏิเสธนั้นจบดีด้วยซ้ำ พอแสงไฟสว่างขึ้นมาสายตาของเธอก็มองเขาเป็นสิ่งแรก เจตน์นอนตะแคงมองเธอ เหมือนจะขยับตัวห่างออกไปเล็กน้อย หากรอยยิ้มจางๆ ในดวงตาที่เป็นประกายคู่นั้นก็ยังให้ความรู้สึกปลอดภัยไม่ต่างจากตอนที่ไออุ่นของเขาโอบล้อมในความมืด
“เวลาฉันฝันร้ายฉันก็เปิดไฟแบบนี้แหละ” เอื้อนเอ่ยด้วยท่าทีผ่อนคลาย พลอยให้เธอคลายกังวลว่าจะรบกวนเขาไปด้วย เผลอคุยกับเขาอีกต่างหาก
“คุณเจตน์ก็ฝันร้ายเหรอคะ” คำถามที่พลั้งเผลอของเด็กสาวทำให้เจตน์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเล็กน้อย ที่เหมือนแพรทำเหมือนกับว่าการที่เขาฝันร้ายดูเป็นเรื่องน่าแปลกใจสำหรับเธอ
“อืม คนเราก็ต้องเคยฝันร้ายกันบ้างแหละ” พอเขาบอกอีกฝ่ายก็ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกได้ว่าถามสิ่งที่ไม่ควรถามออกมา ยิ่งทำเจตน์รู้สึกเอะใจกับการฝันร้ายของคนตรงหน้า เขาชวนเธอคุยต่อ
เจตน์ไม่ได้ขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม แต่มือเขายกมาเล่นกับผมเธออีกครั้ง แม้ท่าทีจะดูผ่อนคลาย แต่มันก็ทำให้เหมือนแพ้รู้สึกวูบไหวแปลกๆ
“ฝันถึงอะไร น่าจะน่ากลัวมากทีเดียว เหงื่อซึมเลย” ตอนนี้มือของเขาเลื่อนจากเส้นผมมาสำรวจเนื้อตัวที่ลื่นไปด้วยเหงื่อของเธอ ไล้ตามหัวไหล่ เรียวแขนและวางนิ่งที่เอวคล้ายกำลังกอดหลวมๆ ทำให้เหมือนแพรคิดหาคำตอบให้เขาช้าไป จนเจตน์ต้องถามซ้ำ เพราะคิดว่าเธออาจจะไม่ได้สะดวกใจที่จะเล่า
“หรือเพราะฉันที่ทำให้เธอฝันร้าย” เขารู้ว่าไม่ควรรบเร้าหากก็อยากรู้ จึงเบี่ยงประเด็นเล็กน้อย และมันได้ผลที่เด็กน้อยของเขามีสีหน้าตกใจและรีบปฏิเสธ พร้อมกับหลุดเหตุผลที่ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกสงสัยและไม่สบายใจขึ้นมาเล็กๆ
“ไม่ใช่นะคะคุณเจตน์ หนูฝันร้ายมาตั้งนานแล้ว”
“หมายถึงฝันร้ายบ่อยๆ?” เขาถามย้ำ อีกคนดูจะรู้ตัวว่าหลุดพูดมากเกินไป แต่พอเห็นสีหน้าที่ต้องการคำอธิบายของเจตน์ เหมือนแพรก็คิดว่าตัวเองคงต้องตอบเขา
“ค่ะคุณเจตน์” คำตอบของเธอทำให้เขาเริ่มเข้าใจว่าทำไมเหมือนแพรถึงทักเขาเรื่องฝันร้ายแบบนั้นในตอนแรก
“ที่บ่อยนี่บ่อยแค่ไหน”
เธอหลบตาเขาวูบหนึ่งก่อนจะตอบเสียงเบา “ทุกคืนค่ะ”
เหมือนแพรรู้สึกถึงความเงียบที่โอบล้อม เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจ ความอุ่นและความอบอุ่นจากอ้อมกอดที่กอดอยู่อย่างสมบูรณ์ จนรู้สึกผ่อนคลายและไว้วางใจที่จะทิ้งตัวลงไปในอ้อมแขนนี้
“ที่เห็นไฟในห้องเปิดตอนดึกๆ เพราะฝันร้ายด้วยหรือเปล่า” เวลาที่เขากลับถึงบ้านดึก หรือมองจากหน้าต่างห้องนอนในยามดึกก็มักจะเห็นแสงไฟในห้องนอนที่จำตำแหน่งได้ว่าเป็นห้องเธอเปิดอยู่
“ค่ะ” แม้จะพยายามไม่ลุกมาเปิดไฟในยามที่ตื่นจากฝันร้าย แต่บางคืนมันก็น่ากลัวและน่าอึดอัดจนไม่อาจทนได้ เพียงแค่พยายามหลับตาลง กำลังจะเคลิ้มหลับภาพฝันร้ายก็ปรากฏซ้ำๆ พร้อมความอึดอัดจนหายใจไม่ออก ต่อสู้กับมันจนเหนื่อยหอบ ถ้าไม่ลุกมาเปิดไฟให้สว่างก็กลัวตัวเองจะจมลงไปในนั้นไม่ตื่นขึ้นมาอีก
“แต่ก็ไม่ได้เปิดไฟทุกคืนค่ะ”
เจตน์เพียงแค่สงสัยเล็กๆ ในตอนแรก แต่ก็พอเข้าใจ ฝันร้ายของเหมือนแพรคงไม่ได้น่ากลัวจนต้องลุกมาเปิดไฟเป็นประจำทุกคืน...แต่ปัญหาคือเธอฝันร้ายทุกคืนนี่สิ ไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้มานานแค่ไหน ถ้าเขาจำไม่ผิด ก็ตั้งแต่ที่เด็กหญิงเข้าบ้านมาแล้วที่เจตน์จะเห็นห้องนอนของสองป้าหลานเปิดไฟสว่างในบางคืน
“เธอฝันร้ายแบบนี้มานานหรือยัง” มันเป็นเรื่องที่เขาสนใจ ตอนแรกก็ไม่อยากจะถามเธอมากเพราะกลัวจะกระทบกระเทือนสิ่งที่ทำให้เธอต้องฝันร้ายทุกคืนแบบนี้ หากตอนนี้รู้สึกว่าคนในอ้อมกอดดูผ่อนคลาย เลยตัดสินใจที่จะคุยเลย เพราะอย่างไรเขาก็ต้องคุยอยู่แล้ว
“ตั้งแต่มาอยู่บ้านคุณเจตน์ค่ะ”
“ที่บ้านฉันมีสิ่งที่ทำให้เธอฝันร้ายงั้นเหรอ” เจตน์ค่อนข้างจะตกใจกับคำตอบของเธอ แต่อีกฝ่ายตกใจกว่าเมื่อคิดว่าตัวเองพูดไม่เคลียร์ ทำให้เขาเข้าใจผิด
“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะคุณเจตน์ ไม่ได้เกี่ยวกับที่นี่เลย เอ่อ พอหนูออกจากโรงพยาบาล ป้าเพ็ญก็พาหนูมาอยู่ด้วยเลย” แต่คำอธิบายของเธอก็ไม่ได้ทำให้เจตน์เข้าใจไปมากกว่าเดิมนัก เขาจำได้แค่ว่าแม่ของเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ไม่มีญาติที่ไหนอยากรับผิดชอบเด็กหญิง ป้าเพ็ญเลยเอาหลานมาเลี้ยงเอง
และเหมือนความเงียบของเขาจะทำให้เหมือนแพรรู้ว่าเขาคงมีเรื่องสงสัยในสิ่งที่เธออธิบาย
“หนูเข้าโรงพยาบาลเพราะรถชนค่ะ หนูซ้อนมอเตอร์ไซค์แม่แล้วก็มีรถมาชน” แม้จะผ่านมานานแต่ก็ยังสะเทือนจิตใจทุกครั้ง เหมือนแพรคิดว่าเหตุการณ์นี้นี่เองที่เป็นสาเหตุให้เธอฝันร้ายทุกคืนตั้งแต่นั้นมา เธอฝันถึงอุบัติเหตุ ภาพของแม่ที่เต็มไปด้วยเลือดและแผลเหวอะหวะ จนภาพนั้นแปรเปลี่ยนเป็นหลายๆ รูปแบบในความฝัน ที่อาจเหมือนไม่เกี่ยวกับอุบัติเหตุหรือแม่แล้ว แต่มันก็ยังน่ากลัว
เจตน์รู้สึกสะท้อนในอกที่พอรู้สาเหตุของฝันร้ายนั้นแล้ว เขารู้สึกหงุดหงิดเล็กๆ ที่ปลายเสียงเธอสั่นๆ คล้ายสะเทือนใจที่ต้องพูดถึงมัน แต่ถึงอย่างไรเจตน์ก็คิดว่าเหมือนแพรไม่ควรอยู่กับฝันร้ายนี้ต่อไป เขาถอนหายใจ กอดเธอแน่นขึ้นก่อนจะผ่อนคลายลงพร้อมกดจมูกลงบนศีรษะเบาๆ เป็นสัมผัสที่เด็กสาวรู้สึกถึงการปลอบโยน มันอุ่นในใจจนน้ำตาเอ่อคลอ
“เธอฝันถึงอุบัติเหตุครั้งนั้น”
“ค่ะ ตอนแรกๆ ก็ฝันเห็นแต่มัน ฝันเห็นแม่...จนตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าฝันถึงอะไรบ้าง รู้แต่ว่ามันน่ากลัวจนต้องบอกให้ตัวเองตื่นให้ได้ บางคืนแค่ตื่นยังยากเลย หนูอึดอัด หายใจไม่ออก ขยับตัวไม่ได้ ถ้าตื่นได้แล้วฝืนนอนต่อก็ฝันอีกซ้ำๆ ทั้งคืน บางคืนหนูถึงลุกมาเปิดไฟจึงนอนใหม่ได้” มันอาจเจ็บปวดที่ต้องพูดถึง แต่ด้วยความที่ผ่านมานานมากแล้วจึงพอที่จะพูดได้ และการที่ได้เล่าให้ใครสักคน...ที่เราไว้วางใจฟังมันก็ทำให้รู้สึกอยากเล่ามากกว่า
“แต่นานๆ ครั้งก็ฝันถึงอุบัติเหตุค่ะคุณเจตน์ ฝันถึงแม่...ไม่สิ ฝันเห็นผู้หญิง หน้าตาไม่เหมือนกันเลยสักครั้ง ตอนนี้เหมือนจำหน้าแม่ไม่ได้แล้ว” น้ำเสียงเธอเครือสั่นทีเดียวตอนที่พูดถึง ทำให้เขาโอบกอดเธอเต็มตัว อีกฝ่ายก็ซุกหน้ากับอกเขา กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล แม้เรื่องจะผ่านมานานมากแล้ว แม้ความทรงจำเกี่ยวกับแม่จะเลือนราง...แต่ก็ยังสะเทือนใจทุกครั้ง
ตอนนั้นทุกอย่างมันมึนงงไปหมด เธอตื่นขึ้นมาพร้อมกับข่าวร้ายว่าแม่ตายแล้ว ยังไม่ทันจะได้ร้องไห้เสียใจให้สุดใจป้าก็รับเธอมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ ไม่มีโอกาสแม้จะได้ไปงานศพแม่เพราะเขาเผาร่างแม่ไปตั้งแต่เธอยังไม่ออกจากโรงพยาบาล ป้าเพ็ญกับตายายก็ไม่ได้เล่าถึงเรื่องนี้เลย
พอโตขึ้นมาหน่อยแล้วลองนึกย้อนกลับไปก็มองเห็นสภาพความยากจนข้นแค้นของตัวเองชัดเจน เธอเกิดในสลัมแออัด ตากับยายมีลูกหลายคน ทุกคนต้องดิ้นรนหาเช้ากินค่ำเพื่อชีวิตครอบครัวตนเอง เธอไม่เคยเห็นหน้าพ่อ แม่เลี้ยงเธอมาคนเดียว ในความลำบากลำเค็ญความรักของแม่ก็เหมือนจะเป็นความสวยงามเดียวในชีวิต แต่แม่ก็จากเธอไปไวเหลือเกิน ยังโชคดีอยู่บ้างที่ป้าเพ็ญพาเธอมาอยู่ด้วย โชคดีที่แกรักและใจดีกับเธอ รวมถึงทุกคนในบ้านหลังนี้
มันช่วยชโลมหัวใจของเด็กหญิงที่สูญเสียอย่างรุนแรง แต่นานๆ ครั้งที่นึกย้อนกลับไปก็รู้สึกเจ็บปวด เธอไม่รู้เลยว่างานศพแม่ถูกจัดอย่างไร ไม่มีรูปถ่าย หรือไม่ได้ถูกจัดเพราะไม่มีเงินก็สุดรู้...ตอนนี้แม้แต่รูปแม่เธอยังไม่มีเก็บไว้
“รูปแม่สักใบหนูยังไม่มีเลย ฮึก” เธอไม่อาจห้ามน้ำตาได้ ตัดพ้อกับเจ้านายอย่างหลงลืมถึงความสมควรไปชั่วขณะ เจตน์สูดหายใจลึก กระชับอ้อมกอด ปล่อยให้เธอร้องไห้จนเปียกเสื้อก็ไม่บ่นเลยสักนิด
“ไม่เป็นไร” เขากอดเธอ ลูบแผ่นหลัง เอ่ยคำปลอบโยนสั้นๆ ที่เขาสามารถพูดได้ดีที่สุดในตอนนี้ ปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมันจนอีกฝ่ายหยุดร้องไห้ไปเอง เจตน์จึงเอื้อมมือไปปิดไฟหัวเตียงแต่ก็ยังกอดอีกฝ่ายแนบอก ให้เธอหลับโดยคาดหวังว่าจะไม่ฝันร้ายอีกในคืนนี้...และต่อจากนี้