“ออยเอ๊ยหลับหรือเปล่าลูก” ป้าบัวเคาะประตูห้องเรียกเธอในตอนสามทุ่มกว่าๆ ขณะที่เธอเปิดทีวีดูเกมโชว์รายการหนึ่งอยู่
“เปล่าจ้ะยาย เดี๋ยวหนูไปเปิดประตูให้นะ” เธอตะโกนตอบก่อนจะเปิดประตูให้ป้าบัว
“มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”
“เปล่าๆ ยายมีเรื่องอยากคุยกับเอ็ง ไปคุยกันในห้องเถอะ” ดูจากสีหน้าแววตาของป้าบัวประกอบกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนเหมือนแพรก็พอจะรู้ว่าป้าบัวจะคุยอะไรกับเธอ สองสาวต่างวัยเดินไปนั่งลงบนเตียงขนาดห้าฟุตของเธอ คนสูงวัยกว่าถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะหันมามองคนข้างๆ เอามือลูบผม แววตาเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดู
“เฮ้อ เมื่อคืนคุณเจตน์เธอคงคุยกับเอ็งแล้วใช่ไหม”
“จ้ะยาย” เธอตอบด้วยน้ำเสียงเหงาหงอยในความรู้สึกของคนฟัง เมื่อคืนก็นอนคิดไม่ตกเรื่องนี้ เหมือนแพรรู้สึกว่าถ้าเธออยากเรียนต่อจริงๆ มันก็น่าจะเป็นหนทางเดียวในตอนนี้
“แล้วเอ็งคิดยังไงล่ะ” เจตน์ไหว้วานให้ป้าบัวมาช่วยคุยกับ เหมือนแพร เพราะเขาคิดว่าเด็กสาวคงตัดสินใจเองได้ลำบาก ตัวป้าบัวแม้จะสงสารถ้าหากเหมือนแพรต้องไปอยู่ในจุดนั้น แต่แกก็คิดว่ามันคงไม่ได้เลวร้าย เพราะเจตน์ก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ
“หนูไม่รู้เลยยาย” คำตอบของเธอทำให้ป้าบัวถอนหายใจ เมื่อคิดว่าเหมือนแพรก็ไม่ได้ต่อต้านแบบหัวชนฝาอย่างที่คิด
“ถ้าถามยาย ยายก็อยากให้เอ็งได้เรียนนะออยเอ๊ย” ป้าบัวบอกพร้อมเอามือลูบหัวเธอ เหมือนแพรรู้สึกโหวงๆ ในอกขึ้นมาวูบหนึ่ง ขายตัว...คือคำที่เด็กสาวนิยามขึ้นมาได้ถ้าเธอยอมทำแบบนั้น
“ยายรู้ว่าเอ็งลำบากใจ แต่ยายอยากให้เอ็งรับข้อเสนอของคุณเจตน์เพราะก็เห็นว่าเธอไม่ใช่คนเลวร้าย” ซึ่งข้อนี้เหมือนแพรก็เห็นพ้องไปกับป้าบัว เด็กสาวในวัยสิบเก้าในยุคสมัยที่โลกหมุนเร็วอาจจะมีประสบการณ์กับเรื่องแบบนี้ประมาณหนึ่ง แต่ความที่ชีวิตวนอยู่แค่ไปโรงเรียนและรีบกลับบ้าน กลุ่มเพื่อนที่คบก็ใกล้เคียงกันเธอเลยไม่ได้มีภาพของความเลวร้ายจากการที่เธอจะรับข้อเสนอของเจตน์ได้มากมายนัก โดยเฉพาะเมื่อคนคนนั้นเป็นเจตน์ด้วยแล้ว มันมีแค่ความอดสูลึกๆ หากไม่ได้หวาดกลัวหรือรังเกียจ
“เฮ้อ ยายก็เห็นว่าเอ็งเรียนเก่ง ป้าเอ็งก็คุยกับยายตลอดว่าอยากให้เอ็งเรียนสูงๆ แต่มาด่วนจากเสียก่อน”
ป้าของเธอเป็นสาวโสด ในบรรดาลูกของยายหลายๆ คน แม่บ้านอย่างป้าเธอน่าจะได้ดีกว่าคนอื่นแล้ว...พอรับหลานมาเลี้ยงแล้วเด็กมันน่ารัก เป็นเด็กดี เชื่อฟัง ตั้งใจเรียนก็หวังจะส่งเสียให้ได้ดิบได้ดี นั่นก็คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เหมือนแพรมีความมุ่งมั่นที่จะเรียนต่อแม้ความหวังจะริบหรี่แค่ไหน
“ยายก็เห็นเอ็งมาแต่ตัวกะเปี๊ยก ก็นึกถึงตัวเองที่มาอยู่บ้านนี้ตั้งแต่สิบสี่ จนหกสิบแล้ว ถึงแม้ว่าจะสุขสบายดี และถ้าเอ็งอยู่บ้านหลังนี้ไปจนแก่แบบยาย เอ็งก็คงสุขสบายเหมือนยาย แต่ยายก็รู้ว่าเอ็งมีความหวังที่จะได้เรียน ได้ทำงานดีๆ ไปมีชีวิตที่ไม่ต้องติดแหง็กอยู่ที่นี่”
คำพูดของป้าบัวราวกับมานั่งอยู่ในใจเด็กสาว แกไม่ได้ต้องการหว่านล้อมแต่อย่างใด แต่เพราะรู้เห็นและเอาใจช่วยมาตลอด
“ยายก็รักเอ็งเหมือนลูกหลานคนหนึ่งนะออย ไม่รู้ยายจะอยู่เป็นเพื่อนเอ็งได้อีกกี่ปี ยายก็คิดเผื่อเอ็งนะถ้าวันหนึ่งเกิดไม่ได้ทำงานกับคุณๆ เขาแล้วเอ็งจะไปอยู่ที่ไหนยังไง” เด็กสาวที่เติบโตในบ้านหลังนี้ ไม่มีที่พึ่งที่ไหน ถ้าออกไปใช้ชีวิตตนเองในตอนนี้ก็คงเหมือนนกปีกหัก ไม่มีใครรู้หรอกว่าเจ้าตัวจะเก่งเอาตัวรอดโชคดีในวันข้างหน้า...หรือจะโชคร้ายแค่ไหน
“ยายอยากให้เอ็งหาโอกาสให้ตัวเอง ให้อดทนนะออย คิดถึงอนาคตไม่ต้องคิดเรื่องอื่น ยายเลี้ยงคุณเจตน์มาแต่อ้อนแต่ออก ยายมั่นใจว่ายังไงเขาก็ไม่ทิ้งขว้างเอ็ง” เหมือนแพรเข้าใจคำว่าไม่ทิ้งขว้างของป้าบัวดี เหมือนที่เจตน์บอกเธอเมื่อคืนว่าถ้าหากเขาหมดความสนใจในตัวเธอแล้ว เธอก็จะยังได้เรียนจบมหาวิทยาลัย
“ยังไงเอ็งก็ลองคิดดูอีกทีนะ” ป้าบัวถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เมื่อไม่รู้จะพูดอะไรไปมากกว่านี้แล้ว
“จ้ะยาย” ตอบเสียงแผ่ว ก้มหน้ามองตักตัวเอง เป็นอาการที่ผู้สูงวัยเข้าใจว่าเจ้าตัวยังคิดหนักกับเรื่องนี้อยู่
“เออ นี่น้องธันวาใช่ไหม ดูสิโตเป็นหนุ่มแล้ว” ป้าบัวหันไปพูดถึงรายการโทรทัศน์ที่เหมือนแพรเปิดทิ้งไว้ เด็กสาวก็หันไปมองหน้าจอเหมือนกัน
“น้องธันวามีออกรายการเอ็งน่าจะบอกยายด้วย” ป้าบัวหันมายิ้มให้คนข้างๆ แล้วก็ไปสนใจหน้าจอต่อ ยิ้มมีความสุขเหมือนแฟนคลับได้เจอดาราที่ตัวเองชื่นชอบ เหมือนแพรมองแล้วก็ยิ้มตาม เธอกับป้าบัวเป็นแฟนคลับน้องธันวามาได้สี่ห้าปีแล้ว ติดตามตั้งแต่ตอนมาประกวดร้องเพลงครั้งแรก เป็นเด็กกำพร้าอยู่กับตายายแต่มีหน้าตาน่ารัก ช่างพูดช่างจาและร้องเพลงดี ตอนนี้ก็กลายเป็นนักร้องเด็กที่มีผลงานต่อเนื่อง
“น่ารักจริงๆ เลย เออ แล้วน้องตันหยงน่ะ ไม่เห็นเลยเนอะ” ป้าบัวพูดถึงเด็กหญิงอีกคนที่เธอกับแกชื่นชอบไม่แพ้น้องธันวา ตอนนั้นเด็กหญิงก็ดังเป็นพลุแตก แต่ไม่ถึงสองปีก็หายหน้าไปจากสื่อ ไม่รู้ว่าตอนนี้ชีวิตน้องดีขึ้นจากเดิมแค่ไหน พอนึกมาถึงตรงนี้เหมือนแพรก็ถอนหายใจสั้นๆ เมื่อความคิดบางอย่างตกตะกอนในอก ตั้งแต่เด็กๆ แล้วที่เธอชอบดูรายการประกวด หรือเกมโชว์ที่ให้โอกาสคนที่ชีวิตลำบาก...เคยแอบฝันว่าวันหนึ่งเธออาจได้ไปออกรายการพวกนั้น ได้เงินรางวัลหรือโด่งดัง แต่เธอเองและเด็กอีกหลายๆ คนก็ยังอยู่ในมุมมืดที่สังคมไม่เคยมองเห็น จะมีสักกี่คนที่โชคดีแบบน้องธันวา หรือไม่แน่ว่าวันหนึ่งน้องธันวาก็อาจจะเป็นแบบน้องตันหยงที่ถูกลบลืมไปในที่สุด
“ง่วงหรือยัง” นี่คือประโยคแรกที่เขาเอ่ยทักคนที่ยืนประสานมือไว้ตรงหน้าเขา เป็นท่าทางปกติเวลาที่เข้ามาพบเขา แต่คืนนี้สีหน้าแววตาแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
วันนี้ป้าบัวบอกว่าเธอพร้อมที่จะขึ้นมาหาเขา...เจตน์มองคนที่สวมชุดนอนแบบเชิ้ตแขนสั้นกางเกงขายาวที่เอาแต่หลบตาเขาเป็นส่วนใหญ่ รู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างคุ้นกับชุดนอนแบบนี้ของเธอ เพราะบางครั้งเขาก็เคยเรียกให้เธอเอากาแฟมาให้ตอนดึก
“ยังค่ะคุณเจตน์”
“อืม ไปอาบน้ำก่อนไหม” แน่นอนว่ามันคือคำสั่งมากกว่าคำถาม เหมือนแพรพยักหน้าและโค้งตัวเดินผ่านหน้าเขาไปที่ประตูห้องน้ำ เป็นเวลาเกือบเดือนตั้งแต่วันที่เธอตัดสินใจ ป้าบัวบอกอะไรเธอหลายๆ อย่างเกี่ยวกับเจตน์...และสิ่งที่เธอควรทำ
“ชุดคลุมอยู่ในห้องน้ำ” เขาบอกตามหลังแล้วก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่งเมื่อประตูห้องน้ำปิดลง เจตน์รู้ว่าเหมือนแพรอาบน้ำมาแล้ว แต่มันก็เป็นนิสัยอย่างหนึ่งของเขาเวลาพาผู้หญิงมานอนที่บ้าน จะดึกดื่นหรือเมาแค่ไหนก็ต้องอาบน้ำกันก่อน
ป้าบัวบอกกับเขาว่าเหมือนแพรยอมรับเงื่อนไขของเขา เจตน์รบกวนให้ป้าบัวเป็นธุระจัดการบางเรื่องให้ เช่นการคุมกำเนิด เขารู้สึกว่าตัวเองมีเรื่องให้ใช้ความคิดและจัดการอยู่พอสมควรกับเด็กคนนี้ ต่างจากผู้หญิงคนอื่นที่เขาไม่เคยต้องทำอะไรไปมากกว่าเรื่องเงิน บางทีเจตน์ก็นึกสงสัยว่าทำไมถึงต้องลงทุนมากขนาดนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าอยากได้...อยากลอง
เหมือนแพรเข้ามาอยู่ในบ้านตอนสิบขวบ เด็กผู้หญิงรูปร่างผอมเกร็ง แววตามีความตระหนกตื่นกลัวอยู่ตลอดเวลา เขาได้ยินเรื่องราวของเธอจากผู้เป็นย่าที่ฟังมาจากป้าเพ็ญอีกทีก็รู้สึกสนใจในชะตาชีวิตของเด็กคนนี้ ในตอนนั้นการเข้ามาของเด็กหญิงทำให้ในบ้านมีความครื้นเครงขึ้นมาในระดับที่เขาสังเกตได้ เธอเป็นเด็กคนเดียว พวกแม่บ้านคนงานคนอื่นๆ ก็พอได้มีเด็กให้ได้พูดได้คุย เขาเองก็ชอบซื้อขนมหรือของเล่นมาเผื่อเด็กหญิงอยู่เรื่อยๆ
นานๆ ไปเด็กหญิงผู้สูญเสียทุกสิ่งในชีวิตก็เริ่มสดใสตามวัย ช่างพูดช่างคุย ร่างกายที่ผอมแห้งก็เริ่มอ้วนเพราะกินเก่ง ใครมีอะไรก็ให้เธอกินหมด กลายเป็นว่าเธอดูโตกว่าวัย แต่พอเข้าสู่วัยรุ่นร่างกายก็เข้าที่เข้าทาง เจตน์เองก็จำไม่ได้ว่าเริ่มมองเธอแบบเด็กสาวที่ไม่ใช่เด็กหญิงตั้งแต่ตอนไหน
แม้จะดูเป็นสาวเร็ว แต่เหมือนแพรมีความเป็นเด็กอยู่มาก บางทีอาจจะไม่ทันเพื่อนวัยเดียวกันด้วยซ้ำในวัยสิบแปด มีหลายครั้งที่แอบคิดว่าเจ้าตัวจะรู้สึกตัวหรือเปล่าว่าเขามองเธอแล้วคิดอกุศล แต่สิ่งที่เขาได้กลับมาทุกครั้งก็คือดวงตาใสๆ คู่เดิม แต่มันไม่ลดทอนความอยากในตัวเขาลงได้เลย...กลับกันความใสซื่อนั้นยิ่งกระตุ้นให้เขาอยากได้
ถ้าเหมือนแพรไม่ใช่เด็กในบ้านเขาที่มีชีวิตเพียงเพื่อไปโรงเรียนแล้วรีบกลับมาบ้านเจ้านาย เจตน์คิดว่าเธอน่าจะฮ็อตประมาณหนึ่ง แต่เธอเป็นวัยรุ่นที่ไม่ได้ใช้ช่วงเวลาที่สดใสสวยงามให้เต็มที่เหมือนเด็กสมัยนี้ เธอไม่น่าจะได้ดูแลรูปร่างมาก ยังมีเค้าความอวบตอนเด็ก แต่ถ้ามองดีๆ เจตน์ก็รู้ว่ามันมีทรวดทรง และพอขึ้นมอปลายมาร่างกายก็ไม่เปลี่ยนมาก เขาเห็นเธอใส่ชุดจนสีเริ่มซีดแม้ว่าเขาจะให้เธอซื้อใหม่ได้ แต่เจ้าตัวก็บอกว่ายังใส่ได้จนจบมอหก
เหมือนแพรไว้ผมยาวประบ่า ไม่เคยปล่อยให้ยาวกว่านี้นัก แต่เธอชอบมัดผมลวกๆ ยิ่งประกอบกับการที่ไม่สนใจจะดูแลตัวเองก็คงทำให้ถูกมองข้ามความสวยงามนั้นไป ใบหน้ารูปไข่ แก้มป่องๆ คิ้วเข้มเป็นโครงรับกับดวงตากลมโตหวานเศร้า...แต่สดใสเมื่อเธอเจรจาพูดคุยกับเขา เจตน์ไม่แน่ใจนักว่าเธอสวยกว่าผู้หญิงคนอื่นหรือไม่ จนถึงวันนี้ยังระบุไม่ได้ว่าเหตุผลจริงๆ ที่ทำให้มองเด็กคนหนึ่งมานานขนาดนี้คืออะไร