สามวันแล้วที่พริมกับคีย์ไม่พูดกันแม้แต่คำเดียว
สามวันที่ออฟฟิศเหมือนแคบลง แคบลง และแคบลงทุกที
เพราะไม่ว่าจะหลบไปมุมไหน เขาก็มักจะอยู่ตรงนั้นเสมอ
เช้าวันใหม่ที่เริ่มต้นด้วยความอึดอัด
พริมมาถึงบริษัทเช้ากว่าปกติ เธอหวังว่าจะหลบหน้าคีย์ได้สักหน่อย
แต่พอเดินออกจากลิฟต์…
คีย์ยืนกดเครื่องทำกาแฟอยู่
เขาหันมาเห็นเธอด้วย แต่เบือนหน้าเหมือนมองทะลุ
พริมเม้มริมฝีปากแน่น โอเคค่ะ…ทำเหมือนไม่รู้จักกันก็ได้
เธอกำลังจะเดินผ่าน
แต่เครื่องทำกาแฟดันพ่นไอน้ำออกมาแรงจนเธอสะดุ้ง
คีย์ยื่นมือกันไว้โดยสัญชาตญาณ
“ระวัง—”
พริมชะงัก แต่เขากลับหยุดพูดกลางคัน
เหมือนนึกได้ว่าพวกเขาไม่คุยกัน
จากนั้นเขาก็หันกลับไปจัดแก้วอย่างเฉยชาราวกับไม่เคยขยับช่วยเธอเลย
ความอึดอัดกว้างใหญ่เหมือนทั้งห้องมีแค่สองคน
พริมสูดหายใจแรง
“ขอบคุณค่ะ” เธอพูดเบา ๆ ตามมารยาท
แต่คีย์ไม่ตอบ
ไม่ได้หัน
ไม่ได้พยักหน้า
เหมือนไม่ได้ยิน
แต่เธอก็เดินผ่านไปด้วยหัวใจที่หนักกว่าแก้วกาแฟทั้งห้องรวมกัน
ตอนเที่ยง เพื่อนในทีมจะไปกินข้าวกันที่คาเฟ่ด้านล่าง
พริมดีใจที่ได้ออกไปพักใจบ้างสักที
แต่ยังไม่ทันก้าวถึงหน้าร้าน…
คีย์ก็เดินเข้ามาพร้อมทีมอีกฝ่ายหนึ่ง
และแน่นอนโต๊ะเหลือแค่โต๊ะใหญ่โต๊ะเดียว ต้องแชร์กัน
โอ้ย…โลกนี้มันกลมไปไหมคะ?
พริมเลือกนั่งสุดโต๊ะ ส่วนคีย์นั่งอีกฝั่งหนึ่ง
แต่ก็ยังต้องเผชิญหน้ากันอยู่ดี
และสิ่งที่ทำให้เธอเดือดกว่าเดิมคือเขามองทุกคนยกเว้นเธอ
เหมือนมีพื้นที่ศูนย์กลางความว่างเปล่าล้อมตัวเธออยู่
เธอพยายามไม่คิดมาก แต่พนักงานคนหนึ่งดันถามขึ้นพอดี
“เมื่อวานโปรเจกต์คุณคีย์เป็นไงบ้างคะ ได้ทำงานกับคุณพริมใช่ไหม?”
พริมชะงักส้อมในมือ
คีย์หยุดกิน ก่อนตอบนิ่ง ๆ
“…ผมทำคนเดียวครับ”
คำว่า “ทำคนเดียว” เหมือนมีใครมาบีบหัวใจเธอ
ทำไมต้องพูดแบบนั้นด้วย?
เธอแค่ปกป้องงานของตัวเอง แล้วเขามาโกรธใส่แบบไม่มีเหตุผล
เธอวางส้อมลงเบา ๆ
“ถ้างานที่คุณหมายถึง คือส่วนที่ฉันทำให้เสร็จตั้งแต่เมื่อคืน ก็ใช่ค่ะ ฉันอยู่ด้วย แต่คงไม่สำคัญพอจะพูดถึง”
โต๊ะเงียบกริบ
เพื่อนในทีมทำหน้าเหวอราวกับดูละครสด
คีย์เงยหน้ามองเธอครั้งแรกในหลายวัน
แต่ไม่ใช่มองแบบโกรธ
มันเป็น…สายตาที่อ่านไม่ได้เลย
แต่เขายังไม่พูดอะไรต่อ
ไม่มีคำแก้ตัว
ไม่มีคำอธิบาย
ไม่มีแม้แต่คำขอโทษ
พริมหลบตา และรีบลุกขึ้นอ้างว่าต้องรีบกลับไปทำงานต่อ
ในบ่ายวันนั้น
หัวหน้าฝ่ายเรียกทั้งคู่เข้าไปคุย
พร้อมยื่นเอกสารหนาเตอะให้สองชุด
“เย็นนี้มีอีเวนต์เปิดตัวสินค้าใหม่ ผู้บริหารอยากให้พวกเธอไปช่วยหน้างานด้วยนะ จะประสานงานร่วมกับทีม PR”
พริมหัวใจตกวูบ
อีเวนต์…!!
คนเยอะ…!!
งานละเอียด…!!
และเธอต้องไปกับคีย์?
เธอยังไม่ทันพูดอะไร
หัวหน้าก็มองหน้าทั้งสองคนทีละคนอย่างรู้ทัน
“งานนี้ต้องทำเป็นคู่ เข้าใจใช่ไหมคะ?”
คีย์รับเอกสารไปเงียบ ๆ
พริมก็ทำได้แค่พยักหน้าแบบจำใจ
หัวหน้าถอนหายใจเบา ๆ
“ฉันรู้ว่าช่วงนี้อาจมีปัญหากันบ้าง แต่ขอให้โฟกัสที่งานก่อนนะคะ มันสำคัญกับบริษัทมาก”
ทั้งคู่ตอบรับพร้อมกันแบบไม่ตั้งใจ:
“ครับ/ค่ะ”
เงียบ……
ในช่วงเย็น
งานจัดที่โรงแรมหรู พริมกับคีย์ต้องเช็กเอกสาร ตรวจคิว ดูบูธ ต้อนรับแขก
เรียกว่าทุกขั้นตอนต้องเดินคู่กันตลอด
แต่…
เขาไม่คุยกับเธอ
เธอก็ไม่คุยกับเขา
แต่ต้องเดินตามหลังกันเพียงหนึ่งก้าว
พริมพยายามไม่หันไปมองเขา
แต่บางครั้งคีย์ก็หันมาเหมือนจะถามอะไร
แล้วก็หยุดเอง
หุบปาก
หันกลับไป
เหมือนคนที่อยากจะพูดอะไรบางอย่าง…แต่บอกตัวเองว่าอย่า
มันทำให้พริมสับสนจนใจเต้นแปลก ๆ
ทั้งโกรธ ทั้งไม่เข้าใจ ทั้งสงสัยว่าจริง ๆ แล้วเขาคิดอะไรอยู่
ระหว่างเดินตรวจบูธ
มีพนักงานคนหนึ่งเรียกพริมไว้
พริมชะงักกำลังจะตอบ
แต่คีย์ดันหันกลับมาพูดก่อน
“เดี๋ยวผมจัดการให้ครับ”
น้ำเสียงสุภาพแต่นิ่ง
พริมไม่รู้ว่าเขาตั้งใจช่วย
หรือแค่ไม่อยากให้เธอทำอะไรร่วมกับเขาอีก
แรงลมจากแอร์พัดผ่านผมเธอ และในชั่วขณะหนึ่งสายตาของทั้งคู่ก็สบกันโดยไม่ตั้งใจ
ไม่ใช่สายตาโกรธ
ไม่ใช่สายตารังเกียจ
มันเป็นอะไรบางอย่างที่แปลก…เหมือนกำลังพยายามบอกอะไรแต่พูดไม่ได้
พริมใจเต้นแรง
เธอรีบเบือนหน้าหนี
พองานจบ ทั้งคู่ต่างคนต่างเก็บของโดยไม่พูดกัน
แต่เพราะฟังก์ชันงานต้องเซ็นยืนยันเอกสารด้วยกัน
พริมเลยต้องนั่งลงตรงโต๊ะเดียวกับเขา
เขาวางเอกสารไว้ตรงหน้าเธอ
มือเขาเกือบแตะหลังมือของเธอ
แต่เขาก็ชักกลับอย่างรวดเร็วเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง
พริมเซ็นชื่อเสร็จแล้ววางปากกา
ไม่รู้ว่าทำไมค่ำคืนนี้มันถึงดูเงียบมากกว่าปกติ
เธอหันไปพูดเบา ๆ
“…คุณไม่จำเป็นต้องหลบหน้าฉันก็ได้นะคะ”
คีย์หยุดมือ
แต่เขาไม่ตอบ
ไม่พูดแม้สักคำเดียว
และไม่มองหน้าเธอด้วย
เขาเพียงแค่ลุกขึ้น
เก็บแฟ้ม
แล้วเดินออกจากห้องไป
ทิ้งเธอไว้คนเดียว
พร้อมความรู้สึกที่หนักกว่าเดิม
ทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ ทั้งสับสน