ตอนที่ 21 : อาจเอื้อม NC

3176 Words
21 นอกเรือนเสียงกระซิบกระซาบของผู้บุกรุกสองท่านไม่ได้ทำให้คนที่มีประสาทสัมผัสไวเป็นพิเศษเยี่ยงพญาขาลรับรู้ถึงการมา เพราะเขาเบนความสนใจทั้งหมดทั้งมวลสู่เรือนร่างหอมหวานที่ตกเป็นเบี้ยล่างให้เขาเชยชิมแทะโลมตลอดหลายชั่วยามที่ผ่านมา บรรยากาศฟ้าเปิดปราศจากอากาศร้อนอบอ้าวกลับเย็นสบายพัดสายลมเย็นเยียบสู่ภายในเรือนนอนอันร้อนระอุราวกับสนามรบ เรือนร่างเปลือยเปล่าอวบอิ่มในสัดส่วนที่ควรจะอวบอิ่มถูกฟ้อนเฟ้นบีบคลึงจนระบมทั่วเรือนร่าง หยาดน้ำหวานอาบชโลมแก่นกายความเป็นชายทำให้เขาสามารถรุกรานนางได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เสียงสะอื้นไห้วอนขอให้เขาหยุดการกระทำรุนแรงเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากอิ่มใต้ร่างบางช่วงบางตอน แต่ไม่นานนักก็ถูกริมฝีปากหนาประกบจุมพิตดูดกลืนเสียงสะอึกสะอื้นลงคอ ครั้นผละออกมาเจ้าตัวดีก็สะอื้นไห้อีกคราจนเขาหงุดหงิด “ฮะ...ฮึก ฮือออ!” “บวมหมดแล้วระบมหมดแล้ว!” “หุบปาก!” พญาขาลตวาดเสียงเหี้ยมเกรียม “กระดังงาอยากนอนพักแล้ว” น้ำเสียงหวานเอ่ยออดอ้อนขณะยังไม่ได้สติแต่รู้ว่าช่วงล่างบวมระบมจากการถูกเขารุกรานหนักหน่วง “คืนนี้ไม่มีผู้ใดหน้าไหนได้นอนดอกหนาไม่ว่าจะเป็นข้าหรือเอ็ง อยากจะเป็นเมียปรนนิบัติข้า ข้าก็ให้โอกาสเอ็งแล้วจะมาหยุดกลางคันได้อย่างไร” พญาขาลแค่นหัวเราะในลำคอเอ่ยบอกนางเสียงแหบพร่าเจือเสน่หา เอวสอบของเขายังคงดำเนินหน้าที่รุกรานสอดประสานเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน “นี่พึ่งกลางคันหรอทำไมแม่เฒ่าไม่เคยบอกว่ามันจะนานขนาดนี้!” กระดังงาเริ่มออกลูกงอแง “ใช่” “ฮืออออ!” “ถ้ายังไม่หุบปากข้าจะสอนเอ็งให้รู้จักนรกบนดิน” พญาขาลข่มขู่เสียงเหี้ยมเกรียม ยิ้มเย็นทว่ารอยยิ้มนั้นกลับไปไม่ถึงดวงตาสีชาด และคำข่มขู่นั้นก็เป็นจริงทุกประการหลังจากที่หญิงสาวไม่เชื่อฟังยังคงสะอึกสะอื้นร่ำไห้หลั่งหยาดน้ำตาเป็นสายเลือด ร่างกำยำสันทัดของเขาก็ออกแรงรุกรานดิบเถื่อนมากกว่าเก่า ไม่ว่านางจะเบะปากส่งสายตาอ้อนวอนร้องขออย่างไร สิ่งที่ได้กลับมาคือสัมผัสเดือดดาลจนเรือนร่างระหงแทบจะแหลกลาญคามือ แก่นกายตัวเขื่องขยับเข้าออกรุนแรง หนักหน่วง ไร้ความปรานี สองมือกอบกุมอกอิ่มออกแรงเคล้นคลึงปรนเปรอความต้องการของตนเองอย่างไม่ไว้หน้า ทุกท่วงท่าลีลาพิสดารที่นางเคยฝึกปรือถูกบีบบังคับให้เผยออกมาปรนเปรอเขาหมดสิ้น เมื่อจับจุดตำแหน่งได้ว่าควรทำอย่างไรให้เขาผ่อนปรนปล่อยผ่าน กระดังงาจึงเก็บความเจ็บปวดระคนเสียวซ่านเอาไว้แล้วพลิกร่างขึ้นมานั่งคล่อมขยับร่อนสะโพกบดขยี้แก่นกายตัวเขื่องแทน อย่างน้อยเธอเป็นฝ่ายบังคับก็ยังอ่อนโยนมากกว่าเขาเป็นผู้บังคับบังเหี่ยนเสียเอง แต่ใช่ว่าเป็นผู้กุมบังเหี่ยนเองจะรอดพ้น “มีแรงแค่นี้รึ!” “......” กระดังงานั่งทำตาปริบๆ ขอความเห็นใจ เขาผู้นี้ในความทรงจำของเธอช่างพร่าเลือนมองไม่เห็นใบหน้าดุดันที่คอยออกคำสั่งเสียเหลือเกิน ไม่รู้ว่าแม่เฒ่าไปคว้านหาผู้ฝึกสอนวิชามาจากที่ใด ดุชะมัด! ดุเหมือนเสือไม่มีผิด! “ออกแรงอีก!” พญาขาลออกคำสั่ง “......” กระดังงาเบะคว่ำปาก พยักหน้าเล็กน้อยทำตามคำสั่ง เธอทั้งเหน็ดเหนื่อยและร่ำร้องถึงความไม่เป็นธรรมที่ถูกเขาผู้นี้เคี่ยวกรำอย่างหนักตลอดทั้งคืน ใบหน้างดงามพิลาสล้ำเปียกชุ่มด้วยเม็ดเหงื่อเต็มกรอบหน้า ขณะสองแขนสอดประสานกันวางรั้งใต้ท้ายทอยของตนเอง สายตาคมกริบกวาดสายตามองเรือนร่างเปลือยเปล่าขยับโยกสะโพกขึ้นลงเย้ายวนชวนสัมผัส ทรวงอกอวบอิ่มกระเพื่อมขึ้นลงยามนางสยายผมควบแก่นกายตัวเขื่อง ภาพเบื้องหน้าปลุกความต้องการคงที่ให้โหมกระหน่ำจนอยากจะกระแทกกระทั้นนางแรงให้ถึงใจ แต่เกรงว่านางจะรับความต้องการอันหื่นกระหายรุนแรงผิดมนุษย์มนาของเขาไม่ไหวจึงได้แต่สะกดกลั้นอารมณ์ดิบเถื่อนในร่างกาย และค่ำคืนนั้นไม่ว่าเขาจะเสร็จสมกี่รอบความเป็นชายใจกล้าหน้าด้านของเขาก็จะผงกหัวขึ้นมาแยกเขี้ยวจัดการจนเธอหมดสิ้นเรี่ยวแรงต่อกรและรับมือ กลายเป็นร่างไร้จิตวิญญาณที่เขาขยับจัดท่วงท่าใดก็ได้แต่เป็นฝ่ายยินยอมพร้อมใจให้เขาตักตวงความสุขตลอดจนเกือบรุ่งสาง คนเคี่ยวกรำจัดการสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ให้นางตามเดิม ก่อนออกจากห้องจึงคลายมนต์สะกดให้เตียนคำ กระดังงาผู้ถูกเคี่ยวกรำนอนหมดเรี่ยวแรงอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวตั้งแต่ตีห้าครึ่งจวบจนกระทั่งสี่โมงเย็น ร่างระหงนอนคดกายอยู่ใต้ผ้าห่มผืนบาง กลิ่นอายบุรุษอบอวลทั่วเรือนร่าง แม้ว่าจะมีเสียงของเตียนคำคอยเอื้อนขานแต่ก็ไม่ทำให้คนขี้เซาตื่นขึ้นมา ร่างมหึมาลายพาดกลอนสองตัวเยื้องย่างเข้ามาภายในเรือนนอนใช้อุ้งเท้าสะกิดพลางแลบลิ้นสากสีชมพูระเรื่อฉาบเลียลงบนใบหน้างาม “อื้อ!” เจ้าพิรุณและเจ้ากำจายได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เข้ามาเป็นคนปลุกหญิงสาวขี้เซา แม้พวกมันจะเป็นสัตว์เดรัจฉานแต่จากภาพแนบชิดสนิทเนื้อที่พวกมันเห็นคราก่อน รวมไปถึงเสียงเรือนโยกเขยื้อนรุนแรงคืนวานไม่ต้องเดาก็ทราบได้ว่าพ่อบุญธรรมของพวกมันเลือกคู่ตีตราประทับนางเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้สายเลือดโจรชั่วจะไหลเวียนในกายนาง พวกมันก็ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายหรืออาฆาตแค้นนางอีก มิหนำซ้ำอาจจะต้องเอื้อนขานนางว่าแม่บุญธรรมด้วยซ้ำไป แผล่บ แผล่บ เจ้าพิรุณและเจ้ากำจายรู้จักเอาตัวรอดเป็นยอดดี ประจบสอพลอเอาใจแม่บุญธรรมของตนเอง แลบลิ้นสากหนาสีชมพูปัดป่ายบนใบหน้างามจนชุ่มแฉะ อุ้งเท้ามหึมาลายพาดกลอนก็เขี่ยสะกิดนางไม่หยุดหย่อน สิ่งที่เหนือความคาดหมายนั่นก็คือเจ้าพิรุณขยับศรีษระมหึมาคลอเคลียหญิงสาวราวกับลูกแมวแต่ตัวเท่าลูกควาย เป็นท่าทีไม้เด็ดเลียนแบบแม่บุญธรรมของตนเองนั่นเอง เจ้าพิรุณที่ลอบสังเกตการณ์มานานจึงจดจำท่าทางนี้ไว้ในใจ การเติบโตมากับพญาขาลตั้งแต่น้อยทำให้พวกมันก้าวร้าว ดุดัน และโหดเหี้ยม ใช้สัญชาตญาณนักล่าในการดำเนินชีวิต ผู้ใดจะไปคาดคิดว่าจู่ๆ พ่อบุญธรรมของพวกมันจะจับพลัดจับผลูเลือกคู่และผสมพันธุ์เสร็จสรรพในระยะเวลากระชั้นชิดไม่ให้พวกมันได้ตระเตรียมใจก่อน “เจ้าพิรุณ เจ้ากำจาย พวกเอ็งไสหัวออกไปจากเรือนนอนนางน้อย จะมากลั่นแกล้งรังแกกระไรก็รู้จักรอคอยหน่อยเถิด ไม่เห็นรึว่านางน้อยของข้านอนหลับพักผ่อนอยู่” เตียนคำขึงตาใส่เสือโคร่งสองตัว “......” ร่างมหึมาลายพาดกลอนสองตัวเชิ่ดหน้าไปคนละทางเมินเตียนคำ ทำเหมือนว่านางไม่มีตัวตนลอยอยู่ในอากาศ “หน็อยแน่! เชิ่ดหน้าใส่ข้าจนคอแทบหัก หน็อย...” “อื้อ!” กระดังงาส่งเสียงอู้อี้ในลำคอยกมือดันสิ่งก่อกวนขัดขวางเวลานอนอันสุขสงบ ฝ่ามือนุ่มนิ่มสัมผัสศรีษระมหึมาของสัตว์เลือดอุ่นได้สองตัวจึงลุกพรวดเบิกตากว้างตื่นตกใจจนแทบจะเป็นลมล้มชักลงต่อหน้าเจ้าพิรุณและเจ้ากำจาย สายตาระแวดระวังมองเสือโคร่งร่างมหึมาที่เคยชิงชังส่งสายตาแข็งกร้าวมองเธออย่างอาฆาตมาดร้าย บัดนี้กลับมองเธอด้วยสายตาออดอ้อนประจบประแจงเต็มกำลัง เสือโคร่งโตเต็มวัยเพศผู้และเพศเมียหมอบนอนลง เมื่อเห็นอากัปกิริยาระมัดระวังและระแวงของหญิงสาวที่จับจ้องพวกมันไม่วางตา ก็แน่ล่ะหลายวันก่อนยังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันคำรามหมายจะฝังกรงเล็บฉีกทึ้งร่างเธอให้เป็นชิ้นๆ อยู่เลย วันนี้พวกมันไปกินอะไรผิดสำแดงมาถึงได้มาส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มมองเธอถึงในเรือนนอน “พิรุณ กำจาย!” “โฮกกกก!” เจ้าพิรุณ เจ้ากำจายขานรับ หากพวกมันส่งเสียงร้องเมี้ยวและย่อขนาดให้เล็กลงได้ก็คงทำไปนานแล้ว “พ่อพวกแกสั่งให้มาแกล้งฉันอีกแล้วใช่มั้ย” “......” เสือโคร่งแสนรู้ส่ายหน้าเล็กน้อย “แล้วเป็นอะไรกัน?” “มีเจตนาไม่ดีแน่นอนเจ้าคะนางน้อย พี่เตียนคำออกปากไล่ลงไปแล้วยังหน้าหนาอยู่อีก” เตียนคำที่เห็นเหตุการณ์นิสัยร้ายกาจไม่ต่างจากพญาขาลของเสือโคร่งสองตัวนี้ตั้งแต่แรกจีบปากจีบคอเอ่ย “ฮึ!” เจ้าพิรุณถอนหายใจดังพรืดไม่สบอารมณ์ที่โดนเตียนคำว่าร้ายต่อหน้าต่อตา “......” เจ้าพิรุณและเจ้ากำจายกระโจนคล่อมร่างระหง แลบลิ้นเลียใบหน้าประจบประแจงอีกครา ครานี้พวกมันแสดงออกว่าอยากจะสนิทสนมกลมเกลียวกระดังงาเต็มประดา จนแทบอยากจะควักสมองออกมาให้เธอดูว่าด้านในไม่ได้มีแผนการชั่วร้ายตลบหลังพวกนั้นจริงๆ พวกมันกลิ้งเกลือกอยู่บนร่างเล็กทำตัวราวกับว่าพวกมันเป็นลูกแมวตัวน้อยหยอกล้อกับแม่แมวตัวใหญ่ ในทางกลับกันกระดังงาที่ถูกเสือโคร่งตัวมหึมาสองตัวนอนทับจนร่างแบนหายใจไม่ออก “พิรุณ กำจาย ฉันหายใจไม่ออก!” สองแขนเรียวดันสะโพกหนาของเจ้ากำจายที่ทิ้งน้ำหนักตัวนั่งทับศรีษระเล็กจนใบหน้าบูดบู้บี้ ฝีเท้าหนักเดินขึ้นบันไดเรือนตรงมายังเรือนนอนของหญิงสาว เจ้าของร่างกำยำสันทัดยืนกอดอกหน้าประตู เห็นสภาพน่าเวทนาของกระดังงาถูกเจ้าพิรุณและเจ้ากำจายนั่งทับจนมิดจึงเอ่ยปากเสียงดุดันเย็นชา ทำให้กระดังงารอดพ้นจากเสือโคร่งที่กินยาผิดสำแดงสองตนได้อย่างหวุดหวิด “ออกมา! ข้าให้มาปลุกไม่ได้ให้มาก่อกวน ส่วนเอ็งจะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหนตะวันตั้งโด่อยู่บนหัวแล้วยังมัวมานอนอืดยืดยาดอยู่ตรงนี้” หางตาคมกริบปราดมองหญิงสาวหนึ่งผาด คนงัวเงียอยากจะทิ้งตัวลงนอนอีกรอบจึงจำใจดีดกายลุกขึ้น “จ้าอ้ายขาล” “ทำไมนอนตื่นสาย” เสียงเข้มหยั่งถามว่านางจดจำเหตุการณ์ที่ตนเองเคี่ยวกรำนางอย่างหนักหน่วงได้หรือไม่ “อากาศเย็นมั้งจ๊ะ ขอโทษอ้ายขาลด้วยนะจ๊ะพรุ่งนี้จะไม่นอนตื่นสายอีกแล้วจ๊ะ” หญิงสาวก้มหน้าก้มตารับผิด รีบยันกายลุกขึ้นยืนหมายจะรีบลงไปอาบน้ำ ไม่นานก็ร้องเสียงหลงทุบลงบนสะโพกสามสี่ที “โอ้ะ! ทำไมมันปวดเอวเหมือนเอวเคล็ดขัดยอก สงสัยนอนตกฟูกแน่เลยเมื่อคืน” ดวงหน้ายามเหยแกบิดเบี้ยวยามความเจ็บปวดโลดแล่นทั่วสรรพางค์กาย หญิงสาวนวดคลึงช่วงสะโพกหวังคลายความเคล็ดขัดยอก “หึ...” “......” ส่วนเจ้าพิรุณและเจ้ากำจายก็ลอบส่งสายตาให้กัน คิดในใจว่าโชคดีของพ่อบุญธรรมที่พวกมันพูดไม่ได้ หากพูดได้พวกมันคงเอาเรื่องเรือนโยกเอี๊ยดอ๊าดจนพวกมันไม่ได้หลับได้นอนฟ้องแม่บุญธรรมเอาหน้าสร้างผลงานเป็นแน่ เงาตะคุ่มสองร่างลอบมองร่างผู้ถูกเลือกอยู่ไกลๆ รำพึงดวงวิญญาณผู้สิงสู่ยึดร่างน้ำค้างหญิงสาวชาวบ้านเหลือบมองเป้าหมายใหม่ด้วยจิตใจร้อนลุ่ม พลางกระแอมไอออกมาสองสามคราร่างอ่อนระโหยโรยราร่างนี้ถูกนางยึดมาได้เกือบปีแล้ว จากคราแรกที่น้ำค้างเจ้าของร่างซื้อผีเลี้ยงมาจากสำนักทักษิณา ดวงวิญญาณของรำพึงก็อาศัยพลังงานชีวิตกัดกินจนจิตวิญญาณน้ำค้างจนไม่สามารถอยู่อาศัยในร่างเดิมของตนได้อีก พลิกผันให้กายเนื้อที่เคยล้มหมอนนอนเสื่อกลับมาลุกขึ้นยืนเดินไปไหนมาไหนได้อีกครั้ง แต่ก็ทำให้รำพึงต้องใช้เรี่ยวแรงฝืนพยุงร่าง ทนพิษความเจ็บปวดแทนเจ้าของร่างเดิมจนทุกข์ระทมโอดครวญกับพี่ชายให้ช่วยหาร่างใหม่ให้นางโดยเร็ว สองพี่น้องนามปราณและรำพึงเป็นบุตรชายแลบุตรสาวของพ่อครูปราโมทย์ผู้สืบทอดวิชาเขมรมนต์ดำโบราณหลายร้อยปีก่อน พ่อครูปราโมทย์กระทำบาปกรรมเข่นฆ่าพรากชีวิตผู้บริสุทธิ์มานักต่อนัก ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อย่างเข้าสู่วัยกลางคนความคึกคะนองมลายหายไปสิ้นจึงมีความคิดเกรงกลัวต่อบาปกรรม เกรงกลัวว่าตนจะต้องไปรับใช้การกระทำที่ตนเองก่อ จึงทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจคิดค้นมนตราที่จะสามารถช่วยให้ตนเองอยู่อาศัยอยู่บนโลกมนุษย์ได้ตราบนานเท่านาน หากดวงวิญญาณของเขายังคงหลงเหลือกายเนื้อไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเอื้อมกระชากลากดวงวิญญาณเขาสู่นรกอเวจีได้ ภายหลังวิชาที่เขาตรากตรำสำเร็จผลจึงมีวิชาหนึ่งบทถ่ายทอดให้แก่เลือดเนื้อเชื้อไขสองหน่อนี้ นั่นก็คือมนต์แยกยึดร่าง สามคนพ่อลูกรวมไปถึงลูกศิษย์ลูกหาที่คอยติดตามรับใช้ต่างก็ได้รับความอนุเคราะห์ร่ำเรียนวิชากลโกงอายุขัยบทนี้ ตลอดระยะเวลาร้อยกว่าปีที่ผ่านมาพวกเขาเดินทางร่อนเร่ขึ้นเหนือลงใต้ไปตามหมู่บ้านต่างๆ นำดวงวิญญาณของพวกเดียวกันเร่ขายให้แก่ร่างผู้ถูกเลือก สำนักใดจักถูกกาลเวลาลืมเลือนแต่สำนักทักษิณาของพวกเขายังคงยืนหยัดผงาดแผ่อำนาจอยู่เหนือทุกสำนัก “อย่าบุ่มบ่าม ข้ารู้สึกใจคอไม่ดีอย่างไรก็ไม่รู้ ตอนที่ข้าเผชิญหน้ากับผัวของมันแววตาของอ้ายผู้นั้นแข็งกระด้างเหมือนไม่ใช่แววตาของมนุษย์” ผู้เป็นพี่ชายพูดสิ่งที่เขาเป็นกังวล “จะไม่ใช่มนุษย์ได้อย่างไร พี่อย่าปอดแหก! เกิดนึกชอบหลงใหลรูปโฉมของมันหรือไง ถึงพี่จะนึกเสียดายแต่ร่างของนางถูกข้าเลือกแล้วจะทำการใหญ่อย่าให้ความรู้สึกพวกนั้นมาขัดขวางข้า” รำพึงตวัดปรายหางตามองพี่ชายร่วมอุทร “ข้าเป็นพี่เอ็งมานานตั้งเท่าใด ข้าสันดานเยี่ยงนั้นรึรำพึง” ปราณเอ่ยเสียงเย็นเยียบ ในแววตาล้ำลึกของเขาเรียบนิ่งดำมืดจนมองไม่เห็นก้นลึกของจิตใจ ไม่มีสิ่งใดแปรเปลี่ยนเสียนอกจากความเย็นชาไร้ความรู้สึกทั้งห้ามานานแล้ว การอยู่อาศัยบนโลกใบนี้เนิ่นนานหลายชั่วอายุคนกระจ่างแจ้งจนเขาไร้ความปรารถนา “ไม่ใช่ก็ดี” “สิ่งใดที่เอ็งอยากได้ใคร่มีข้าจะแย่งชิงมาให้เอ็ง หากเอ็งไม่อยากตกนรกเกรงกลัวบาปกรรม ข้าจะทำให้เอง พอใจหรือยัง” “มันก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วเพราะพี่เป็นพี่ชายของข้า” รำพึงยกยิ้มมุมปากพึงใจ “สำเหนียกรู้ตัวก็ดีว่าข้าเป็นพี่ชายเอ็งหาใช่ข้ารับใช้รองมือรองตีนที่จะต้องให้เอ็งมาชี้นิ้วสั่ง” “เจ้าค่ะ” “กลับไปรอที่ตำหนักดูแลพ่อให้ดีทางนี้ข้าจะจัดการเอง พูดดีๆ ไม่ได้เห็นทีก็คงต้องใช้กำลัง” สายตาล้ำลึกจ้องมองร่างระหงผุดผาดผู้มีรูปโฉมโดดเด่นกำลังพะเน้าพะนอคลอเคลียเอาใจชายหนุ่มวัยกลางคนท่าทางโหดเหี้ยมร้ายกาจบนเรือนไม้ทรงไทย บนเรือนไม้ทรงไทยโบราณมีกลิ่นของผลส้มปอกเปลือกฉีกทีละชิ้นส่งป้อนเข้าปากเจ้าของร่างกำยำสันทัด ร่างกายแข็งแกร่งประหนึ่งหินผาแตะนิดแตะหน่อยเป็นต้องส่งเสียงคำรามพร้อมส่งสายตามาดร้ายให้หญิงสาวหน้าด้านไร้ยางอายผู้นี้เป็นระยะ แต่มีหรือที่หญิงสาวจะสะทกสะท้านนางดันแสร้างทำเฉไฉไม่รู้สึกรู้สาอะไร คอยแทะโลมเนื้อตัวพญาขาลทุกครายามสบโอกาส เขากระถดถอยหนีเธอก็บดเบียดกายเข้าหาอย่างอุกอาจ เขาไม่บีบคอจนกระดูกคอเธอหักดังกร็อบเหมือนคราแรกก็นับว่าบุญโข ทว่า...สายตาคมกริบเหลือบมองจ้องออกไปนอกเรือนสุดลูกหูลูกตาเป็นระยะ หัวคิ้วเข้มขมวดแน่นเป็นปมจนนิ้วเรียวต้องคอยนวดเคล้นไม่ให้มันชนกันจนทิ้งร่องรอยเอาไว้ หากจะแก่ก็ให้แก่เพียงอายุขัยเถิดหนา หากร่างกายกำยำสันทัดเหี่ยวเฉาตามกาลเวลาประดุจกิ่งไม้ใบหญ้าเธอคงปวดใจ ความคิดพิลึกพิกลนี้หากพญาขาลรู้เข้าคงหัวร่อจนน้ำตาเล็ด ผู้ใดจะร่วงโรยตามกาลเวลาแต่หนึ่งในนั้นย่อมไม่ใช่เขาแต่เดิมร่างกายกำยำสันทัดนี้ก็คงสภาพนี้มาตั้งแต่จุติถือกำเนิดขึ้นกลางบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์พร้อมภาระหน้าที่ที่ถูกกำหนดให้เป็นเขาตั้งแต่คราแรก ผดุงความยุติธรรมให้เหล่าพงศ์เผ่าเดรัจฉานคือหน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมายจากเบื้องบนประคับประคองสมดุลของธรรมชาติ “อ้ายขาลจะไปที่ไหนหรอจ๊ะ” กระดังงาเอ่ยถามพยายามทำสีหน้าแววตาให้ใสซื่อบริสุทธิ์ไร้พิษสงและเขี้ยวเล็บ กระดิกหางไปมาอย่างน่ารักน่าเอ็นดู “ไม่ใช่เรื่องของเอ็งจะสู่รู้ไปทำกระไร” “รู้เรื่องของผัวก็นับว่าเป็นหน้าที่ของเมียนี่นา อ้ายขาลจะขึ้นเหนือล่องใต้กระดังงาก็จะติดตามไปด้วยจ๊ะ ไม่อย่างนั้นใครจะมาปรนนิบัติอ้ายขาลกันเล่า แค่คิดกระดังงาก็ปวดใจแล้วจ๊ะที่ต้องปล่อยให้อ้ายขาลไปเผชิญความทุกข์ทนลำบากคนเดียว” หญิงสาวทำท่าปัดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงบริเวณหางตา “ข้าขี้ริ้วขี้เหร่หรือไม่” “ก็ไม่นะจ๊ะ” ก็แค่แก่ทั้งยังหลอกยากไปนิด เธอคิดในใจ “ฉะนั้นเอ็งคิดว่าข้าจะขาดคนปรนนิบัติรึ” “แต่อ้ายขาลเป็นของกระดังงา กระดังงาหมายตาแล้วไม่คิดใช้ร่วมกับใคร ของต้องใจไม่ว่าใครก็อย่าคิดมาแทนที่จะบอกไว้ก่อน ตรงนี้ก็ของกระดังงา ตรงนี้ก็ใช่ ตรงนี้ก็เกี่ยว ตรงนี้ก็จ้องตาเป็นมันนานแล้ว ส่วนตรงนี้ต้องใช้กับกระดังงาคนเดียว” หญิงสาวเลื่อนนิ้วชี้สัมผัสพวงแก้มสาก เคลื่อนไปสัมผัสจมูกโด่งสัน ย้ายมาสัมผัสริมฝีปากสีเข้ม เคลื่อนลงมาสัมผัสอกแกร่งกำยำก่อนจะไปหยุดอยู่กึ่งกลางความเป็นชาย เธอแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเต็มตัวไม่ว่าเขาจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม “เมื่อไหร่อ้ายขาลจะให้กระดังงาปรนนิบัติส่วนนั้นสักที กระดังงายังเป็นหญิงพรหมจรรย์บริสุทธิ์ผุดผ่องไม่เคยผ่านมือชายใดจริงๆ หนาอ้ายขาล” เสียงหวานออดอ้อนเสียงเล็กเสียงน้อยพาลให้ดวงใจแกร่งคันยุบยิบเหมือนต้องมนต์สะกด “หึ...อย่างเอ็งน่ะหรือเรียกว่าบริสุทธิ์” พญาขาลแทบจะหลุดหัวเราะพรืด นึกย้อนถึงเหตุการณ์วาบหวามที่ตนเองเคี่ยวกรำหญิงสาวจนนางสะอื้นไห้ร้องขอความเมตตา “แน่นอนกระดังงามั่นใจ” “เก็บความบริสุทธิ์ของเอ็งเอาไว้นอนกอดเถิด”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD