ตอนที่ 3 : ปัญหามาแล้ว

2810 Words
3 ต้นมะขามฝักใหญ่บริเวณหน้าเรือนไม้สองชั้นกลายเป็นที่ฝนกรงเล็บสำหรับเจ้าพิรุณและเจ้ากำจาย เสือโคร่งตัวผู้ตัวเมียตัวเต็มวัยฝังกรงเล็บลงบนลำต้นมะขามจนพรุน ราวกับต้องการลับกรงเล็บให้แหลมคมเตรียมพร้อมออกล่าเหยื่อ ร่างมหึมาลายพาดกลอนสูงใหญ่กว่าเจ้าพิรุณและเจ้ากำจายมากโข เดินเชื่องช้าบิดขี้เกียจขึ้นมานอนเหยียดบนแคร่ตัวยาวที่ตรีศูลหลานรักทำขึ้นมาให้ใหม่แทนตัวเก่า เจ้าพิรุณคือเสือโคร่งตัวเมีย เจ้ากำจายคือเสือโคร่งตัวผู้ สองเสือตัวน้อยที่พญาขาลเคยช่วยเหลือให้รอดพ้นจากเงื้อมมือคนชั่ว ก่อนที่พวกมันจะถูกนำไปขายต่อให้พวกเ**กต้มเป็นยาชูกำลัง เจ้าพิรุณและเจ้ากำจายเป็นเสือที่รู้ความคอยติดตามพญาขาลเข้าพงไพรเพื่อออกล่าหาอาหารเอง ไม่จำเป็นต้องหวังพึ่งพาผู้ใด กลางวันก็มานอนอาบแดดอยู่ลานบ้าน พลบค่ำลาดตระเวนรอบเรือนหนหนึึ่งก่อนจะเข้าป่าหาอาหาร นี่ก็ผ่านล่วงเลยมาหลายสิบปีไม่มีทีท่าว่าจะจากไป พวกมันทั้งสองตัวไม่ยอมกลับเข้าไปอยู่อาศัยในพงไพรตามสัญชาตญาณ เอาแต่ตามติดพญาขาลต้อยๆ จนบางครั้งสมิงเฒ่าก็พลอยหงุดหงิด แรกๆ สองตัวนั่นก็หวาดกลัวอยู่ดอก พออยู่ไปนานๆ ก็รู้ทิศรู้ทาง เรือนไม้สองชั้นสร้างใหม่ถัดออกมาจากเรือนไม้ทรงไทยแบบโบราณของไอยศูรย์ ไม่ห่างไกลจากกันมากนัก เรือนนี้เขาได้มาหลังจากบุหงาคลอดบุตรชายฝาแฝดนาม ศิลา สิบทิศ ส่วนคนโตอย่าง ตรีศูล ก็โตพอจะรู้เรื่องรู้ราวบางแล้ว เรือนที่เคยสงบก็พลันกลายเป็นสนามรบแทบทุกวัน สมิงเฒ่าผู้รักสงบมีหรือจะอยู่ไหว เขาจึงรีบคาบทรัพย์สมบัติใต้ดินออกมาวางกองให้เจ้ามิ่งจัดการซื้อที่ดินสร้างบ้าน แยกเรือนออกมาเป็นส่วนตัวจะดีกว่า อีกทั้งเขายังอุปถัมภ์สัตว์ร้ายสี่ขาสองตัว เกรงว่าจะทำให้หลานตกอกตกใจ ทว่ากลับตรงกันข้ามพิรุณและกำจายกลายเป็นเพื่อนเล่นให้หลานทั้งสามเข้ากันได้ดีราวปี่กับขลุ่ยตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ตรีศูล ศิลา สิบทิศ เติบโตเป็นหนุ่มหล่อประจำหมู่บ้าน ในขณะที่ลุงขาลเยี่ยงเขายังคงรูปลักษณะเฉกเช่นเดิม ทั้งไม่หนุ่มขึ้นและไม่แก่ลง คงความเกรี้ยวกราดและหงุดหงิดหัวเสียตลอดทั้งวัน “กรรร รรร” “พวกเอ็งจะขยับมาใกล้ข้าทำกระไร ที่ตั้งเยอะแยะข้าร้อน! รู้งี้ข้าปล่อยพวกเอ็งไว้ที่เวียงละกอนเสียก็ดี” พญาขาลผงกศรีษระมหึมาตวัดปรายหางตามองเจ้าพิรุณและเจ้ากำจายที่เอาสันจมูกมาคลอเคลียอุ้งเท้าหนาของเขา พลางแยกเขี้ยวข่มขู่ และดูเหมือนเจ้าสองตัวนี้จะชินชากับอารมณ์หุนหันพลันแล่นของพญาขาลเสียแล้ว “โตจนหมาเลียก้นพวกเอ็งไม่ถึงกันแล้ว ไยไม่ออกไปพเนจรหาคู่ครองของตนในพงไพร มัวมาติดแหง็กอยู่กับข้า ระวังเถิดถึงเพลานั้นก็คงจะไม่มีเสือตนใดอยากสมสู่กับพวกเอ็ง!” พญาขาลยกอุ้งเท้าดันศรีษระเจ้าพิรุณและเจ้ากำจายให้ออกห่าง โตจนป่านนี้แล้วพวกมันยังมาออดอ้อนเขาราวกับบิดา “......” เจ้าพิรุณเชิดใบหน้าขึ้นทำราวกับไม่ใส่ใจคำพูดของพญาขาล “......” เจ้ากำจายถอนหายใจพรืดใหญ่ สะบัดหางหนักกระทบสะโพกแกร่งของพญาขาลดังตุ้บ “หากไม่อยากมีคู่ครองก็ถือศีลบำเพ็ญเพียรปรับภพภูมิของตนให้สูงขึ้น จะได้มีอายุขัยยืนยาวดีกว่าเป็นเดรัจฉานธรรมดา” พญาขาลบ่นพึมพำราวกับตนเองเป็นตาแก่ ทำให้เจ้าพิรุณและเจ้ากำจายกรอกดวงตาสีอำพันไปมาอย่างเบื่อหน่าย พยักหน้าให้กันเล็กน้อยแล้วแยกย้ายสะบัดก้นหนีไปคนละทิศคนละทาง “......” “หน็อยแน่เดี๋ยวนี้ริอ่านรำคาญข้า เออดี! คืนนี้ไม่ต้องกลับมาให้ข้าเห็นหน้าก็แล้วกันพวกเอ็ง” เสียงเข้มตะโกนดุด่าไล่หลัง เขาถอนหายใจระบายความหงุดหงิด แล้วเอียนตัวนอนลงตามเดิม ปล่อยให้สายลมเย็นหอบเอากลิ่นดอกพิกุลหน้าเรือนลอยโชยพาดผ่านเข้ามาแตะจมูกหนา สร้างความผ่อนคลายจนกล้ามเนื้อมหึมาลายพาดกลอนรู้สึกสบาย ช่วงเวลาที่เขาเคลิบเคลิ้มง่วงงุนอยากจะพักสายตาสักหน่อย เสียงฝีเท้าของใครบางคนก็เหยียบย่างเข้ามาในอาณาเขตเรือนของพญาขาล เสียงทุ้มอันคุ้นเคยส่งเสียงเรียกเขาดั่งเช่นเคยเป็นประจำทุกวัน “ลุงขาลกับข้าวเสร็จแล้วไปกินข้าวกัน” ตรีศูลในวัยยี่สิบเอ็ด รูปร่างสูงใหญ่ผิวสีน้ำผึ้งนวลอ่อน คิ้วโก่งเข้มดั่งพระอาทิตย์ครึ่งเสี้ยว ดวงตาคมกริบมองลุงขาลที่นอนเหยียดอยู่บนแคร่ตัวยาว “เดี๋ยวข้าตามไป” “แล้วพิรุณกับกำจายล่ะลุง แม่บุหงาให้ผมเอาเนื้อไก่สดที่เหลือมาให้ ลาภปากเจ้าสองตัวนั้นเชียว” “หึ...พวกมันไม่อยากฟังคนแก่อย่างข้าบ่นจนหนีหน้าไปที่ใดแล้วก็ไม่รู้ ช่างมันปะไรให้พวกมันไปหากินกันเอาเองขวางหูขวางตา!” ร่างมหึมาเหยียดขยายกลายเป็นชายวัยกลางคน หนวดเครายาวปกคลุมครึ่งหน้า บดบังความคมเข้มให้ดูดุดันและแข็งกร้าว เนื้อตัวมีร่องรอยบาดแผลฉกรรจ์คราวก่อนบริเวณสีข้าง พญาขาลดูดุดันเป็นที่น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงกว่าไอยศูรย์มากนัก อาจจะเป็นเพราะว่าเขาไม่มีครอบครัว แววตาจึงล้ำลึกและเลือดเย็น เหี้ยมเกรียมและโหดร้ายต่อศัตรู ดวงตาคมเข้มสีชาดคู่นั้น ยามตวัดมองผู้ใดย่อมเสียวสันหลังวาบราวกับมีความผิดชนักติดหลัง “โห...ลุงขาล บทจะคืนร่างก็ทำเอาดื้ๆ เปลือยกายล่อนจ้อนไม่อายหลานบ้างหรอลุง ข้าบอกลุงตั้งกี่ครั้งแล้วว่าจะคืนร่างก็หาอะไรมาคลุมไว้ก่อน” ตรีศูลส่ายหน้าเอือมระอา รีบปลดผ้าขาวม้าบนเอวสอบยื่นให้ลุงขาล ใบหน้าหล่อเหลาออกสีแดงก่ำ “อายกระไร ของเอ็งก็มีเหมือนข้า ไม่เห็นมีกระไรต้องอายเลยหนา” พญาขาลยกยิ้มมุมปาก หลังเห็นท่าทีเก้อเขินของหลานรัก มือหยาบคว้ากางเกงผ้าฝ้ายตัวโปรดสวมทับเรือนร่างด้านล่าง ท่อนแขนกำยำผิวสีเข้มโอบประคองรอบลำคอของตรีศูลเดินตรงไปยังเรือนรักของไอยศูรย์และบุหงา ตรีศูลไม่ลืมที่วางเนื้อไก่สดไว้ให้พิรุณและกำจาย ที่เอาแต่หลบหลีกพญาขาลก่อนจะโผล่ศรีษระออกมาจากที่ซ่อนภายหลังที่บุคคลทั้งสองเดินห่างออกไปไกล กลิ่นหอมจรุงของสำรับเมนูอาหารคาวหวานวางบนโต๊ะไม้สี่เหลี่ยมตัวยาว มีเก้าอี้ประจำตำแหน่งคนละตัว ศิลาและสิบทิศยกกับข้าวนำออกมาวางบนโต๊ะ เห็นตรีศูลเดินขนาบข้างมาพร้อมลุงขาลก็ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว จนไอยศูรย์ที่กำลังอ่านฎีกาบัญชีบาป-บุญหนวกหูบ่นพึมพำ “พวกเอ็งไปได้นิสัยแม่ค้าปากตลาดมาจากที่ใด กลัวอ้ายเสือสมิงมันจะไม่ได้ยินหรือไร แล้วไม่กลัวพ่อจะหนวกหูบ้างหรือ” ไอยศูรย์เอ่ยเสียงขุ่น “หนวกหูก็เรื่องของเอ็งหาใช่เรื่องของหลานข้าเสียเมื่อไหร่” พญาขาลตอบหน้าตาย “เจ้าก็อีกคนให้ท้ายจนเด็กพวกนี้ไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่รู้จักมารยาทสัมมาคารวะ” ไอยศูรย์ถอนหายใจมองตาสหายหน้าเขียวคล้ำ “เจอกันไม่ทันไรก็เถียงกันตลอด ลูกหลานจะได้นิสัยมาจากใครได้ ก็ได้มาจากพวกพี่ทั้งสองนั่นแหละ เลิกเถียงแล้วมากินข้าวกันเร็ว” บุหงาปาดหยาดเหงื่อบริเวณกรอบหน้าเอ่ยขัดชายทั้งสอง วันและเวลาไม่อาจพรากความงามของบุหงา ยิ่งอายุเพิ่มขึ้นความสง่าและเยือกเย็นก็ผุดผาดทั่วเรือนร่างอรชร ที่ผ่านการมีบุตรถึงสามคนแต่ก็ยังคงความสาวได้อย่างมั่นคงจนเป็นที่น่าอิจฉาแก่หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน พญาขาลยักไหล่แสดงท่าทีไม่ยี่หระนั่งประจำที่ เบื้องหน้ามีเมนูเสือร้องไห้ย่างไขมันเกรียมพร้อมแจ่วขม ส่งกลิ่นหอมฉุยสุดจะหักห้ามใจจึงหยิบขึ้นมาส่งเข้าปากชิ้นหนึ่ง ไอยศูรย์ปรายหางตามองสหายที่ดูจะชื่นชอบเมนูนี้เสียเหลือเกิน กินได้กินดีกินเมนูเดิมซ้ำๆ ทุกวัน “กินเสือร้องไห้ทุกวันระวังเถิดเอ็งจะได้ร้องไห้เหมือนชื่ออาหาร” ไอยศูรย์หย่อนสะโพกลงบนเก้าอี้ไม้ อดเหน็บแนมสหายไม่ได้ “ตัวมึงยังกินแกงจืดลูกกรอกทุกวัน ลีลาท่าทางคงจะจืดชืดเหมือนน้ำแกงถ้วยนั้นกระมัง” พญาขาลยิ้มกรุ่มกริ่ม “ผู้ใดจะร้อนแรงเท่ามึงเล่า ไประบายกำหนัดใส่ลูกสาวชาวบ้าน เสร็จกิจก็เสียผีให้แล้วกันไป หากเป็นลูกสาวข้าเอ็งคงโดนแหกอกทาเกลือให้สาสม” ไอยศูรย์เอ่ยถึง เวียงหวัน หญิงสาวชาวบ้าน ที่ได้เสียกับพญาขาลในป่าดงดิบ เรื่องราวก็ผ่านมายี่สิบปีแล้วช่วงเวลาแห่งไฟราคะอันโชติช่วงยากจะมอดดับเพราะโดนนังพนอหยอดยาปลุกกำหนัด เสือสมิงร้อนรุ่มจนร่างกายแทบจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ หนีเอาตัวรอดเข้าป่า มาพบกับนางเวียงหวันที่กำลังหาของป่าพอดิบพอดี โชคดีที่นางเวียงหวันเต็มใจยินดีพลีกายปลดปล่อยความทุกข์อันกระจุกอัดแน่นบริเวณกลางลำตัวของความเป็นชาย ภายหลังเสร็จกิจพญาขาลจึงเสียผีให้นางเวียงหวันจนกลายเป็นเศรษฐีหน้าใหม่ของหมู่บ้านป่าอ้อ ความหอมหวนของเนื้อสาวไม่ได้ทำให้พญาขาลหวั่นไหวแม้เพียงน้อย และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานางเวียงหวันก็เทียวไปเทียวมาคอยดูแลพญาขาลและทำความสะอาดเรือนนอนให้เป็นประจำ ครองตัวเป็นโสดยาวนานจวบจนปัจจุบัน พญาขาลเย็นชาต่อนางนัก ไม่ว่านางจะทำดีเพียงใดก็ไม่เห็นนางอยู่ในสายตาซ้ำยังรำคาญใจใส่ประจำ “ก็ข้าไม่ได้รักไม่ได้ชอบนาง จะให้ข้าฝืนใจอยู่กินกันจะบ้าหรือ! เอากันอย่างเดียวก็พอว่า อีกอย่างถ้าข้าไม่โดนอีพนอหยอดยาปลุกกำหนัดเรื่องก็คงไม่เกิดดอก ข้ารักนวลสงวนตัวปานนี้” พญาขาลถอนหายใจพรืดใหญ่อย่างเหนื่อยหน่าย และแสร้งถือตัว “ชาตินี้ฉันคงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าลูกเมียของพี่ขาลแล้วล่ะ งั้นชาติหน้าละกันนะจ๊ะ” บุหงาตามมาสมทบเอ่ยเสียงหวาน บุหงาเองก็คิดว่าเวียงหวันไม่ค่อยเหมาะกับพี่ขาล รายนั้นขี้อายเคอะเขินจิตใจซับซ้อนไม่ตรงไปตรงมา หยิบจับอะไรก็มือไม้อ่อนปวกเปียก ดีหน่อยที่เป็นคนถ่อมตน ไม่พูดมาก วางตัวเป็น สมิงเฒ่าอย่างพญาขาลต้องเจอใครบางคนที่เผ็ดร้อนเหมือนพริกไทย เผ็ดชนิดที่ว่าหูดับตับไหม้ ดุดันคุมพญาเสือสมิงอยู่หมัดในสายตาเดียว และต้องเลือดเย็น โหดเหี้ยมอำมหิตพอ กระนั้นต้องไม่ลืมจริตจก้านร้อยเล่มเกวียนของหญิงสาวเพื่อมัดใจเขา ถึงจะสมกันราวกิบกิ่งทองใบหยก แต่ว่าผู้หญิงแบบนั้นหาได้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากเสียที่ไหน “ข้าสงวนตัวเพียงนี้!” “จะชาติไหนก็ไม่เอาโว๊ย ให้ข้าอยู่แบบสงบไม่หนวกหูแบบทุกวันนี้ ข้าก็พอใจแล้ว ไม่ต้องคิดจะหาห่วงมาคล้องคอข้า ข้าชอบชีวิตอิสระ...” พญาขาลก้มหน้าก้มตาทานข้าวเมนูโปรด ขณะหลานชายทั้งสามก็เอาแต่ครุ่นคิดว่าผู้หญิงแบบไหนหนอที่จะกำราบลุงขาลอยู่หมัด “แล้วลุงขาลชอบแบบไหนอะเผื่อวันข้างหน้าตรีศูลเจอผู้หญิงแบบนั้นจะได้ลากมาให้ลุงขาลกระทำชำเรา” ตรีศูลกระเถิบเข้าไปใกล้ผู้เป็นลุง พลางเอ่ยถาม ประโยคคำถามนี้ก็ทำเอาไอยศูรย์เงี่ยหูรอฟังอยู่เช่นกัน “......” ไอยศูรย์และบุหงาแทบกลั้นลมหายใจ รอลุ้นว่าผู้หญิงแบบไหนหนอถึงจะเรียกว่าเข้าตาพญาขาลเฒ่าผู้นี้ แต่โบราณเขาว่าเลือกนักมักได้แร่ “แบบไหนน่ะหรอ...” พญาขาลทำท่าครุ่นคิดชั่วครู่ โป้ก! นิ้วสากเคาะลงบนหน้าผากของหลานชายคนโตที่พยายามจะสืบหาข้อมูลล้วงความลับเขาเต็มแรง จนตรีศูลผงะขมวดหัวคิ้วลูบหน้าผากของตนส่งเสียงงึมงำน้อยใจลุง “จะชอบแบบไหนก็ไม่ใช่เรื่องของเอ็ง” เขาแค่นหัวเราะเย็นในลำคอหนหนึ่ง “โธ่...ลุงขาล ข้าจะได้เฟ้นหาหญิงงามมาให้ลุงไงตอบแทนที่ลุงช่วยดูแลข้าตอนเด็ก จริงมั้ยศิลา สิบทิศ พวกเราอยากจะมีป้าสะใภ้ใจจะขาด เห็นลุงขาลต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเปล่าเปลี่ยวก็ปวดใจ” ตรีศูลหันไปขอความเห็นน้องชายฝาแฝดทั้งสองที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวมูมมาม “อือ!” ศิลาตอบไปที “อืม!” สิบทิศตอบไปงั้น “แม่หญิงบ้านใดมันมาติดสินบนเอ็งอีกแล้ว” พญาขาลเอ่ยเสียงเย็น ดวงตาสีชาดปรายหางตามองหลานรักอย่างรู้ทัน อยู่ๆ มาคะยั้นคะยอจะให้เขาหาเมียท่าเดียว ดูจะไม่ใช่สถานการ์ณปกติเท่าไหร่ “อะไรของลุง ใครจะมาติดสินบนข้าได้” ตรีศูลยืดอกทำท่าจริงจัง ทว่าสายตาล่อกแล่กลุกลี้ลุกลน “ไปฝึกปรือมาใหม่เถิดลูกพ่อ...” ไอยศูรย์เอ่ยขัดกับท่าทางการโกหกของบุตรชายไม่เนียนเอาเสียเลย ครั้นอยากจะตบตาผู้ใดก็ให้มันเนียบแนนแบบจับไม่ได้ไล่ไม่ทันเสียหน่อย นี่กระไร! ไร้น้ำยานัก “ไม่เนียนเลยหรอพ่อ” ตรีศูลยิ้มเจื่อน “......” พญาขาลส่ายหน้าเอือมระอาแทนคำตอบ “ก็สาวแก่ในหมู่บ้านนั้นแล เอาขนม ผลไม้ ของกิน ของใช้มาติดสินบนข้าคนละเล็กคนละน้อย ให้ข้าพูดถึงชื่อพวกนางแต่ละคนต่อหน้าลุงขาล แต่ละคนถึงจะอายุมากแต่ก็ยังมีเรี่ยวมีแรงนะลุง” “ให้ข้าอยู่กับสาวแก่ที่อีกไม่กี่ปีก็เข้าโลงแล้วน่ะหรอ เอ็งเอาหัวแม่ตีนคิดหรอ อายุปูนนั้นบอกพวกนางเข้าวัดทำบุญเถิด ขืนสมสู่กับข้ากระดูกลั่นดังกรอบแกรบข้าคงคิดว่าเป็นเหยื่อแล้วเผลอขย้ำจมกองเลือดเอาน่ะสิ” พญาขาลตัดบท “วาจาคมคายนัก” ไอยศูรย์พยักหน้าเห็นด้วย “ถือว่าข้าพูดต่อหน้าลุงเเล้วหนา ไม่ถือว่าผิดสัจจะ” ตรีศูลเอ่ยสีหน้าระรื่น พญาขาลพยักหน้ารับรู้ ใบหน้าคมคร้ามที่กำลังเพลิดเพลินกับเมนูเสือร้องไห้ของตนตรงหน้า ตวัดหางตาขวับมองผู้มาเยือนที่อยู่ไกลโพ้น ทว่าจมูกที่มีประสาทสัมผัสว่องไวได้กลิ่นกายของสาววัยแรกแย้มนางหนึ่ง สายเลือดที่วนเวียนในกายนางช่างคุ้นเคยเป็นอย่างดี ริมฝีปากหนาพลันกระตุกยิ้มเย็นยะเยือกน่าสะพรึงกลัว “......” ไอยศูรย์เห็นบรรยากาศรอบตัวพญาขาลเย็นยะเยือกหม่นลงผิดปกติจึงกวาดสายตามองโดยรอบว่ามีกระไรเปลี่ยนแปลง ไม่นานจึงถึงบางอ้อ เมื่อเห็นร่างสะโอดสะองในชุดชาวบ้านที่ราบสูง ชุดของนางแนบไปกับทรวดทรงองค์เอวอันเย้ายวนของนาง คลุมผ้าโพกศรีษระบดบังดวงหน้า สะพายย่ามหนึ่งใบเดินทางมาจากที่ไกลเพียงคนเดียว และจุดหมายปลายทางของนางเกรงว่าจะเป็นเรือนหลังนี้ “ครั้นอยากจะหาเมียให้ลุงก็หาให้มันดูสาวดูสวยเหมือนแม่นางคนนั้นหน่อยเเล โน้นดูโน้น!” บุหงาเพยิดใบหน้าสวยให้บุตรชายมองตาม “ไหนอะแม่...” ตรีศูลมองตามจึงเห็นแม่นางที่ว่ากำลังเดินเท้ามาเรือนนี้ กิริยาท่าทางของนางไม่มีความเคอะเขินยามถูกจับตามองเหมือนน้าเวียงหวัน มีแต่จะเหยียดหลังตรงเดินมาอย่างสง่างามราวกับเทพธิดาเดินดิน รัศมีรอบเรือนร่างเปล่งประกาย เสมือนมีวงแหวนรายล้อมคอยส่องแสงความสว่าง หญิงสาวนิรนามเดินมาหยุดบริเวณหน้าเรือนไม้ทรงไทย ไม่กล้าข้ามเขตเข้ามาภายในบ้านเพราะเกรงว่าจะเป็นการเสียมารยาท ทว่ามองเข้ามาก็เห็นผู้คนรายล้อมนั่งกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน บรรยากาศสุดแสนจะอบอุ่น “สวัสดีจ๊ะ พญาขาลอยู่มั้ยจ๊ะ ฉันมาหาพญาขาลจ๊ะ” เสียงหวานใสปานน้ำผึ้งเดือนห้าเอ่ยถาม “หึ...”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD