ในบ้านเช่าหลังเล็กแห่งหนึ่ง ในซอยเงียบสงบของชานเมืองหนานจิง เฟิงหลี่เฉียงที่มีอายุ 17 ย่าง 18 ปีแล้ว นอนหลับสนิทอยู่ที่ห้องนอนด้านใน ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ตื่น เขาไม่ได้ขี้เกียจ แต่เพราะเมื่อวานเป็นวันสุดท้ายการสอบเค่อจวี่คัดเลือกขั้นสุดท้าย ซึ่งเป็นการสอบที่เมืองหลวงหรือที่เรียกว่าการสอบฮุ่ยซื่อ ซึ่งแบ่งการสอบออกเป็น 3 ช่วงติดต่อกัน
ช่วงแรกเป็นการสอบด้วยการตอบคำถาม 3 ข้อ เพื่อทดสอบการตีความหมายคัมภีร์หลักคำสอนของขงจื๊อ ที่ศิษย์ของขงจื๊อเรียบเรียงขึ้น เป็นประมวลคำกล่าวของขงจื๊อและแสดงหลักคำสอน ที่เรียกว่า ซู หรือ ตำราทั้ง 4 [1] และยังมีการสอบวิทยศิลป์ 4 แขนง หรือวิทยศิลป์ 4 ของบัณฑิต นั่นคือ การเล่นพิณหรือกู่เจิ้ง หมากล้อม ลายมืออักษรศิลป์ (พู่กันจีน) และ จิตรกรรมวาดเขียน ซึ่งในสมัยราชวงศ์หมิงบางยุค มีการสอบการยิงธนูและขี่ม้าเพิ่มเติมมาด้วย ซึ่งรุ่นของเฟิงหลี่เฉียงก็ต้องสอบด้วยเช่นกัน
หลังจากนั้นในอีก 3 วันต่อมา จะเป็นการสอบช่วงที่สอง ซึ่งจะเป็นการเขียนเรียงความเชิงวิพากษ์ตามประเด็นที่ตั้งเอาไว้ จากนั้นเป็นการเขียนเรียงความเกี่ยวกับการพิจารณาคดีในประเด็นทางกฎหมาย 5 ด้าน คือ กฎหมายแพ่ง กฎหมายครอบครัว กฎหมายอาญา และนโยบายทางกฎหมาย จากนั้นเป็นการสอบการเขียนพระบรมราชโองการและพระราชกฤษฎีกาซึ่งเกี่ยวข้องกับกฎหมาย การเขียนประกาศและคำสั่งจากทางการ และการเขียนรายงานเกี่ยวกับการบริหารงานตามปกติหรือผิดปกติ หรือแม้แต่ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการเมืองที่เจ้ากรม หรือเจ้าหน้าที่อื่นทูลเสนอไปยังฮ่องเต้
หลังจากนั้นอีก 3 วันต่อมา จึงเป็นการสอบรอบสุดท้าย ซึ่งเป็นการเขียนเรียงความ 5 ประเภท ที่ต้องอ้างอิงและวิเคราะห์จากตำราคลาสสิค ประวัติศาสตร์ และกิจการร่วมสมัย เพื่อทดสอบความเข้าใจ ความลุ่มลึกและความแม่นยำของผู้ทดสอบ
การสอบในเดือนกุมภาพันธ์ที่กินเวลาสองอาทิตย์นี้ ทำให้บัณฑิตเจี้ยหยวนคนนี้ ต้องกลับมานอนสลบอยู่บ้านไปหลายวัน ช่วงเวลานี้อันเฟยจู น้องสาวของเขา และลู่ปู่เดินทางมาอยู่ที่นี่ด้วย เพื่อดูแลส่งข้าวปลาอาหารการกินให้ และคอยรอรับอยู่ข้างนอกสนามสอบ เผื่อบัณฑิตบางคนเป็นลมหรือป่วยจนสอบต่อไม่ได้
ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะพวกเขาต้องกินนอนขับถ่ายอยู่ในสนามสอบที่มีชื่อเรียกว่า “ก้งเยวี่ยน” ทุกคนจะนั่งเรียงกันในช่องแคบๆ ที่เปิดโล่ง เพื่อให้ผู้คุมสอบคอยดูว่ามีการโกง หรือผู้เข้าสอบยังปกติดีหรือไม่ พวกเขาไม่มีสิทธิ์ออกมาจนกว่าจะส่งข้อสอบ โดยแต่ละช่องจะมีความกว้างไม่เกิน 3 เมตร ภายในห้องหรือคอกนี้ มีไม้กระดานวางพาดเป็นโต๊ะด้านบน และม้านั่งยาวด้านล่าง ในช่วงอากาศหนาวจะมีเตาผิงจุดให้ความอบอุ่น
ด้วยความโหดร้ายของการสอบนี้ ทุกครั้งที่สอบเสร็จ จึงต้องมีคนมารับและพาพวกเขากลับไปยังที่พัก และแต่ละคนก็มีสภาพไม่ต่างจากที่เฟิงหลี่เฉียงเป็นอยู่ในตอนนี้ ถึงแม้เด็กหนุ่มจะมีวรยุทธ์และมีร่างกายที่แข็งแรงกว่าบัณฑิตทั่วไป แต่เขาก็ทุ่มเทให้กับการสอบไม่ต่างจากคนอื่น เมื่อสอบเสร็จ เขาจึงกลับมากินข้าว อาบน้ำ จากนั้นจึงนอนหลับไปเกือบหนึ่งวันเต็ม
หลังจากสอบเสร็จ ก็เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนเฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ พวกเขารอฟังประกาศผล ซึ่งคนที่สอบระดับเมืองหลวงหรือระดับประเทศนี้ผ่าน จะเรียกว่า “กงเซิง” หรือ “บัณฑิตบรรณาการ” พวกเขาสามารถเข้ารับราชการและถวายการรับใช้ฮ่องเต้ได้แล้ว โดยจำนวนคนที่รับจะขึ้นอยู่กับนโยบายของฮ่องเต้แต่ละพระองค์ สำหรับจำนวนของบัณฑิตที่ทางการรับในแต่ละปีนั้น จะแตกต่างกันไป ฮ่องเต้บางองค์ให้รับจำนวน 300 คน บางองค์ 100 คน แต่ไม่ว่าอย่างไร คนที่ได้คะแนนสูงสุดของการสอบระดับประเทศนี้ จะถูกเรียกว่า “ฮุ่ยหยวน” หรือ “ผู้เข้าสอบการประชุมระดับบน” และในจำนวนกงเซิงทั้งหมดนี้ จะมีสิทธิ์ได้เข้าสอบระดับราชสำนัก ซึ่งเป็นการสอบวัดระดับครั้งสุดท้าย
ในช่วงบ่าย เฟิงหลี่เฉียงจึงค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความหิวและอยากเข้าห้องน้ำ เด็กหนุ่มได้ยินเสียงกุกกักและกลิ่นอาหารลอยมาจากในครัว ท้องของเขาร้องจ๊อกด้วยความหิว เขาจึงรีบลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาและตรงไปที่ครัว ที่นั่น แม่และน้องสาวกำลังช่วยกันทำอาหารและคุยกันอย่างมีความสุข
เฟิงหลี่เฉียงยืนมองพวกเขาด้วยสายตาอ่อนโยน เขานึกถึงความยากลำบากที่ต้องเจอในวัยเด็ก และโอกาสที่ตอนนี้พวกเขาได้รับจากผู้มีพระคุณ โดยเฉพาะต้วนเจี่ยซิน ที่อุปถัมภ์พวกเขาทั้งครอบครัว และพวกเขายังประพฤติตัวดี ให้สมกับที่หมอต้วนสนับสนุนด้วย
เฟิงหลี่เฉียงขยันขันแข็งในการเรียนรู้ ในขณะที่แม่ของเขาก็ช่วยทำงานสมุนไพรและอื่นๆ เช่นเดียวกับน้องสาวของเขาที่ว่านอนสอนง่าย และเป็นเสียงหัวเราะให้คนในหมู่บ้านหลานเถียน
อันเฟยจูหันมาเห็นลูกชายยืนอยู่ที่ประตูครัว เธอจึงถามเขาด้วยสีหน้ายินดีว่า “เสี่ยวเฉียงตื่นแล้วหรือ มา มากินข้าวเร็ว แม่เพิ่งผัดผักเสร็จ กำลังร้อนๆ เลยจ้ะ”
เช่นเดียวกับเฟิงหลี่อิง ที่หันมายิ้มทักทายเขาด้วยแววตาดีใจ “พี่ใหญ่ ข้าช่วยท่านแม่ทำขนมแป้งทอดมันเทศด้วย ท่านมาลองชิมฝีมือของข้าดู”
เฟิงหลี่เฉียงยิ้ม เขาช่วยยกจานอาหารจากในครัวมาวางบนโต๊ะกินข้าว และเดินไปตามลู่ปู่ให้มากินข้าวด้วยกัน เด็กหนุ่มไม่เคยแบ่งแยกชนชั้นกับลู่ปู่ ที่ตอนนี้มีอายุ 30 กว่าปีแล้ว เขากับพี่ลู่ไปไหนมาไหนด้วยกันหลายครั้ง เว้นแต่ในช่วงหลังที่เขาย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวง จึงห่างจากชายหนุ่มไป ตอนนี้ลู่ปู่แต่งงานมีครอบครัวและมีลูกชายวัย 5-6 ขวบ พวกเขาอาศัยอยู่ที่บ้านของหมอต้วนเช่นกัน
ในระหว่างที่นั่งกินข้าว พวกเขาพูดคุยกันเรื่องการสอบ เด็กหนุ่มอธิบายให้ฟังว่าการสอบนั้นยากลำบากอย่างไรบ้าง เฟิงหลี่อิงเสียดายที่เกิดเป็นผู้หญิงจึงไม่สามารถเข้าสอบแบบพี่ชายได้
แต่เฟิงหลี่เฉียงกลับพูดว่า “ก็น่าเสียดายจริงๆ ที่ผู้หญิงไม่มีสิทธิ์สอบ แต่เจ้ากับท่านแม่ถือว่าดีกว่าผู้หญิงคนอื่นแล้วนะ ที่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ แล้วเจ้าเอง ยังมีโอกาสได้เรียนการแพทย์กับท่านอาจารย์อีก เจ้ามีอาชีพเลี้ยงตัวเองได้ เจ้าจะมาอิจฉาพี่ทำไมกัน”
เด็กหญิงคิดตามแล้วก็หัวเราะออกมา เธอรู้ดีว่า ที่ต้าหมิง ผู้หญิงมีสถานะไม่เท่ากับพี่ชาย แต่เธอโชคดีที่พี่ชายสนับสนุนให้ได้เรียนหนังสือ เธอจึงมีโอกาสมากกว่าคนอื่น อย่างน้อยเธอก็ยังทำมาหากินเองได้ ไม่ต้องรอให้สามีมาเลี้ยงเหมือนผู้หญิงคนอื่น เธอยังจดจำความลำบากของแม่ได้ ถึงแม้จะยังไม่ชัดเจนนัก เพราะตอนนั้นเธอยังอายุแค่ 3 ขวบ แต่คนที่จำแม่นที่สุด ก็คือเฟิงหลี่เฉียง ที่สาบานเอาไว้ว่า เขาจะไม่ยอมให้แม่ลำบากอีกต่อไป
ในระหว่างที่พวกเขากินข้าวกันอยู่นั้น ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมเสียงเรียกของชายชราซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน “ลู่ปู่! เจ้าอยู่บ้านหรือเปล่า มีคนได้รับบาดเจ็บอยู่หน้าบ้านของข้า เจ้าช่วยมาดูให้หน่อยเถอะ!”
ลู่ปู่รีบวางช้อน และเดินออกไปที่หน้าบ้านเช่าหลังเล็กของพวกเขา เช่นเดียวกับเฟิงหลี่เฉียงที่คว้าย่ามผ้าใส่อุปกรณ์การแพทย์ และรีบตามออกไปด้วยเช่นกัน ชายชรา คือ ลุงฮ่าวหมิง รีบพาพวกเขาเดินไปที่บ้านของตนซึ่งอยู่ถัดไปสองหลัง และอยู่ติดกับถนนใหญ่ เขาพบชายคนหนึ่งในชุดสีดำนอนตะแคงอยู่บนพื้น มีชาวบ้าน 2-3 คนยืนดูและพยายามจะช่วยเหลือ
ลู่ปู่รีบบอกทุกคนว่า “อย่างเพิ่งขยับตัวคนเจ็บ หมอมาดูให้แล้ว!” พวกเขาจึงหลีกทางให้ทันที
เฟิงหลี่เฉียงรีบเดินเข้าไป เขาคุกเข่าลงและเริ่มต้นตรวจชีพจร ในระหว่างนั้นเขาบอกลู่ปู่ว่า “พี่ช่วยหาบาดแผลในร่างกายให้ข้าหน่อย”
ลู่ปู่รีบทำตาม เขาอยู่กับหมอต้วนมานานและพอจะรู้หลักการแพทย์เบื้องต้นอยู่บ้าง เขาพบบาดแผลที่หลังมีเลือดไหลซึมออกมา จึงรีบบอกเด็กหนุ่มที่กำลังจับชีพจร “มีรอยเหมือนถูกยิงด้วยธนูอยู่ด้านหลัง”
เด็กหนุ่มพยักหน้า และบอกว่า “ข้าจะพาเขาไปรักษาที่บ้าน” จากนั้นเขาก็ประคองร่างชายชุดดำที่สลบขึ้นมา และให้ขี่หลังของลู่ปู่เพื่อพากลับไปที่บ้าน
เมื่อเข้าไปในบ้าน เขาบอกให้หญิงทั้งสองช่วยเตรียมน้ำร้อน น้ำสะอาดและผ้าสะอาดเอาไว้ เมื่อตัดเสื้อด้านหลังออก เฟิงหลี่เฉียงเห็นรอยแผลเหวอะหวะ เหมือนหัวธนูที่ปักลงไปแต่ถูกดึงออก ถ้าเป็นคนเจ็บทำเอง เขาจะต้องใจเด็ดมาก เพราะแผลที่หลังฉีกและเลือดซึมออกมาตลอดเวลา
เฟิงหลี่เฉียงทำความสะอาดบาดแผล เขาฝังเข็มไว้รอบบริเวณแผลเพื่อลดอาการบาดเจ็บและชะลอการไหลของเลือด จากนั้นก็ใช้ผ้ากดแผลห้ามเลือดเอาไว้ เขาสั่งให้ลู่ปู่รีบไปซื้อยาสมุนไพรตามใบสั่ง ที่นี่ไม่ใช่บ้านของหมอต้วน จึงไม่มียาสมุนไพรเก็บไว้ มีเพียงยาที่ใช้รักษาโรคทั่วไปจำนวนหนึ่งเท่านั้น
พวกเขาใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการรักษา จนสามารถห้ามเลือดได้ และในตอนหัวค่ำ ชายชุดดำที่นอนคว่ำหน้าบนเตียง ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เขาสะดุ้งเมื่อพบว่าตนเองอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง เฟิงหลี่เฉียงเปิดประตูห้องเข้ามา เมื่อได้ยินเสียงคนเจ็บขยับตัว เด็กหนุ่มรีบบอกเขาว่า “อย่าเพิ่งขยับตัวมาก เดี๋ยวเลือดจะไหลออกมาอีก”
ชายชุดดำค่อยๆ ยกตัวขึ้นและมองมาที่เขาด้วยสายตาระแวดระวัง แต่เด็กหนุ่มกลับบอกเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย โดยไม่สนใจท่าทางของอีกฝ่ายว่า “ท่านลุงฮ่าวหมิงเป็นคนพบท่านนอนหมดสติอยู่ที่ถนนหน้าบ้าน พวกเราจึงช่วยกันพาท่านมารักษาที่นี่ ตอนนี้อาการของท่านคงที่แล้ว ท่านต้องการจะให้พวกข้าช่วยไปแจ้งใครหรือไม่ ขอให้บอกมาได้เลย”
[1] ในบางยุค มีการสอบความรู้เกี่ยวกับ 4 ตำรา 5 คัมภีร์ โดย 4 ตำรา คือ ต้าเสว๋ จงยง หลุนอวี่ และเมิ่งจื่อ ส่วนอีก 5 คัมภีร์ คือ ซือ ซู หลี่ อี้ ชุนชิว ซึ่งเป็นของลัทธิขงจื๊อ แต่ในยุคของฮ่องเต้หย่งเล่อ มีการสอบเพียง 4 ตำราเท่านั้น