บทนำ
บทนำ
บ้านอรุณวิลาส
22.09 น.
“ถึงแล้ว แค่นี้ก่อนแล้วกัน ยังไงพรุ่งนี้จะโทรไปเล่าให้ฟัง”
[เดี๋ยวยัยนริน]
“อะไร”
[ใจเย็นๆ นะแก]
“รู้น่า ฉันเคยทำให้แกผิดหวังหรือไง” นรินดาทิ้งท้ายเสียงเรียบก่อนวางสาย โยนโทรศัพท์ในมือทิ้งไว้บนเบาะหนังด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจพลางช้อนสายตากลับขึ้นมองกระจกมองหลังเพื่อสำรวจสถานที่จัดงานเลี้ยงแล้วเปิดประตูรถ
“สะ สวัสดีครับคุณหนู” พ่อบ้านที่หันมาเห็นเธอรีบเดินเข้ามาต้อนรับ แต่สีหน้ากลับดูไม่ยินดีที่เห็นเธอมาปรากฏตัวที่นี่ในค่ำคืนนี้สักเท่าไร
นรินดาเหยียดยิ้มเมื่อได้ยินสรรพนามที่ถูกเรียก แม้จะไม่ได้รู้สึกชื่นชอบนักแต่อย่างน้อยมันก็คือสถานะที่ยืนยันว่าเธอมีสิทธิ์ที่จะก้าวเท้ากลับเข้ามาที่นี่ได้อย่างถูกต้อง และจะมาเมื่อไรก็ได้
“คุณหนูครับคุณหนู”
“คืนนี้แขกในงานเยอะไหม”
แสร้งถามพลางก้าวเท้าตรงไปยังสนามด้านหลังที่ถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดให้กับคุณผู้หญิงของบ้าน
หากนรินดาจำไม่ผิด อายุของหล่อนน่าจะสี่สิบแปด หรือสี่สิบเก้า ช่างเถอะ เธอไม่ได้ใส่ใจสักหน่อย
“สองร้อยคนครับ”
“รวมนักข่าวไหม”
“ไม่รวมครับ แต่นักข่าวไม่มากเพราะคุณผู้ชายต้องการความเป็นส่วนตัว”
ขนาดเชิญเฉพาะคนสนิทยังหลักร้อย นี่ถ้าแต่งงานใหม่อีกรอบ คงต้องเชิญแขกถึงหลักพัน มีหวังได้กลายเป็นขี้ปากชาวบ้าน เอ๊ย ได้กลายงานแต่งงานยิ่งใหญ่ระดับประเทศแหง
“คุณหนูครับ คือว่า...” น้ำเสียงลำบากใจ แต่ก็เหมือนตั้งใจจะห้ามปรามทำให้สองเท้าของนรินดาหยุดชะงัก หันขวับกลับไปมองพ่อบ้านที่เดินตามติดเธอมาทุกฝีก้าวนิ่งๆ
“มีอะไร อยากได้การ์ดเชิญเหรอ หรือว่าอยากตรวจกระเป๋าดูว่าฉันพกอาวุธเข้ามาหรือเปล่า”
“ปะ เปล่าครับคุณหนู คือผม...”
“มีอะไรก็ไปทำ หรือจะเรียกตำรวจไว้รอเลยก็ได้”
“โธ่ คุณหนูครับ”
นรินดายิ้มมุมปากทั้งที่พ่อบ้านร้องโอดครวญ เพราะนั่นหมายถึงโอกาสที่เธอจะชนะ มีสูงลิบทีเดียว
การปรากฏตัวของหญิงสาววัยยี่สิบหกในชุดราตรีดำเพราะต้องการใส่มาอวยพรให้เจ้าของวันเกิดหมดทุกข์หมดโศกหมดโรคภัย และได้ไปที่ชอบๆ ดึงสายตาจากแขกในงานให้หันมาให้ความสนใจเธอได้ในทันที
รอยผ่าสูงเกือบจะถึงสะโพกเผยให้เห็นเรียวขายาวในยามที่เธอก้าวเท้าผ่านเข้าไปในสนามหญ้า ทรวดทรงองเอวของเธอจัดว่าอยู่ในระดับนางแบบแถวหน้าของเมืองไทย แต่เพราะนิสัยโลกส่วนตัวสูง และไม่ชอบทำตามคำสั่งของใคร ทำให้อาชีพนางแบบหรือแม้แต่งานในวงการบันเทิงถูกเธอปัดตกไปเป็นอันดับแรก
“ยัยนริน” คุณผู้ชายของบ้านที่เพิ่งจะหันมาเห็นว่าลูกสาวมาปรากฏตัวในงานถึงกับเบิกตาโพลง สีหน้าหวาดหวั่น มือที่ถือแก้ว แชมเปญอยู่ถึงกับสั่น ไร้เรี่ยวแรงราวกับจะประคองแก้วเอาไว้ไม่ไหว
“เซอร์ไพรส์ค่ะคุณพ่อ” นรินดายิ้มกว้างให้กับผู้ชายตรงหน้าที่เธอเรียกเขาว่าพ่อมายี่สิบหกปี แต่ไม่เคยได้สัมผัสถึงสัญชาตญาณของความเป็นพ่อจากเขาเลยสักครั้ง
“มาได้ยังไง”
“ขับรถมาค่ะ”
แสร้งตีรวนแล้วพุ่งเป้าไปที่ผู้หญิงข้างกายของเขา มองอย่างดูถูกเพราะไม่ลงรอยกันมาแต่ไหนแต่ไร ซึ่งต่อให้ศศิกานต์จะไม่พอใจกับการมาของเธอแต่ก็ต้องฝืนยิ้มต้อนรับ
“สวัสดีค่ะ...คุณศศิ”
“สวัสดีค่ะคุณหนูนรินดา ทานอะไรมาบ้างหรือยังคะ เดี๋ยวน้าให้...”
“ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ นรินตั้งใจแวะมาอวยพรวันเกิดให้คุณเฉยๆ อวยพรจบแล้วก็จะไป”
รอยยิ้มของนรินดาสร้างความหวาดหวั่นใจให้กับศศิกานต์ได้เสมอ
“สวัสดีค่ะพี่นริน”
“ฉันเป็นลูกคนเดียว” นรินดาหันกลับไปมองหญิงสาวอีกคนที่รีบเดินตรงเข้ามาทักทายเธอ ทำเอารอยยิ้มบนใบหน้าสวยหวานของอีกฝ่ายหายวับไปในทันที
‘ธิชา’ เป็นลูกสาวของศศิกานต์กับวิทวัส จึงนับได้ว่าน้องสาวต่างแม่ของนรินดา อายุน้อยกว่าเธอสองปี แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี นรินดาก็ไม่เคยยอมรับความจริงข้อนี้ และไม่มีวันจะยอมรับโดยเด็ดขาด
“ถ้าจะมาเพื่อก่อเรื่องก็กลับไป ถือว่าพ่อขอก็แล้วกัน”
วิทวัสปรามเสียงเข้ม กวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วยิ่งวิตกกังวล เพราะการกลับมาของนรินดาในแต่ละครั้งไม่เคยมีสักครั้งที่เธอจะกลับไปโดยสงบเรียบร้อย
“นรินบอกไปแล้วนี่คะว่านรินตั้งใจจะมาอวยพรวันเกิดให้คุณศศิ” นรินดาย้ำอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับไปหยิบแก้วแชมเปญบนโต๊ะด้านหลังกลับมาสาดใส่ใบหน้าของศศิกานต์ไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่เจ้าตัวที่คอยจับจ้องการเคลื่อนไหวของเธออยู่ตลอดเวลาก็ตั้งตัวไม่ทัน
การกระทำของนรินดาสร้างความแตกตื่นให้กับแขกในงานทันที บ้างรีบหันไปซุบซิบนินทา บ้างหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูป บันทึกวิดีโอหรือแม้แต่ไลฟ์สดกันซึ่งหน้า แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่นรินดาต้องการ
ธิชารีบเดินเข้าไปเอาตัวเองบังศศิกานต์ไว้ สายตาที่มองนรินดาอย่างชื่นชมเมื่อครู่กลับกลายเป็นสายตาของความรู้สึกผิดหวัง
“พี่นรินทำเกินไปแล้วนะคะ”
“มากกว่านี้ฉันก็ทำได้ แล้วเดี๋ยวจะทำให้ดู” นรินดาท้าทายก่อนจะหันไปคว้าแก้วแชมเปญขึ้นมาอีกแก้ว ทว่าครั้งนี้ยังไม่ทันจะได้สาดใส่หน้าศศิกานต์หรือแม้แต่ธิชาที่ยืนบังอยู่ ข้อมือของเธอก็ถูกใครบางคนคว้าเอาไว้เสียก่อน
แรงบีบที่ข้อมือทำให้นรินดาหันกลับไปมองด้วยความไม่พอใจ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีใครที่นี่กล้าห้ามหรือขัดใจเธอ
“ปล่อย”
นอกจากชายหนุ่มตรงหน้าจะกล้าห้ามเธอแล้ว เขายังกล้าที่จะออกคำสั่งกับเธอด้วย
นรินดาจ้องมองใบหน้าหล่อเหลานั้นด้วยความโกรธ แม้จะปวดข้อมือเหมือนจะหัก แต่การยอมอ่อนข้อให้กับคนอื่นก็ไม่ใช่นิสัยของเธอ หางตาเหลือบขึ้นมองแก้วแชมเปญในมือที่ยังถูกจับค้างเอาไว้กลางอากาศ รอจังหวะที่สายตาของอีกฝ่ายมองตามขึ้นไป เธอก็หมุนข้อมือลงเล็กน้อยเพื่อคว่ำแก้วลง แชมเปญด้านในหกใส่เขาจนหมดตามไปอีกแก้ว
เมื่อข้อมือของเธอเป็นอิสระอย่างต้องการเธอจึงเหยียดยิ้มอย่างผู้ชนะพร้อมกับผลักอกเขาออกไปสุดแรง ก่อนจะหันกลับไปเอาเรื่องศศิกานต์ต่ออีกรอบ
เพียะ!
ครั้งนี้ไม่ทันได้สบตาเป้าหมายด้วยซ้ำ ใบหน้าของเธอก็ถูกตบเข้าฉาดใหญ่ เสียงดังก้องอยู่ในกกหู
ใบหน้าของเธอชาวาบไปครึ่งซีก แม้จะเตรียมตัวมาบ้างแล้วแต่ก็ยังอดที่จะรู้สึกตกใจไม่ได้ เธอปิดเปลือกลงด้วยความเจ็บแค้น ไล่หยดน้ำตาที่มันรื้นขึ้นมาให้รีบหยดลงที่พื้น สะกดกลั้นความผิดหวังให้จมหายไปในอก แล้วนับหนึ่งถึงสามในใจ
“กรี๊ดดด”
เสี้ยววินาทีเธอก็เปลี่ยนความคับแค้นใจเป็นเสียงกรีดร้องที่ดังลั่นไปทั่วงาน แขกเหรื่อพากันแตกตื่น ทั้งแม่บ้านและพนักงานรักษาความปลอดภัยต้องรีบเชิญทุกคนออกนอกพื้นที่จัดงานในทันที
“คุณพ่อคะ คุณพ่อใจเย็นๆ นะคะ” ธิชารีบเดินเข้าไปประคองวิทวัสที่กำลังโกรธ ทว่าไม่ทันที่มือเล็กจะเอื้อมถึงข้อมือของพ่อ ก็ถูกนรินดากระชากกลับมาแล้วผลักจนล้มหงายไปด้านหลัง
นรินดามองเด็กสาวตรงหน้าอย่างชิงชัง ตั้งใจจะเดินเข้าไปผลักซ้ำอีกรอบ แต่ไม่สำเร็จเพราะถูกกระชากออกมาเสียก่อน
“ปล่อย”
“หยุดทำร้ายคนอื่นแล้วไปกับผม”
“ฉันบอกให้ปล่อยไงล่ะ ปล่อย โอ๊ย!”
เพราะถูกพาตัวออกมาแบบไม่ยินยอม และไม่ทันตั้งหลัก เธอจึงล้มหัวเข่ากระแทกกับพื้นสนามหญ้า สายตาเหลือบมองไปที่ส้นรองเท้าที่หักอย่างง่ายดายราวกับของมือสองราคาถูก ทั้งที่ราคาแสนจะแพง
นรินดากัดฟันกรอด รวบรวมแรงทั้งหมดที่มีสะบัดมือแรงๆ จนมือหนาของเขาหลุดออกไป ความอดทนอดกลั้นของเธอมีไม่มากนักและมันหมดลงตั้งแต่ถูกตบแล้ว
“คุณนริน”
ปัก!
“คนสารเลว” เธอก่นด่าหลังจากถอดรองเท้าทั้งสองข้างปาใส่หน้าคนที่ทำให้เธอล้มเมื่อครู่ อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายหันหน้าหนีรีบลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งกลับไปที่รถ
แต่หากคิดว่าเธอจะหนีหรือหยุดแค่นี้ล่ะก็...หมายความว่ายังรู้จักนรินดาน้อยไป
“คุณนริน หยุด”
เปิดประตูท้ายรถหยิบของที่เตรียมไว้สำหรับงานนี้ออกมา
“คุณนริน! ผมบอกให้หยุด!”
ตุ้บ!
เพล้ง!
เดินกลับมาถึงรถอีกคันที่จอดอยู่ใกล้ๆ เธอก็เงื้อไม้เบสบอลขึ้นกลางอากาศก่อนจะฟาดลงไปที่กระโปรงหน้ารถสุดแรง ตามด้วยกระจกรถรอบคันแตกกระจายในพริบตา
เสียงกระจกรถแตกดังไม่หยุด แม้เจ้าตัวจะโดนเศษกระจกกระเด็นใส่แต่บาดแผลเพียงเล็กน้อยไม่สามารถหยุดความโกรธที่เธอมีได้อีกแล้ว
“คุณนริน ผมบอกให้หยุด”
“ถ้าคุณเข้ามาใกล้ฉันอีกก้าวเดียว ฉันจะฟาดหัวคุณให้แบะแน่”
“นี่คุณ...”
“เตือนแล้วนะ!” เธอยกไม้เบสบอลในมือชี้ตรงไปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายที่ยังพยายามจะห้ามปรามเธอพร้อมกับตวาดเสียงดังลั่น
เพล้ง!
เมื่อเห็นว่าเขายอมหยุด เธอจึงหันกลับไปฟาดรถต่อ ทุบรถจนพอใจเธอจึงทิ้งไม้เบสบอลลงพื้น ยืนจ้องมองผลงานการทำลายของตัวเองทั้งน้ำตา
“พี่นริน” ธิชาที่เพิ่งจะวิ่งตามออกมาเห็นสภาพรถในโรงรถถึงกับเบิกตาโพลง “นี่พี่....”
“เจอกันครั้งหน้า รับรองว่าฉันไม่พังแค่รถแน่” นรินดาทิ้งท้ายแล้วเดินย้อนกลับมาที่รถของตัวเองอีกครั้ง สตาร์ตรถแล้วเร่งเครื่องยนต์
เสียงดังกระหึ่ม
บรื้นนน~
“ธิชาระวัง!”
เอี๊ยดดด!
ปลายเท้าเปลือยสลับไปแตะที่เบรกด้วยความเร็ว ตั้งใจเปิดไฟส่องใส่ใบหน้าของชายหญิงที่ยืนปกป้องกันอยู่บริเวณหน้ารถของเธอ นับเป็นภาพบาดตาที่เห็นแล้วต้องกำพวงมาลัยรถแน่น
“นี่คุณจะบ้าไปแล้วหรือไง”
บรื้นๆ
“นรินดา”
บรื้นนน~
เอี๊ยดดด!
ถอยออกมาตั้งหลัก ก่อนจะเหยียบคันเร่งจนมิดอีกครั้ง ตัวรถพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็ว เสี้ยววินาทีเธอก็แตะเบรกจนยางรถครูดบดไป
กับพื้นคอนกรีตแสตมป์ของลานจอดรถ เกิดเสียงดังจนแสบแก้วหู
ตัวรถหยุดกึกห่างจากชายหญิงหน้ารถเพียงไม่กี่เซ็นฯ ฝ่ายชายหันกลับมามองเธอด้วยสายตาไม่พอใจมากขึ้นทุกทีๆ ส่วนฝ่ายหญิง
เหมือนจะตกอยู่ในความหวาดกลัว เอาแต่ซุกตัวอยู่ด้านหลังของเขา
นรินดาเหยียดยิ้มร้ายก่อนเข้าเกียร์ถอยหลัง ขับรถถอยออกมาพร้อมกับที่ลดระดับกระจกด้านข้างลง
บรื้นนน~
เร่งเครื่องรอจังหวะ ใบหน้าซีดขาวของธิชาคือสัญญาณบอกให้เธอสลับปลายเท้าไปเหยียบคันเร่งเพื่อขับพุ่งตรงไปด้านหน้าอีกครั้ง
“กรี๊ดดด”
ได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วเธอจึงหักพวงมาลัยรถเลี้ยวออกไปทางประตูรั้ว หมดธุระของเธอในค่ำคืนนี้แล้ว...