ประกายดาวกวาดตามองไปรอบๆ แล้วคิดในใจว่าชั้นนี้เงียบสงบมาก คล้ายกับว่าไม่มีใครอื่นอีก
ประตูถูกเปิดออกมาพร้อมกับแม่บ้านที่ส่งยิ้มให้กับคนทั้งสองแล้วบอก
“คุณอารัญรออยู่ข้างในค่ะ”
“เชิญค่ะคุณประกายดาว” พนักงานสาวคนเดิมกล่าวเชิญ เจ้าของร่างบอบบางจึงก้าวเข้าไปพร้อมประตูที่ปิดลง เมื่อหญิงสาวหันไปมองข้างหลังแล้วต้องนิ่งอึ้ง เพราะทั้งแม่บ้านและพนักงานสาวสวยคนนั้นไม่ได้ตามเข้ามาสักคน กลายเป็นว่าเวลานี้หล่อนต้องเผชิญหน้ากับเขาเพียงลำพังใช่หรือไม่
ประกายดาวสูดลมหายใจเรียกความมั่นใจกลับคืนมา ก่อนก้าวเข้าไปด้านใน แต่แล้วจังหวะการก้าวเดินค่อยๆ ช้าลง เมื่อเห็นแผ่นหลังกว้างของใครคนหนึ่งนั่งหันหลังอยู่ในห้องรับรองแขกแสนโอ่อ่าหรูหรา แม้จะไม่ได้เจอกันมานานแต่หญิงสาวก็ยังมั่นใจว่าคนตรงหน้าหล่อนคือใคร
“สวัสดีค่ะ”
คนที่นั่งรอเงยหน้าขึ้นจากไอแพด แล้วดวงตาสองคู่จึงสบประสานกัน เจ้าของร่างระหงอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีครีมนุ่งทับด้วยกางเกงสแล็กสีขาวน่ามอง ในมือมีกระเป๋าถือ ดวงหน้าเรียวรูปไข่อ่อนใสโดดเด่นออกมาจากกรอบผมสีน้ำตาลเข้มที่ปล่อยสยายคลอเคลียกับทรวงอกอวบอิ่มภายใต้อาภรณ์เนื้อดี
“สวัสดีประกายดาว” อารัญกล่าวทักทายพร้อมผายมือเชื้อเชิญหญิงสาว
ประกายดาวสบตาคมเข้มที่มองมาอย่างละเอียด ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนุ่มด้านข้างพร้อมกับวางกระเป๋าเอาไว้บนโต๊ะ ทุกอากัปกิริยาตกอยู่ในสายตาคมกริบ ประกายดาวในวันนี้แตกต่างกับประกายดาวในอดีต ประกายตาของหล่อนเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง สวยขึ้น มีเสน่ห์ขึ้นจนต้องมองซ้ำนิ่งและนาน
“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวมองคนตัวโตตรงหน้า เขายังคงรูปหล่อและดูสมาร์ตเหมือนเดิม ไม่แปลกที่จะมีสาวสวยมากหน้าหลายตาเข้ามาพัวพันไม่เคยขาด เมื่อคิดถึงผู้หญิงของเขา หญิงสาวจึงกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง รู้สึกเงียบสงบ หรูหรา แต่ในเวลาเดียวกันก็เรียบง่ายแบบผู้ชายแท้ แต่ก็ไม่เห็นใครอีกนอกจากเขาเท่านั้น
ชายหนุ่มสังเกตผู้หญิงที่ยังเป็นเมียของเขาก่อนยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยออกมา
“ขอโทษที่ต้องให้มาเจอที่นี่ แต่เพราะที่นี่เงียบสงบดี เราน่าจะคุยกันได้อย่างสบายใจโดยไม่มีใครคอยสอดส่อง หวังว่าหนูดาวคงจะไม่ว่าอะไร”
หญิงสาวรู้สึกใจไหวทุกครั้งที่เขาเรียกหล่อนว่าหนูดาวเหมือนกับคนสนิทเรียกกัน ก่อนจะบอกตนเองว่าอย่าไปสนใจคนตรงหน้าอีก เขาไม่ต้องการหล่อนแต่แรก มาตอนนี้หล่อนเองก็ต้องหนักแน่นว่าไม่ต้องการเขาอีกต่อไปเช่นเดียวกัน
“ไม่เป็นไรค่ะ เราจะคุยเรื่องหย่ากันได้หรือยังคะ พี่อาร์มมีอะไรจะพูดกับดาวนอกจากเรื่องหย่าอีกหรือเปล่าถึงได้เรียกมาคุยที่นี่”
“ใจร้อนตามเคยนะ” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มจางๆ บนเรียวปาก “เท่าที่จำได้เมื่อก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้นี่”
ประกายดาวนิ่วหน้าเล็กน้อยก่อนคลายออกเป็นปกติ
“เวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยนค่ะ”
คำตอบของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มยิ้มกว้างกว่าครั้งที่แล้ว ก่อนจะหยิบเอกสารที่เตรียมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานยื่นให้กับหญิงสาว
ประกายดาวรับเอกสารจากมือเรียวยาวมาถือเอาไว้ เช่นเดียวกับเจ้าของดวงตาคมกริบที่หลุบมองลงบนนิ้วนางข้างซ้ายที่ปราศจากแหวนแต่งงาน ต่างจากเขาที่ยังคงสวมมันอยู่เสมอ แม้ว่าจะมีผู้หญิงอื่นผ่านเข้ามามากมาย ราวกับว่ามันเป็นแค่เครื่องประดับชิ้นหนึ่ง ไม่ได้มีค่ามีความหมายใดๆ แต่เวลานี้เขารู้สึกแปลกๆ ที่หญิงสาวไม่ได้สวมมันบนนิ้ว
เมื่อคิดถึงจุดนี้ กลายเป็นอารัญที่รู้สึกว่าประกายดาวพร้อมแล้วที่จะเปิดใจรับใครคนใหม่เข้ามาแทนที่เขาทุกเมื่อ
หญิงสาวนั่งอ่านเอกสาร ไม่ใช่ข้อตกลงอะไรทั้งนั้น แต่เป็นสัญญารับมอบห้องชุดบนคอนโดฯ หรูริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้หนึ่งห้องพร้อมสินสอดทองหมั้นที่เขายกให้หล่อนโดยไม่เรียกร้องเอาคืนแม้แต่รายการเดียว นอกจากนั้นยังมีเงินสดอีกสิบล้านบาทเป็นค่าปลอบใจที่หล่อนต้องมาเสียเวลากับเขาถึงห้าปีเต็ม
“ทำไมคะ” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นเอ่ยถามเมื่ออ่านทุกอย่างเรียบร้อย
ชายหนุ่มยกขาขึ้นไขว่ห้างพร้อมกับประสานมือทั้งสองข้างแล้ววางลงบนหัวเข่า ดวงตาสีสนิมจ้องมองสาวสวยตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความครุ่นคิด แต่หญิงสาวกลับอ่านเขาไม่ออกเลยสักนิดว่าชายหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่
“เป็นคำขอโทษและขอบคุณ”
คำตอบของเขาทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างงงงัน แต่อารัญไม่ปล่อยให้หญิงสาวต้องแปลกใจนานนัก
“ขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียเวลาถึงห้าปีเต็ม ขอบคุณที่คอยดูแลแม่ของพี่อย่างดีมาโดยตลอด ท่านรักเธอมาก อยากได้เธอมาเป็นลูกแท้ๆ ด้วยซ้ำไป แต่เธอทำถูกแล้ว ท่านต้องได้รู้ว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างที่ต้องการ”
พูดจบเขาก็นิ่งไปอึดใจ ขณะที่สีหน้างุนงงของประกายดาวนั้นค่อยๆ กลับมาเป็นปกติเมื่อเข้าใจทุกอย่าง ไม่มีความอาลัยอาวรณ์อะไรทั้งนั้น น่าเสียใจอยู่หรอก ความรู้สึกที่เกิดขึ้นชั่วแล่นทำให้หญิงสาวหลุบตาลงซ่อนรอยหวั่นไหวและปวดร้าว
“เซ็นรับเถอะ แล้วเธอจะได้ทุกอย่างที่พี่ยกให้”
หญิงสาวมองปากกาสีเงินเหลือบทองที่ถูกส่งมาให้ ก่อนจะสบตาเขาแล้วถาม
“แล้วเรื่องหย่าล่ะคะ”
“เก้าโมงเช้าวันจันทร์เจอกันที่เขต” เขาตอบทันทีโดยไม่โยกโย้อีกต่อไป เมื่อเห็นว่าหล่อนมุ่งมั่นที่จะหย่ากับเขาอย่างไม่ลดละ แต่จู่ๆ หญิงสาวก็วางปากกา ไม่ได้เซ็นรับของของเขาเอาไว้สักอย่าง และดันเอกสารคืนให้จนชายหนุ่มต้องขมวดคิ้วและถามออกมาบ้าง
“ทำไม”
ประกายดาวสบตาคมแล้วยิ้มตอบ
“ดาวไม่ได้ต้องการเงินทองหรือสิ่งของจากพี่อาร์มนี่คะ สิ่งเดียวที่ต้องการคือใบหย่า ถ้าเป็นไปได้ดาวอยากทำให้การแต่งงานครั้งนี้เป็นโมฆะด้วย”
อารัญนั่งฟังด้วยอาการนิ่งเงียบ เขาได้แต่มองเจ้าของดวงหน้าหวานตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะมองหญิงสาวหยิบอะไรสักอย่างออกมาจากกระเป๋าถือ สิ่งนั้นคือ
แหวนแต่งงาน...
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตาคู่งามอีกครั้ง คราวนี้เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย
“เครื่องประดับชิ้นอื่นๆ ที่พี่อาร์มมอบให้ดาวในวันแต่ง ดาวเก็บเอาไว้ในตู้เซฟในห้องนอน ส่วนเครื่องเพชรที่คุณแม่มอบให้ ดาวคืนท่านไปหมดแล้วทุกชิ้น แหวนวงนี้พอดาวออกมาจากบ้านก็นึกขึ้นได้ว่าลืมถอดคืน แล้วก็ไม่ได้สวมอีก แต่ถึงจะสวมติดนิ้วมาตลอดห้าปีมันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรอยู่แล้ว วันนี้ดาวเลยถือโอกาสคืนมันให้พี่อาร์มค่ะ”
ประโยคที่ว่า ‘แต่ถึงจะสวมติดนิ้วมาตลอดห้าปีมันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรอยู่แล้ว’ กระทบใจคนฟังได้ตรงจุดกลายเป็นเครื่องมือกะเทาะความรู้สึกบางอย่างในใจของอารัญให้เผยตัวออกมาทีละนิด
ประกายดาวมองคนที่นั่งนิ่ง มองแหวนที่หล่อนวางเอาไว้บนโต๊ะอยู่ไม่กี่อึดใจ ก่อนจะผุดลุกจากเก้าอี้แล้วบอก
“ดาวกลับก่อนนะคะ แล้วเจอกันวันจันทร์ เวลาเก้าโมงตรงที่เขต”
ชายหนุ่มมองคนตัวบางที่ยิ้มให้เขาอีกครั้งก่อนหันหลังให้ด้วยความรู้สึกสับสน
หล่อนกำลังจากไปอย่างคนไร้พันธะไร้ซึ่งเยื่อใย แต่ใครอีกคนกลับรู้สึกตรงกันข้าม เขาเริ่มไม่รู้ว่าคิดถูกหรือคิดผิด โดยเฉพาะแววตาแวบหนึ่งที่เขาเห็นก่อนหล่อนหลุบตาลง หยาดน้ำจางๆ ที่รื้นขึ้นมาทำให้หัวใจของคนที่ไม่เคยสนใจไยดีต่อภรรยาตัวน้อยเลยสักครั้งกลับหวั่นไหวลงในวินาทีสุดท้าย รีบลุกขึ้นและเดินตามไปทันที
“หนูดาว”
มือเรียวที่แตะลงบนมือจับประตูชะงัก เปลือกตากะพริบด้วยความร้อนระอุก่อนหันกลับไปตามเสียงทุ้มจากข้างหลัง ร่างสูงใหญ่เข้ามาใกล้เกินไปจนต้องยกมือทั้งสองข้างขึ้นผลักอกกว้างเอาไว้ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หล่อนใกล้ชิดกับอารัญขนาดนี้
ดวงหน้าตื่นๆ และริมฝีปากที่เผยอค้างด้วยความตกใจเรียกสายตาสีเข้มให้หลุบมองลงบนเรียวปากสีหวาน เขาไม่เคยคิดที่จะทำแบบนี้ จึงไม่รู้ว่าริมฝีปากสีเรื่อคู่สวยจะให้รสชาติเช่นใด แต่ในวินาทีที่เขาตัดสินใจหย่าขาด ความรู้สึกส่วนลึกที่ไม่เคยปรากฏก็เผยตัวออกมา อย่างแรกที่ได้รู้ก็คือตลอดเวลาที่ผ่านมา สาเหตุที่เขาไม่ต้องการใกล้ชิดประกายดาวไม่ใช่เพราะหล่อนเด็กเกินไป จืดชืด หรือไม่มีอะไรดึงดูดใจอย่างที่เขาพยายามหาเหตุผลมารองรับ แต่ความจริงคือเขากลัวว่าหญิงสาวจะเป็นคนที่เข้ามาทำให้ทุกอย่างในชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเคยกลัวและรับไม่ได้หากจะต้องเปลี่ยนไปเพื่อใครสักคน ใช่แล้ว เขาเป็นคนเห็นแก่ตัว
แต่จู่ๆ เคมีบางอย่างดึงดูดเขาให้หันกลับมาสนใจหล่อน แต่ดันมาอยากรู้อยากลองตอนที่เผลอตกปากรับคำนัดวันหย่าไปแล้ว
“พี่อาร์มจะทำอะไร” ประกายดาวมองเขาตาแข็ง ทว่าอีกฝ่ายไม่ตอบทันทีแต่กำลังมองหล่อนด้วยแววตาที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกกลัวขึ้นมา
“เคยคิดบ้างไหมว่าเราน่าจะทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้”
คำถามของเขาทำให้คนฟังนึกอยากหัวเราะ
“ทำไมถึงอยากจะมารู้จักกันตอนนี้ล่ะคะ” หญิงสาวมองเข้าไปในดวงตาสีเข้ม แต่เมื่อเขาไม่มีคำตอบให้จึงบอกต่อไปว่า “มันสายไปแล้วค่ะ ที่เป็นอยู่แบบนี้ก็ดีแล้ว”
ไม่หรอก ไม่ดี
นั่นคือเสียงที่ดังเข้ามาในความคิดของอารัญ
บางสิ่งเกิดขึ้นกับเขาพร้อมบางอย่างที่หล่อนพยายามทิ้งไว้ให้ขบคิด กลายเป็นความต้องการที่แตกต่างและสวนทางโดยสิ้นเชิง
ทุกคนจะว่าอย่างไร ถ้าในตอนนี้เขาไม่อยากหย่าเสียแล้ว...