บทที่ 4 อย่าตีกันนนน!

4872 Words
ผ้าห่มผืนหนาคลุมร่างกายของคนทั้งสองที่กำลังนอนกอดกันกลมหลังจากผ่านการซุกไซ้กันอย่างหนักหน่วงมาเมื่อคืนนี้ ความอุ่นจากผ้านวมและอ้อมกอดทำให้คนทั้งคู่หลับสบายแม้อากาศจากแอร์จะเย็นยะเยือกสักเพียงไหนก็ตาม “อื้อ...” ศิลาครางในลำคอเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของอาโปที่กำลังเคลื่อนตัวเพื่อเปลี่ยนท่านอน “ขอโทษครับ พี่ทำหนูตื่นรึเปล่า” อาโปเอ่ยถามเมื่อได้ยินเสียง ศิลาส่ายหัวเบาๆ แทนคำตอบ จุ๊บ~ “มอร์นิ่งคิสครับ” อาโปยื่นหน้าเข้ามาบรรจงกดริมฝีปากของตัวเองลงบนแก้มของศิลาด้วยความทะนุถนอม “ตื่นไวจังครับวันนี้ สตูฯ ปิดไม่ใช่เหรอครับ” ศิลาเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงงัวเงีย “ใช่ครับ” อาโปอมยิ้มบางๆ พลางยกมือขึ้นลูบปอยผมที่ตกมาปรกหน้าผากของอีกฝ่าย “แต่วันนี้พี่อยากทำอาหารให้หนูกินนี่นา” “น่ารักจัง” “นอนต่อเถอะ เดี๋ยวพี่ทำเสร็จแล้วจะขึ้นมาเรียกนะครับ” อาโปเอ่ยบอกก่อนจะขโมยหอมแก้มไปอีกครั้งแล้วลุกออกจากเตียง ตรงออกไปยังห้องครัวทันที ศิลาพยายามจะหลับตาลงเพื่อนอนต่อ แต่พอแสงสว่างได้กระทบกับกระจกตาเข้าแล้วก็ไม่อาจทำให้เขาข่มตาหลับลงได้อีก เขาพลิกตัวไปมาอยู่หลายรอบ มุดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มก็แล้ว นอนคว่ำก็แล้ว นอนหงายก็แล้ว แต่ก็ไม่สามารถนอนหลับต่อไปได้ มือขวาที่ว่างอยู่เอื้อมไปคว้ามือถือที่วางอยู่บนหัวเตียงบริเวณใต้โคมไฟ แสงจากหน้าจอส่องสว่างขึ้นทันทีที่ศิลาปลดล็อกจอ การแจ้งเตือนแสดงผลอยู่เต็มไปหมด เขากดเปิดดูทุกแอพพลิเคชั่นที่ปรากฏตัวเลขสีแดง แล้วไล่ตอบจนหมด ก่อนจะลุกเดินเข้าห้องน้ำไป ร่างบางของศิลาเดินมายังห้องนั่งเล่นพร้อมกลิ่นกายหอมฉุยจากครีมอาบน้ำและโลชั่นทาผิวกาย ความสดชื่นปรากฏเด่นชัดหลังจากที่เขาได้อาบน้ำ นิ้วเรียวกดเปิดทีวีเพื่อหาอะไรดูรอเวลาที่อาโปจะทำอาหารเสร็จ เสียงเครื่องครัวดังแว่วออกมาให้ได้ยินอยู่เนืองๆ เป็นสัญญาณว่าอาหารกำลังถูกคนพี่สร้างสรรค์อยู่ “มาแล้วววว” อาโปในชุดเสื้อยืดสีเทาและกางเกงขายาวใส่ผ้ากันเปื้อนถือชามอาหารเดินมาวางไว้ตรงหน้าศิลา “ข้าวต้มหมูเห็ดหอมหรอครับ” ศิลาถามทันทีที่เห็นหน้าตาของเมนูในชาม “ช่ายยย” “น่ากินมากเลยพี่โป” “หมายถึงพี่หรือข้าวต้มครับ” อาโปยิ้มถามอย่างเจ้าเล่ห์ “ข้าวต้มสิครับ” ศิลายิ้มล้อเลียน “โถ่ เสียใจนะเนี่ย” อาโปแสร้งทำหน้างอนพองแก้มตุ่ย “แบร่!” ศิลาแลบลิ้นใส่ก่อนจะคว้าเอาช้อนมาจ้วงตักข้าวต้มขึ้นมากิน “ระวังร้อนนะหนู” อาโปเอ่ยเตือน เพราะข้าวต้มชามนี้เพิ่งจะตักขึ้นมาจากหม้อร้อนๆ เมื่อครู่ “ครับ” กริ๊งงงง~ เสียงริงโทนจากมือถือของอาโปดังขึ้น เขาหยิบออกมาดูหน้าจอแสดงรายชื่อว่าเป็นสายเข้าจากเตชินท์ เขาจึงขอตัวลุกออกจากตรงบริเวณห้องนั่งเล่นแล้วเดินไปหามุมเงียบๆ เพื่อกดรับสายแล้วคุยกับอีกฝ่าย “ว่าไงน้อง” อาโปเอ่ยทัก (ฮัลโหลพี่ ว่างคุยป้ะ) “ได้ๆ” (เออ ผมไปคุยกับทีมมาละนะ สรุปว่าน่าจะเอาน้องเอ็มนี่แหละเป็นพระเอก) “จริงปะเนี่ย! ขอบใจมากน้อง” สีหน้าของอาโปแสดงความดีใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ว่าลำพังเขาจะไม่ค่อยถูกชะตากับน้องเอ็มสักเท่าไหร่ (เห้ย ไม่เป็นไรพี่ ผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เด็กมันมีของ) “นั่นแหละๆ อย่างน้อยก็ช่วยให้โอกาสเด็กมัน” (แต่ก็ยังต้องฝึกเพิ่มอีกหน่อยแหละพี่) “อ่า เข้าใจได้” (นั่นแหละ ผมบอกไอ้ศิลาไปละ มันบอกเดี๋ยวซัพพอร์ตเอง) “หืม? ขนาดนั้นเลยหรอ” อาโปเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ (ช่ายพี่ มันบอกเดี๋ยวสตูฯ ดูแลเอง จะเป็นสปอนเซอร์ให้น้องเอ็มงี้) “อ่อ...” อาโปตอบแล้วเงียบไป (มีอะไรปะพี่) เตชินท์ถามกลับเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งไป “เปล่าๆ ไม่มีอะไร” อาโปรีบบอกปฏิเสธเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองเพิ่งจะรู้ข้อมูลนี้เป็นครั้งแรก (เคพี่ ไว้คุยกัน ผมไปทำงานต่อก่อน) “เคๆ” อาโปกดวางสายหลังจากพูดจบ ความหงุดหงิดเริ่มปะทุขึ้นมาเล็กน้อยอยู่ภายในใจ ด้วยสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยินจากคำบอกเล่าของเตชินท์ ทำให้เขาค่อนข้างไม่พอใจที่ศิลาแอบตัดสินใจอะไรที่ไม่ปรึกษากันก่อน ที่ผ่านมาเขาไม่เคยต่อว่าอะไรในเรื่องงานเลย เพราะน้องก็ทำได้ดีมาโดยตลอด แต่เรื่องนี้เขาคิดว่ามันออกจะด่วนตัดสินใจไปสักหน่อย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือสตูฯ ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเพียงเพื่อเด็กแค่คนเดียว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าในอนาคตจะสามารถต่อยอดแล้วทำรายได้กลับคืนมาได้คุ้มค่ามากน้อยแค่ไหน มันควรจะต้องได้คุยกันก่อนจะตัดสินใจออกปากไปแบบนั้นกับคนอื่น เพราะนี่มันคือโลกของการทำธุรกิจ จะบอกว่าอาโปใจแคบเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรนักหรอก... และถ้าจะบอกว่าเขาอคติกับเอ็มมากเกินไป เขาก็ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เพราะความจริงก็เป็นอย่างนั้น แต่เขาก็ไม่ได้หน้ามืดตามัวจนไปขัดขวางอนาคตของเด็กหรอกนะ เพียงแต่การทำธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับหลายๆ ฝ่ายมันควรจะมีการปรึกษาหารือกันอย่างรอบคอบเสียก่อน อาโปเดินหน้าตึงกลับเข้ามาหาศิลาในห้องนั่งเล่นที่ตอนนี้กินข้าวเสร็จจนอิ่มแปล้แล้วนอนตีพุงดูทีวีอยู่ “ใครโทรมาเหรอครับ” ศิลาเอ่ยถามโดยที่สายตายังคงจดจ้องอยู่กับหนังที่กำลังฉายอยู่ในทีวี “...” ไม่มีเสียงตอบจากอีกฝ่าย “พี่โป” ศิลาเอ่ยเรียกแล้วหันขวับมามองก็เห็นสีหน้าบึ้งตึงของคนพี่จนทำเอาเขาเองอดที่จะแปลกใจไม่ได้ “พี่โปเป็นอะไรครับ” “เรามีอะไรจะบอกพี่มั้ย” อาโปเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็น สายตาที่ตวัดมามองทำเอาศิลาขนหัวลุกซู่ “หืม? อะไรครับ” “เรื่องสตูฯ ที่จะสปอนให้เอ็ม” อาโปพูดออกมาตรงๆ เพราะไม่อยากอ้อมค้อม “อ่อ” “ทำไมไม่ปรึกษาพี่ก่อน...” “ก็ผมเห็นว่าเราไม่ได้เสียหายอะไรนี่ครับ” ศิลาน้ำเสียงอ่อนลงทันที อาโปเห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจยาวออกมา เพราะเขารู้ว่าคนน้องตัดสินใจทำแบบนั้นไปก็เพราะมีเจตนาที่ดี เพียงแต่ว่ามันอาจจะลัดขั้นตอนไปเสียหน่อย แล้วอีกอย่างไอ้สายตาออดอ้อนที่ซ่อนแววเศร้าสร้อยไว้แบบนั้น ก็ทำเอาอาโปใจอ่อนไม่กล้าดุคนตรงหน้าต่อไปได้อีก “พี่เข้าใจ แต่วันหลังมีอะไรก็บอกพี่ก่อนนะครับ” “ครับ...” “เพราะถ้าเกิดมันมีปัญหาอะไรขึ้นมา สตูฯ เราจะเสียประโยชน์ได้นะ เราทำธุรกิจไม่ใช่องค์กรการกุศล พี่รู้ว่าหนูใจดีเลยยิ่งต้องระวังให้มาก เพราะไม่รู้ว่าจะโดนหลอกใช้ความใจดีตรงนี้มาเอาเปรียบเราทีหลังมั้ย พี่เป็นห่วงเฉยๆ” “แต่พี่เตก็สนิทกันมาตั้งนานแล้วนี่ครับ มีแต่คนกันเองทั้งนั้น” ศิลาเอ่ยเสริม “แต่มันก็มีคนอื่นด้วยไงครับ” “พี่โปหมายถึง...น้องเอ็มหรอครับ” อาโปไม่ได้ตอบเพียงแต่พยักหน้าหงึกๆ เท่านั้น “ผมรู้ว่าพี่ไม่ชอบน้องมันที่มาวอแวกับผม แต่น้องมันเป็นเด็กดีนะพี่ เชื่อใจได้” ศิลาเอ่ยพูดด้วยท่าทีกระตือรือร้นขึ้น ทำเอาอาโปอดเอ็นดูไม่ได้ “พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ แค่เตือนไว้เฉยๆ” “งั้นน... เราทำสัญญากับเอ็มไว้ดีมั้ยครับ พี่โปจะได้สบายใจ อีกอย่างน้องเอ็มมันจะได้ไม่กล้านอกลู่นอกทางด้วย” ศิลาเสนอทางออกที่จะทำให้คนพี่รู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง “ก็ดีนะ” “เดี๋ยวผมจัดการให้เองครับ พี่โปสบายใจได้” “ขอบคุณครับ” มือหนาของอาโปยกขึ้นบีบแก้มยุ้ยๆ ของศิลาก่อนจะพูดต่อ “แฟนใครเนี่ยเก่งจัง” “ก็แฟนพี่นั่นแหละ” จุ๊บ~ ศิลาใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีลอบหอมแก้มอาโปเพราะอดไม่ได้ ก่อนที่ทั้งคู่จะยิ้มกลั้วเสียงหัวเราะออกมาบางๆ จนแมวเหมียวอย่างเจ้าน้องที่นอนจุ้มปุ๊กอยู่หน้าทีวีต้องหันมามอง “เอ้อ พี่โป เดี๋ยวออกไปซื้อของเข้าบ้านกันนะครับ” “โอเค รอพี่อาบน้ำแป๊บนะ” “ครับผมม” --------- The Story of Water and Stone 2 --------- เสียงรถเข็นที่ถูกลากไปตามทางเดินดังแกรกๆ อยู่เป็นระยะ ศิลาคว้าเอาของกินนู่นนี่ที่ตัวเองและอาโปชอบลงในรถเข็น ไม่ว่าจะของสด ของแห้ง ขนมขบเคี้ยว หรือแม้กระทั่งของใช้อื่นๆ หลังจากคบกันมาตั้ง 5 ปี ตอนนี้ไม่ว่าจะซื้อของอะไรพวกเขาต่างก็รู้ใจอีกฝ่ายไปซะหมด ภาพอาโปเข็นรถและศิลาเป็นคนคอยหยิบของ เกิดขึ้นแบบนี้เสมอในทุกครั้งที่ทั้งสองคนออกมาซูเปอร์มาร์เก็ต “พี่ศิลา!” เสียงคุ้นหูดังขึ้นเรียกจนทำให้เจ้าของชื่อต้องหันไปมอง “เอ้า! ไอ้เอ็ม!” ศิลาเอ่ยทักเมื่อหันไปเห็นใบหน้าคุ้นเคยของน้องที่รู้จัก “โลกกลมไปปะเนี่ย...” อาโปบ่นขึ้นมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญอยู่หน่อยๆ ทำเอาศิลาที่ยืนอยู่ด้านข้างต้องแอบตีไหล่ไปเบาๆ “ไม่เอาหน่าพี่โป” “หวัดดีครับพี่อาโป” เอ็มยกมือขึ้นไหว้ทักทายคนที่โตกว่าด้วยอาการเกร็งๆ อาโปรับไหว้ด้วยใบหน้าที่ยากจะคาดเดาว่ากำลังรู้สึกอะไรอยู่ “แล้วแกมาทำไรแถวนี้อะ” ศิลาถามอย่างสงสัย เพราะเท่าที่รู้บ้านไอ้น้องเอ็มก็อยู่ห่างออกไปแทบจะเรียกได้ว่าเป็นคนละฝั่งจากบ้านเขา “มาทำธุระแถวนี้อะพี่ พี่อยู่แถวนี้หรอ” “ช่าย” ศิลาตอบไปแทบจะทันควัน “อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมดังมาจากอาโปทำเอาทั้งศิลาและเอ็มต้องหันมอง “แล้วมาซื้อของเข้าบ้านกันหรอครับ” เอ็มถามต่ออย่างระแวง “ช่าย ปกติก็มาวีคละครั้งแหละ” ศิลาตอบพลางเดินต่อโดยมีเอ็มเดินตาม แต่สายตาของคนตัวบางก็ยังไม่วายหันไปมองคนพี่ที่เข็นรถเดินตามหลังด้วยสีหน้าบึ้งตึง เขาเองก็รู้อยู่แล้วว่าอาโปไม่ถูกชะตากับเอ็มสักเท่าไหร่ แต่ก็อย่างว่าเขาเป็นคนที่ต้องเผชิญหน้ากับทั้งสองฝ่าย การที่จะให้เขาต้องมาตั้งกำแพงเพื่อหลีกหนีจากเอ็มก็ดูจะไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องเท่าใดนัก ทางเดียวที่จะทำได้ดีในเวลานี้ก็คงต้องหาวิธีแก้ไขให้ได้ล่ะมั้ง “แล้วนี่ไม่ต้องไปทำธุระเหรอ มาเดินตามพี่ต้อยๆ แบบนี้” ศิลาถามขึ้นเมื่อรู้สึกว่าคนข้างกายเริ่มไม่ยินดีกับการมีอยู่ของเด็กน้อยคนนี้ “นั่นสิ” เสียงเย็นของอาโปดังขึ้น “อ่อ... กำลังรอเพื่อนโทรมาอยู่ครับ” “อ๋อ งั้นพี่ขอตัวก่อนดีกว่า พอดีซื้อเสร็จละ เดี๋ยวต้องไปธุระต่ออีก” ร่างบางบอกปัดพร้อมรอยยิ้มก่อนจะยกมือขึ้นตบไหล่เอ็มเบาๆ “เจอกันนะน้อง” “โอเคครับ” เอ็มยิ้มตอบ แต่สายตาแอบระแวงเหลือบมองอาโปด้วยความหวาดหวั่น แล้วจึงยกมือบ๊ายบายเมื่อคนทั้งคู่เดินผ่านไป ศิลาพาอาโปเดินเอาของในรถเข็นไปคิดเงินด้วยสายตาสงสัยของอีกฝ่าย เพราะอาโปไล่มองตามลิสต์ที่จดมาแล้วยังได้ของไม่ครบนี่นา แล้วทำไมถึงมาคิดเงินซะแล้ว “เรายังซื้อไม่ครบเลยนะ” อาโปยื่นลิสต์สินค้าในมือถือให้คนน้องดู “เราไปซื้อที่อื่นก็ได้ครับ” “ทำไมอะ ก็ซื้อให้มันเสร็จๆ ไปเลย จะได้กลับบ้านไงครับ” “โห พี่ ก็บอกไอ้น้องเอ็มไปว่าจะไปทำธุระต่อ พี่ก็ได้ยินหนิ เราจะมาเดินซื้อต่อที่นี่ได้ไงล่ะ” ศิลาเอ่ยพูดแต่มือก็ยังหยิบของส่งให้แคชเชียร์อย่างต่อเนื่อง “ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่...” คนพี่เอ่ยเสียงอ่อน “ไม่เป็นไรได้ไงล่ะ หน้าพี่ตอนเจอไอ้เอ็มงี้บูดเป็นตูดเลย ผมก็ไม่อยากให้เสียบรรยากาศไง เลยคิดว่าเราไปซื้อที่อื่นก็ได้เนอะ” ศิลาพูดพลางยิ้มแป้น เพราะเขาเองก็แคร์ความรู้สึกอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย ถึงเขาจะไม่ได้คิดอะไรกับน้องเอ็มก็จริง แต่การที่เขาต้องเห็นคนรักของเขาไม่สบายใจก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถปล่อยไปได้ ศิลาจึงตัดสินใจเลือกทางนี้เพราะจะได้รักษาน้ำใจของอาโปเอาไว้ด้วย ถึงแม้มันอาจจะดูเกินไปสำหรับสายตาคนอื่นๆ ก็เถอะ --------- The Story of Water and Stone 2 --------- ข้าวของที่ทั้งคู่ซื้อมาในวันนี้ถูกวางกองไว้เต็มเคาน์เตอร์ในครัว ก่อนที่ศิลาจะค่อยๆ หยิบออกมาจัดเรียงให้เข้าที่เข้าทาง ของแห้งจับเรียงใส่ตู้ ส่วนของที่ต้องแช่เย็นคนตัวเล็กก็จับวางเรียงใส่ตู้เย็นอย่างเป็นระเบียบ กริ๊งงง~! เสียงมือถือของอาโปดังขึ้น แต่เจ้าของโทรศัพท์ดันกำลังเข้าห้องน้ำอยู่ ศิลาที่กำลังจัดข้าวของที่เพิ่งซื้อมาให้เข้าที่เลยวางมือจากตรงนั้นแล้ววิ่งมาดู ก็ได้เห็นหน้าจอมือถือของคนพี่ขึ้นโชว์รายชื่อผู้ที่โทรเข้ามาว่าเป็นสายจากเตชินท์ รุ่นพี่คนสนิท “ฮัลโหลพี่เต” ศิลากดรับสาย (เอ้า พี่อาโปล่ะ) “เข้าห้องน้ำอยู่อะพี่ มีธุระอะไรมั้ยครับ” (อ่อ ไม่มีไรๆ จะโทรมาบอกว่า เดี๋ยวแวะไปหาที่บ้านนะ พอดีไปต่างจังหวัดมาเลยซื้อขนมมาฝาก) “อ่อ ได้พี่ มาถึงละบอกนะ เดี๋ยวลงไปรับค้าบ” (เคน้อง) ศิลากดวางสายในขณะเดียวกันกับที่อาโปเดินออกจากห้องน้ำมาพอดี “ใครโทรมาหรอ” “พี่เตอะ เขาบอกว่าเดี๋ยวแวะเข้ามาหา ซื้อของมาฝากจากต่างจังหวัด” “อ๋อ” พอวางสายได้ไม่ทันจะถึงหนึ่งชั่วโมงสายเรียกเข้าจากเตชินท์ก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมเสียงที่แจ้งบอกปลายสายว่ามาถึงแล้ว กำลังนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้ รุ่นน้องอย่างศิลาก็รีบวิ่งแจ้นกดลิฟท์ลงไปรับทันที “ซื้ออะไรมาเยอะแยะเลยไอ้เต” อาโปเอ่ยทักทันทีที่เตชินท์และศิลาเดินเข้ามาภายใน “พอดีแวะไปเหนือมา ก็เลยซื้อไส้อั่ว แคปหมู แล้วก็น้ำพริกหนุ่มมาฝากอะ” เตชินท์วางถุงของฝากลงบนโต๊ะหน้าโซฟาก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง “เอาน้ำไรมั้ยพี่ มีน้ำส้มกับน้ำมะพร้าว” ศิลาเอ่ยถามขึ้น “น้ำเปล่าละกัน” “เคครับ” ศิลาตอบรับก่อนจะเดินหายเข้าครัวไป “อะ มีอะไรก็ว่ามา” อาโปหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ เตชินท์ ก่อนที่จะเอ่ยถามคำถามที่เขารู้อยู่แล้วถึงจุดประสงค์ของเตชินท์ที่อุตส่าห์หอบสังขารมาถึงบ้านเขา ทั้งๆ ที่เพิ่งจะเดินทางกลับมาจากเหนือแท้ๆ “ก็เรื่องสปอนเซอร์อะแหละ” “ศิลาว่าไง พี่ก็ว่าตามนั้นแหละ เต็มที่” อาโปเอ่ยยิ้มๆ “นั่นแหละ ผมก็เลยว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เอาศิลามาเล่นซีรีส์ด้วยเลยมั้ยพี่” เตชินท์กระซิบเสนอ เพราะกลัวศิลาได้ยินแล้วจะปฏิเสธไปซะก่อน “อืมม... ก็น่าสนใจแหละ แต่เอาที่เหมาะสมดีกว่า” “ผมไงก็ได้พี่ หาบทลงให้น้องมันได้อยู่ละ คนกันเองทั้งนั้น ให้เขียนบทใหม่เพิ่มให้ยังได้เล้ยย” เตชินท์พูดพลางหัวเราะ “งั้นตามใจแกเลย แต่ลองถามความสมัครใจเจ้าตัวดูก่อนละกันนะ” อาโปพูดพลางหันไปมองหน้าศิลาที่กำลังเดินเอาน้ำมาเสิร์ฟให้เตชินท์ “อะไรเหรอครับ” ศิลาถามด้วยสีหน้าสงสัยขณะวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะตรงหน้าแขกรุ่นพี่ “ไปเล่นซีรีส์กับกูมั้ย” เตชินท์เอ่ยถามศิลาออกไปตรงๆ “ได้หรอพี่” “ได้ดิวะ คนกันเอง เดี๋ยวหาบทลงให้ จะได้คุ้มเงินไง” “เงินไรวะพี่” ศิลาถามต่อ “เอ้า! ไอ้ห่านี่ วันก่อนบอกเองว่าจะให้สตูฯ เป็นสปอนเซอร์ซีรีส์อยู่เลย” “อ๋อ เออ ผมลืมๆ ฮ่าๆ” “นั่นแหละ จะได้คุ้มเงินลงทุนของสตูฯ ไง” “ไม่ดีกว่าพี่เต ผมเบื่อๆ แล้วอะ” ศิลาส่ายหัวยิกๆ เพราะพอห่างจากงานเบื้องหน้ามาสักพัก ก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยถูกจริตกับงานในวงการบันเทิงสักเท่าไหร่แล้ว “อ่าว ทำไมวะ” เตชินท์สงสัย “ไม่รู้ดิพี่ ก็แค่รู้สึกงั้นอะ อยากอยู่เบื้องหลังมากกว่าอะ จะได้ช่วยงานพี่โปด้วย” ศิลาเอ่ยพูดพลางเอื้อมมือไปกุมมือหนาของอาโปที่นั่งอยู่ข้างๆ “ไม่ต้องห่วงพี่หรอกครับ เอาตามใจเราดีกว่านะ” อาโปเอ่ยตอบด้วยเสียงนุ่ม “ผมตัดสินใจแล้วครับพี่โป” “อะๆๆ เอางี้ อย่าเพิ่งรีบให้คำตอบ มึงลองเก็บเอาไปคิดดูก่อนก็ได้ กูไม่รีบหรอก ไว้สนใจเมื่อไหร่ก็ค่อยบอก กูพร้อมเสียบบทให้มึงเสมอ” เตชินท์พูดแล้วยกมือขึ้นตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ “เคพี่ แต่ทำใจไว้เลยนะว่าผมอาจปฏิเสธ ฮ่าๆ” ศิลาพูดไปยิ้มไป ใจอยากปฏิเสธทันทีตรงนี้ แต่ก็ยังอยากรักษาน้ำใจของรุ่นพี่เลยเลือกที่จะพูดแบบทีเล่นทีจริงซะมากกว่า “เออๆ แล้วแต่มึงเลย” เตชินท์เอ่ยตอบรุ่นน้องตรงหน้าก่อนจะหันไปหาอาโป “งั้นผมกลับก่อนนะพี่” “เออ กลับดีๆ น้อง มีอะไรไว้คุยกันอีกที” ศิลาอาสาลงไปส่งเตชินท์ที่ด้านล่าง อีกฝ่ายก็พูดตื๊อตลอดเวลาว่าให้ไปเล่นซีรีส์ที่เขากำกับ เพราะเตชินท์คิดว่าศิลาจะเป็นอีกคนหนึ่งที่ช่วยดึงดูดคนดูให้เพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากกระแสคู่อาโปและศิลาที่มีมาอย่างเนิ่นนานหลายปี ถึงแม้จะไม่ค่อยได้ออกสื่อ แต่พื้นที่ในโซเชียลออนไลน์ก็ยังไม่เคยหยุดพูดถึงทั้งสองคนนี้เลยแม้แต่น้อย วันรุ่งขึ้นศิลายอมแบกแคปหมู ไส้อั่วและน้ำพริกหนุ่มไปสตูฯ เพราะจะได้เอาไปแบ่งให้ป้าพรและกานต์ได้ลองชิมด้วย เขาไปถึงก็รีบเดินบึ่งเข้าไปในครัวของสตูฯ ทันที แล้วรีบจัดแจงไส้อั่ว น้ำพริกและแคปหมูใส่จานซะสวยงามจนอาโปที่เดินเข้ามาเห็นก็แอบประหลาดใจอยู่เหมือนกัน “โอ้โหห จัดจานซะสวยเลยครับ” “นิดนึงครับ คนกินจะได้กินอาหารตาไปด้วยไงครับพี่โป” ก๊อกๆๆ เสียงเคาะประตูห้องครัวที่ถูกเปิดทิ้งไว้ดังขึ้น “คุณอาโปกับคุณศิลามาทำอะไรในครัวแต่เช้าคะ” ป้าพรเอ่ยทักขึ้นพร้อมรอยยิ้มสดใสประจำตัว “เอ้า! ป้าพรหวัดดีครับ พอดีเมื่อวานได้ไส้อั่วมาเยอะเลยครับ เลยเอามาแบ่งกันทานฮะ” ร่างบางเดินถือจานมาที่จัดอาหารไว้สวยงามมายื่นให้ป้าพรดู “น่าทานจังเลยนะคะ” “ป้าพรกินด้วยกันสิครับ ลองชิมดูเลยครับ” “เดี๋ยวป้าเอาจานมาแบ่งไว้ดีกว่าค่ะ เพิ่งทานข้าวเช้ามา” ป้าพรเดินไปหยิบจานในครัวมาแบ่งไส้อั่วกับน้ำพริกเอาไว้ “ขอบคุณมากนะคะ” “ครับป้า” ศิลากับอาโปยิ้มให้ก่อนจะเดินออกจากห้องครัวไป จานไส้อั่วกับถ้วยน้ำพริกหนุ่มถูกวางไว้ตรงโต๊ะที่อยู่หลังเคาน์เตอร์โดยมีถุงแคปหมูวางอยู่ข้างๆ ด้วย ศิลาและอาโปหยิบส้อมจิ้มกินกันคนละคำสองคำด้วยสีหน้าที่รับรู้ถึงความอร่อยนั้น ไม่นานเสียงประตูของสตูฯ ก็ดังขึ้นพร้อมกับกานต์ที่เดินถือถุงอาหารเต็มไม้เต็มมือแบบที่เคยเป็นอยู่ประจำ “พี่กานต์มากินไส้อั่วกัน” ศิลาร้องเรียกพลางกวักมือ “ฮะ!” กานต์ชะงักหยุดเดินทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่คนน้องเอ่ยบอก “อะไรพี่! ตกใจหมด” “กูก็เอาไส้อั่วมาเหมือนกัน เมื่อวานไอ้เตมันซื้อมาฝากอะ” “เอ้า!” ทั้งอาโปและศิลาต่างร้องอุทานขึ้นมาพร้อมกันก่อนจะหัวเราะร่า “เห้อ... กินกันให้พูดเหนือได้ไปเลย” อาโปเอ่ยแซว “เก็บไว้ก่อนละกัน ไว้ค่อยๆ ทยอยกิน” กานต์พูดก่อนจะเดินหายไปเข้าในครัวไป --------- The Story of Water and Stone 2 --------- วันนี้ที่สตูฯ มีคลาสเรียนช่วงบ่ายเพียงคลาสเดียวเท่านั้นก็เลยทำให้ช่วงเช้าแต่ละคนต่างก็ว่างกันหมด มีเพียงศิลาที่พอจะมีอะไรให้ทำอยู่บ้าง เพราะมีคนโทรมาสอบถามรายละเอียดของแต่ละคอร์สอยู่เรื่อยๆ พอเข้าใกล้เที่ยงวันเสียงประตูก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมด้วยใบหน้าของเด็กหนุ่มที่คุ้นเคยปรากฏขึ้น พร้อมเสียงทักอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวทุกครั้งที่เขามาถึงที่นี่ “หวัดดีครับพี่ศิลา” เอ็มยิ้มแฉ่งแล้วเดินตรงเข้ามานั่งที่เก้าอี้ด้านหน้าเคาน์เตอร์ของสตูฯ “มาเร็วอีกละ” “ก็อยู่บ้านละมันเบื่ออ่า” “ไม่มาตั้งแต่เช้าเลยล่ะ” ศิลาประชด “ก็ถ้าตื่นเร็วคงมาแต่เช้าแหละ นี่กว่าจะตื่นก็ 11 โมงละ” เอ็มพูดพลางเปิดกระเป๋าเอาขนมปังที่แวะซื้อในเซเว่นเมื่อกี้ออกมากินรองท้องก่อนจะเข้าเรียนในตอนบ่าย “เอาอีกละ ทำไมไม่รู้จักกินข้าวกินปลามาก่อนจะมาเรียนฮะ” ศิลาเอ็ดเบาๆ แล้วส่ายหัว “ก็ที่บ้านไม่มีไรกินอะพี่” “เห้ออ แกนี่น้า” ศิลาเดินหายเข้าไปในครัวแล้วยกเอาไส้อั่วที่ป้าพรเพิ่งหั่นใส่จานออกมาวางที่เคาน์เตอร์ “อะ ไส้อั่ว กินเป็นปะเนี่ย” “ของโปรดเลยพี่” เอ็มคว้ามับเข้าที่จานก่อนจะเอาอีกมือที่ว่างหยิบส้อมมาจิ้มกินทันที “อดอยากมาจากไหนฮะไอ้เอ็ม” กานต์ที่เดินลงมาจากชั้นบนเห็นเข้าก็อดที่จะแซวไม่ได้ “ก็คนมันหิวนี่พี่” เอ็มหันไปตอบแล้วหันกลับมาจดจ่อกับไส้อั่วที่อยู่ตรงหน้าต่อ กานต์แอบหัวเราะออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางของเอ็มก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาศิลาที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์ “ไงมึง เห็นไอ้เตมาเล่าให้ฟังว่าจะเอามึงไปเล่นซีรีส์ด้วย” “ใช่พี่” “ละเอาไงอะ ไหนบอกว่าไม่อยากรับงานในวงการแล้ว” “ก็ปฏิเสธไปแล้วแหละ แต่พี่เตดิบอกว่าไม่ต้องรีบ ให้ไปคิดดูดีๆ ก่อน” ศิลาพูดก่อนจะถอนหายใจ “ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ ไอ้เตมันบังคับมึงไม่ได้หรอก บอกมันดีๆ มันก็ไม่เซ้าซี้แล้ว” กานต์เอ่ยพูดขึ้นตามความรู้สึกของตัวเอง “คงอีก 2-3 วันแหละ ค่อยทักไปบอก” “พี่ศิลาจะได้เล่นซีรีส์หรอ เอาดิๆๆ” เอ็มที่นั่งอยู่ตรงนั้นได้ยินคนที่โตกว่าสองคนคุยกันก็รีบเคี้ยวไส้อั่วในปากลงคอทันทีก่อนที่จะเอ่ยถามออกไป “นี่แกไม่ได้ฟังเลยรึไง ว่าพี่ไม่สนใจ” ศิลาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเอือมระอาเล็กน้อย “โด่ววว ก็อยากให้พี่รับเล่นอะ เผื่อได้ทำงานด้วยกันไง ผมอยากทำงานกับพี่อะ นะๆๆๆ” เอ็มพยายามเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางออดอ้อนก่อนจะวิ่งข้ามเคาน์เตอร์เข้ามากอดศิลาแน่น “พี่อึดอัด ปล่อยยยย” ศิลาพยายามจะดันอีกฝ่ายออกด้วยเพราะอึดอัดจริงตามที่พูด แต่อีกนัยหนึ่งก็ไม่ต้องการให้อาโปลงมาเห็น เพราะเขารู้ว่าร่างหนาขี้หึงและขี้หวงขนาดไหน “ไม่ปล่อย จนกว่าพี่จะยอมตอบตกลงว่าจะรับเล่นซีรีส์ นะค้าบบบบ นะๆๆๆๆๆ” เอ็มกอดแน่นกว่าเดิมพลางซุกหน้าลงบริเวณหน้าอกของศิลา “ไอ้เอ็มมม พี่อึดอัด!” พลั่ก! “เชี่ย!” เอ็มร้องตะโกนเสียงหลงเมื่อรู้สึกถึงแรงเหวี่ยงที่กระชากเขาออกจากตัวของศิลา “พี่โป!!” ศิลาเอ่ยเรียกชื่อคนกระชากเสียงดังลั่น “ทำอะไร ไม่ได้ยินหรอว่าพี่ศิลาเขาบอกว่าอึดอัดอะ” อาโปเอ่ยเสียงเย็นพร้อมดวงตาแข็งกร้าวมองจ้องมาที่เอ็ม มือหนากำแขนเอ็มแน่น “ขะ...ขอโทษครับ” เอ็มเอ่ยพูดเสียงตะกุกตะกักเพราะความตกใจ ไม่เคยเห็นอาโปโกรธขนาดนี้มาก่อน “อย่าให้เห็นว่าทำแบบนี้อีกนะ ไม่งั้นพี่นี่แหละที่จะเป็นคนตัดโอกาสในวงการของน้องเอง” อาโปขยับหน้าเข้าไปใกล้เอ็มก่อนจะเอ่ยพูด เอ็มตัวสั่นกึกๆ ส่วนหนึ่งเพราะความเจ็บที่โดนกระชากแขนเมื่อครู่ อีกส่วนก็เพราะกำลังกลัวอาโปที่กำลังแผ่พลังด้านมืดออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “พี่โป ผมว่าพี่พูดแรงไปแล้วนะครับ ก็แค่เล่นๆ กันเอง” ศิลาพยายามพูดเพื่อให้คนพี่ใจเย็นลง “แต่น้องเอ็มมันรังแกเราอยู่นะศิลา” อาโปเอ่ยแย้ง “แค่แกล้งกันเล่นๆ จริงๆ พี่ ผมเป็นพยานได้” กานต์ช่วยพูดเสริมเมื่อเห็นว่าท่าทีไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ แล้วก็สงสารเอ็มด้วยที่ต้องมาโดนงี้ ทั้งๆ ที่จริงๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจทำอะไรเกินเลย แค่เล่นกันเฉยๆ “ผมแค่แกล้งเล่นกันขำๆ กับพี่ศิลาเองครับ” เอ็มพูดพร้อมน้ำตาที่เริ่มคลออยู่ที่เปลือกตา “ปล่อยน้องก่อนนะครับ” ศิลาพยายามแกะมือของอาโปออกจากแขนเอ็ม “มีสติหน่อยพี่โป เป็นผู้ใหญ่แล้วนะ จะมาหึงอะไรกับเด็กตัวแค่นี้ มันไม่เข้าเรื่อง” พอศิลาพูดจบกานต์ก็ยื่นมือมาดึงเอ็มหลบออกไปเพื่อให้คนทั้งสองคนได้คุยกันเอาเอง “พี่ขอโทษครับ” อาโปเอ่ยบอกเสียงเบาเมื่อโดนคนน้องดุ “เป็นอะไรไปพี่ ปกติไม่เคยเป็นงี้” ศิลาถามเพราะสงสัย ปกติคนพี่จะต้องควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่านี้สิ “ขอโทษครับ พี่คงเครียดไปหน่อย พอดีเพิ่งประชุมเสร็จ มันมีปัญหานิดหน่อยครับ” “แต่แบบนี้ไม่ถูกนะครับ พี่เครียดเรื่องงานแต่มาระเบิดลงที่น้องเอ็มเนี่ยนะ” ศิลาคิ้วขมวดเพราะเริ่มรู้สึกไม่โอเค แต่ก็ยังพยายามจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ได้มากที่สุด “พี่...” อาโปถอนหายใจ “ทำไมครับ” “พี่ขอโทษนะครับ” “ผมไม่โกรธพี่โปหรอก แต่คนที่พี่ควรขอโทษคือน้องเอ็มที่ยืนอยู่ตรงนั้นมากกว่านะครับ” ศิลาเอ่ยพูดพลางหันหน้าไปมองเอ็มที่ยืนอยู่กับกานต์ด้วยความหวาดกลัว อาโปถอนหายใจก่อนจะหันหน้าแล้วเดินเข้าไปหาเอ็ม “พี่ขอโทษนะ เมื่อกี้เป็นความผิดพี่เอง พี่ไม่ได้ตั้งใจ” “คะ...ครับ” เอ็มตอบด้วยความหวั่นใจ “ใกล้เรียนแล้วหนิ ขึ้นไปเตรียมตัวเหอะ” อาโปตบไหล่เอ็มเบาๆ นั่นยิ่งทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเกร็งและกลัวคนตรงหน้าเพิ่มอีกร้อยเท่า เอ็มพยักหน้ารับแล้วรีบวิ่งขึ้นชั้นสองไปเพื่อเตรียมตัวเรียนการแสดง โดยมีกานต์เดินตามขึ้นไปและมีศิลามองตามอย่างเป็นห่วง “เมื่อกี้ไม่น่ารักเลยนะครับพี่โป ดีนะที่ไม่มีแขกคนอื่นอยู่ด้วย มีแต่คนกันเอง” ศิลาเอ่ยปรามอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าคนรักของตัวเองกระทำผิด “พี่ขอโทษนะ มันจะไม่มีแบบนี้อีก พี่ขาดสติไปหน่อยครับ” อาโปเอ่ยพูดพลางขยับเข้ามาสวมกอดร่างบางแน่น “ครับ ถ้ามีคราวหน้าผมเองก็จะไม่ใจเย็นแบบนี้เหมือนกันนะครับ พี่จะได้เห็นไปเลยว่าตอนที่โมโหร้ายมันทำร้ายคนอื่นยังไงบ้าง” “ค้าบบบ” อาโปรับคำด้วยน้ำเสียงหวาน “แต่เจองี้ไป ไอ้น้องเอ็มคงไม่กล้าเกาะแกะผมไปอีกนานเลยนะครับ ก็ถือซะว่าเป็นข้อดีเพียงข้อเดียวของเหตุการณ์เมื่อกี้แล้วกันนะครับ” ศิลายิ้มตอบก่อนจะโดนอาโปขโมยจุ๊บที่ปากเบาๆ ไปทีหนึ่งแบบที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD