ความเงียบสงัดที่ปกคลุมลานอุทยานหลวงถูกทำลายลงด้วยเสียงโวยวายของบุรุษผู้สิ้นท่า
"ข้าไม่ได้ทำ! ปล่อยข้า!"
ฉินลี่หรงดิ้นรนขัดขืนการจับกุมของทหารองครักษ์ ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำด้วยฤทธิ์สุราและโทสะ ดวงตาที่เคยฉายแววเจ้าเล่ห์บัดนี้เบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก เมื่อสติสัมปชัญญะเริ่มกลับคืนมาทีละน้อย เขาจึงตระหนักได้ว่าตนเองเพิ่งพลั้งปากพูดสิ่งใดออกไป
คำสารภาพเรื่องการจ้างวานฆ่าปิดปากหมอหลวงต่อหน้าพระพักตร์องค์ชายและขุนนางนับร้อย
"ฝ่าบาท! กระหม่อมถูกใส่ร้าย!" ฉินลี่หรงตะโกนเสียงแหบแห้ง พยายามมองหาทางรอด "สุรา... สุรากาเมื่อครู่นี้มียาพิษ! นายน้อยเซี่ยกับคนของเขาวางยาข้า ทำให้ข้าพูดจาเลอะเลือน!"
เซี่ยเหยียนอวี่ที่ยืนสงบนิ่งอยู่ข้างกายองค์ชายเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แววตาฉายความเวทนาปนสมเพช
"ใต้เท้าฉิน ท่านกำลังกล่าวหาว่าองค์ชายจวิ้นอี่ทรงวางยาท่านงั้นหรือ?" เหยียนอวี่เอ่ยถามเสียงเรียบ "ทุกคนในที่นี้ต่างก็เห็นกันถ้วนทั่ว ว่าสุรากานั้นเป็นขององค์ชาย และพระองค์ทรงพระราชทานให้ท่านด้วยไมตรีจิต... หรือท่านจะบอกว่า องค์ชายสมรู้ร่วมคิดกับข้าเพื่อกลั่นแกล้งขุนนางตงฉินเช่นท่าน?"
คำย้อนถามนั้นปิดทางหนีของฉินลี่หรงจนหมดสิ้น ขุนนางรอบข้างต่างซุบซิบและส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา การกล่าวหาเชื้อพระวงศ์ในที่สาธารณะมีโทษสถานหนัก ยิ่งเป็นการกล่าวหาเพื่อกลบเกลื่อนความผิดตนเอง ยิ่งฟังไม่ขึ้น
"ข้า... ข้า..." ฉินลี่หรงพูดไม่ออก ลำคอแห้งผาก
องค์ชายจวิ้นอี่ทอดพระเนตรมองอดีตขุนนางคนโปรดด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ความผิดหวังฉายชัดในแววตาคู่นั้น พระองค์เคยชื่นชมความสามารถของฉินลี่หรง แต่ไม่นึกเลยว่าภายใต้หน้ากากบัณฑิตผู้ทรงภูมิ จะซ่อนปีศาจร้ายเอาไว้
"พอได้แล้ว" จวิ้นอี่เอ่ยเสียงต่ำ ทรงอำนาจ "เจ้าบอกว่าเจ้าเมามายจนพูดจาเลอะเลือน เช่นนั้นข้าก็จะให้โอกาสเจ้าไปสร่างเมาในคุกหลวง... ทหาร! นำตัวฉินลี่หรงไปขัง สอบสวนเรื่องนักฆ่าให้ละเอียด หากพบหลักฐานมัดตัวเมื่อไหร่ ให้ส่งเรื่องถึงกรมอาญาเพื่อลงโทษตามกฎมณเฑียรบาล!"
"ฝ่าบาท! ไม่! ท่านทำกับข้าแบบนี้ไม่ได้! ข้าทำเพื่อราชวงศ์!"
เสียงร้องโหยหวนของฉินลี่หรงค่อยๆ ห่างออกไป เมื่อทหารองครักษ์ลากตัวเขาออกไปจากงานเลี้ยง ทิ้งไว้เพียงบรรยากาศที่อึมครึมและความหวาดหวั่นในหมู่ขุนนางที่เคยเป็นพรรคพวกของเขา
งานเลี้ยงชมจันทร์จบลงแล้ว แต่เกมกระดานนี้... เพิ่งจะเปลี่ยนผู้คุมเกม
…
…
...
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายสงบลง จวิ้นอี่อาสาเดินมาส่งเหยียนอวี่ที่รถม้าหน้าประตูวัง
แสงจันทร์สาดส่องลงบนทางเดินหินอ่อน ทาบทับเงาของทั้งสองให้เคียงคู่กันไป เหยียนอวี่เดินเงียบๆ ลอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างขององค์ชาย เขาสังเกตเห็นร่องรอยความเหนื่อยล้าในแววตาคู่นั้น
"ฝ่าบาททรงผิดหวังหรือไม่..." เหยียนอวี่เอ่ยทำลายความเงียบ "ที่ขุนนางที่พระองค์เคยไว้วางใจ กลายเป็นคนเช่นนั้น"
จวิ้นอี่หยุดเดิน หันมาสบตาคนตัวเล็กกว่า "ผิดหวังน่ะใช่... แต่ข้าดีใจมากกว่า"
"ดีใจ?"
"ดีใจที่ได้เห็นธาตุแท้ของคน ก่อนที่มันจะสายเกินไป" จวิ้นอี่ยกมือขึ้น จัดปอยผมที่ปลิวมาปรกหน้าผากของเหยียนอวี่ทัดใบหูให้อย่างเบามือ การกระทำที่อ่อนโยนและเป็นธรรมชาติจนเหยียนอวี่เผลอกลั้นหายใจ
"และดีใจ... ที่คนที่ยืนอยู่ข้างกายข้าในตอนนี้ คือเจ้า"
เหยียนอวี่รู้สึกหน้าร้อนผ่าว เขาเบนสายตาหลบ "กระหม่อมเป็นคนวางแผนทั้งหมด... เป็นคนใช้ยาพิษ เป็นคนบีบให้เขาจนตรอก พระองค์ไม่กลัวกระหม่อมหรือพะย่ะค่ะ?"
"กลัว?" จวิ้นอี่หัวเราะในลำคอ "ข้าเป็นแม่ทัพ ผ่านสนามรบมานับร้อย เห็นเล่ห์เหลี่ยมกลศึกมามากมาย สิ่งที่เจ้าทำ... ข้าเรียกว่าความฉลาดและการเอาตัวรอด"
องค์ชายหนุ่มก้าวเข้ามาใกล้อีกนิด จนปลายจมูกแทบชนกัน
"เจ้าเหมือนกุหลาบที่มีหนามแหลมคม เหยียนอวี่... ยิ่งสวยงาม ยิ่งอันตราย แต่ข้ากลับรู้สึกว่า... ข้ายินดีที่จะถูกหนามนั้นทิ่มตำ หากมันแลกมาด้วยการได้ปกป้องเจ้า"
หัวใจของเหยียนอวี่เต้นแรงจนแทบจะทะลุอก คำพูดหวานซึ้งที่เขาเคยโหยหาในชาติก่อน บัดนี้กลับถูกเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างง่ายดายในชาตินี้
อย่าหลงกลนะ... อย่าเพิ่งใจอ่อน
เหยียนอวี่เตือนตัวเองในใจ แต่ร่างกายกลับไม่ยอมขยับถอยหนี
"ฝ่าบาททรงตรัสหนักเกินไปแล้ว" เหยียนอวี่ตอบเสียงแผ่ว "คืนนี้ดึกมากแล้ว กระหม่อมขอทูลลา"
เขารีบประสานมือคารวะแล้วหันหลังเดินขึ้นรถม้าไปอย่างรวดเร็ว ราวกับกำลังวิ่งหนีหัวใจตัวเอง
จวิ้นอี่ยืนมองรถม้าที่เคลื่อนตัวออกไปจนลับสายตา รอยยิ้มจางๆ ประดับบนใบหน้า แต่ในแววตากลับมีความมุ่งมั่นบางอย่างที่ลุกโชนขึ้น
"เจ้ามีความลับมากมายเหลือเกิน..." จวิ้นอี่พึมพำ "แต่ไม่เป็นไร... ข้ามีเวลาทั้งชีวิตที่จะค่อยๆ ค้นหามัน"
…
…
...
ณ ห้องขังในคุกหลวง
สภาพของฉินลี่หรงในตอนนี้ดูไม่ต่างอะไรกับขอทานผู้สิ้นไร้ไม้ตอก ชุดขุนนางราคาแพงเปรอะเปื้อนฝุ่นโคลน ผมเผ้ายุ่งเหยิง นั่งกอดเข่าอยู่ในมุมมืดที่มีเพียงแสงจันทร์ลอดผ่านช่องลมเล็กๆ
ฤทธิ์ยาสัจจะนิทราเริ่มเจือจางลงแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงอาการปวดหัวอย่างรุนแรงและความทรงจำอันเลือนรางเกี่ยวกับสิ่งที่เขาพูดออกไป
"บัดซบ..."
ฉินลี่หรงกัดฟันกรอด กำปั้นทุบลงบนพื้นหินจนเลือดซิบ
เขาแพ้... เขาแพ้ให้กลับเด็กเมื่อวานซืนอย่างเซี่ยเหยียนอวี่เป็นครั้งที่สอง
ครั้งแรกคือเรื่องบัญชีปลอม ครั้งนี้คือเรื่องนักฆ่า... ทุกย่างก้าวที่เขาเดิน เหมือนถูกเหยียนอวี่ดักทางไว้หมดแล้ว ราวกับว่าอีกฝ่าย รู้อนาคต
"รู้อนาคต..."
ฉินลี่หรงชะงัก ความคิดหนึ่งแล่นปราดเข้ามาในหัว
เขานึกถึงแววตาของเหยียนอวี่... แววตาที่ลึกล้ำเกินวัย แววตาที่เต็มไปด้วยความแค้นเคืองและความเจ็บปวดที่เหมือนคนผ่านโลกมาอย่างโชกโชน
และเขานึกถึงหยกลิขิตที่เขาเคยครอบครองในชาติก่อน หยกที่แตกสลายไปพร้อมกับวิญญาณของเหยียนอวี่
"เป็นไปไม่ได้..." ฉินลี่หรงพึมพำ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึงระคนหวาดกลัว "หรือว่า... มันไม่ได้มีแค่ข้าที่กลับมา?"
ถ้าเหยียนอวี่จำได้ทุกอย่าง... ถ้าเหยียนอวี่กลับมาเพื่อแก้แค้น...
"ฮะ... ฮ่าๆๆๆ!"
ฉินลี่หรงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งในความมืด เสียงหัวเราะนั้นฟังดูโหยหวนราวกับปีศาจ
"มิน่าล่ะ... มิน่าเจ้าถึงได้รู้ทันข้าไปเสียทุกเรื่อง! เซี่ยเหยียนอวี่! เจ้ามันปีศาจ!"
รอยยิ้มแสยะปรากฏขึ้นบนใบหน้าเปื้อนโคลน แววตาแห่งความหวาดกลัวแปรเปลี่ยนเป็นความอาฆาตที่รุนแรงกว่าเดิม
"ดี... ดีมาก... ในเมื่อเจ้าเล่นละครตบตาคนทั้งโลก ข้าก็จะเล่นบทตัวร้ายให้ถึงที่สุด"
ฉินลี่หรงล้วงมือเข้าไปในสาบเสื้อที่ขาดวิ่น หยิบเศษกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่ซ่อนไว้ออกมา มันคือตราสัญลักษณ์ลับของกลุ่มมือสังหารนอกด่านที่เขาเคยติดต่อไว้ เป็นไพ่ตายใบสุดท้ายที่เขาไม่อยากใช้
"จวิ้นอี่ปกป้องเจ้าได้ในที่แจ้ง... แต่ในที่มืด ข้าคือราชา"
เขาขยำกระดาษแน่น
"รอข้าออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ... คราวนี้ข้าจะไม่ใช้แค่ยาพิษหรือมีดสั้น แต่ข้าจะใช้มนต์ดำที่เจ้าไม่มีวันต่อกรได้!"