ยามดึกในตำหนักหลงอวิ๋น แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างมุข สะท้อนเงาจาง ๆ บนม่านผ้าไหมสีเขียวหยก ท่านอ๋องจวิ้นอี่นอนอยู่บนเตียงไม้จันทน์แดงที่แกะสลักลายมังกร ผมยาวสีดำสยายบนหมอน ใบหน้าคมคายดุจเทพสงครามของเขานิ่งสงบในยามหลับ ทว่าคิ้วที่ขมวดแน่นและเหงื่อเม็ดเล็กบนหน้าผากบ่งบอกถึงความว้าวุ่นในฝัน เขากำผ้าคลุมเตียงแน่น ราวพยายามยึดเกาะบางสิ่งที่เลือนราง
ในความฝัน ท่านอ๋องเห็นภาพที่ไม่เคยปรากฏในความทรงจำของเขา ท้องพระโรงที่เต็มไปด้วยขุนนางในชุดสีแดงเข้ม กลิ่นควันกำยานลอยอบอวลในอากาศ และตรงกลางห้องโถง บุรุษหนุ่มในชุดสีขาวยืนอยู่เพียงลำพัง ใบหน้าของเขางดงามราวหยกขาว ดวงตาคู่สวยเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความสิ้นหวัง
“ฝ่าบาท...” เสียงของบุรุษหนุ่มสั่นเครือ ราวกับวิงวอนบางสิ่งที่ไม่อาจเอื้อมถึง ท่านอ๋องรู้สึกถึงความเจ็บแปลบในอกเมื่อมองเห็นใบหน้านั้น
เซี่ยเหยียนอวี่
แต่มิใช่เหยียนอวี่ที่เขาเห็นในวังหลวงปัจจุบัน แต่เป็นเหยียนอวี่จากที่ใดสักแห่งในอดีตที่เขาเองก็จำไม่ได้
ภาพในฝันเปลี่ยนไป สวนหลวงยามค่ำ กลีบดอกบัวร่วงหล่นลงสู่สระน้ำ เซี่ยเหยียนอวี่ยืนอยู่ที่ศาลาริมน้ำ มือของเขากุมหยกสีเขียวเข้มที่มีลายเส้นซับซ้อน
“ท่านเคยสัญญา...” เขากระซิบ น้ำตาไหลลงใบหน้า “แต่เหตุใดท่านถึงทิ้งข้าได้ง่ายดายนัก?” ท่านอ๋องรู้สึกถึงความหนักอึ้งในใจราวถูกฉีกขาด เขายื่นมือออกไปในฝัน ราวจะโอบกอดร่างนั้นไว้ แต่ภาพของเหยียนอวี่ค่อย ๆ จางหายไป กลายเป็นความมืดที่เย็นเยียบ
ท่านอ๋องสะดุ้งตื่น หัวใจเต้นแรงราวกลองศึก เขานั่งขึ้น มือกุมหน้าผากที่เปียกชื้นด้วยเหงื่อ “เซี่ยเหยียนอวี่...” เขากระซิบชื่อนั้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ดวงตาคู่คมของเขาฉายแววสับสนปนเจ็บปวด ฝันนั้นสมจริงเกินกว่าที่จะเป็นเพียงจินตนาการ ความเจ็บปวดในสายตาของเหยียนอวี่ ความรู้สึกผิดที่ฝังลึกในใจเขา ราวกับเขาเคยทำผิดต่อชายผู้นั้นในอดีตที่เขาไม่อาจจำได้
เขาลุกขึ้น เดินไปที่หน้าต่าง มองดวงจันทร์ที่สว่างไสวเหนือสวนหลวง เขานึกถึงการพบกันครั้งล่าสุดกับเหยียนอวี่ การขัดขืนที่หนักแน่นในสวน สายตาที่ทั้งเด็ดเดี่ยวและเปราะบาง และคำพูดที่เหมือนปกป้องความลับบางอย่างเอาไว้ เขาเคยถามอีกฝ่ายว่ารู้สึกเหมือนเคยเจอกันมาก่อน ในห้วงเวลาหนึ่ง แต่อีกฝ่ายก็ปฏิเสธ และตอนนี้ฝันนี้ทำให้เขาเริ่มเชื่อถึงสิ่งที่เขาคิด
เขากับเหยียนอวี่อาจเคยแบ่งปันอดีตที่ถูกลืมร่วมกัน...
ในอีกมุมหนึ่งของวังหลวง ตำหนักหย่งชิงเงียบสงัด เซี่ยเหยียนอวี่ยังไม่หลับ เขานั่งอยู่ที่โต๊ะไม้จันทน์แดง จุดตะเกียงน้ำมันเพื่อเขียนบันทึกในม้วนกระดาษ เขาจดรายละเอียดของแผนล่าสุด การบงการข่าวลือที่นำไปสู่การจับกุมหลี่เฉิงและหลี่หมิง ผู้สมรู้ร่วมคิดรายย่อยของฉินลี่หรง เขานึกถึงเงาทมิฬและเฉินหยาง ศัตรูเก่าจากชาติก่อนที่สมคบกับฉินลี่หรงในแผนใหญ่ ความสำเร็จในการตัดกำลังฉินลี่หรงทำให้เขามั่นใจมากขึ้น แต่ความระแวงในใจยังคงอยู่ เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนอีกในอนาคต
เขายกสายตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ ที่ระเบียง หลิวจื้อเฉินปรากฏตัวในชุดสีเทาเข้ม ใบหน้าคมคายของเขาฉายแววจริงจัง “นายน้อยเซี่ย ข้ามีข่าว” เขากล่าวเบา ๆ หลังปิดประตู “คนของข้าสืบได้ว่าเฉินหยางพบกับขุนนางอีกคน นามว่า หลี่จง เมื่อคืนนี้ พวกเขาคุยกันถึงเงาทมิฬกันอีกครั้ง แต่ไม่มีรายละเอียดชัดเจน”
เหยียนอวี่พยักหน้า ข้อมูลนี้ยืนยันว่าเฉินหยางยังคงเคลื่อนไหวอย่างลับ ๆ และฉินลี่หรงอาจกำลังเร่งแผนการ
“ขอบใจ ท่านหลิว” เขากล่าว “ท่านช่วยจับตาหลี่จงต่อได้หรือไม่? เขาอาจเป็นจุดอ่อนถัดไป”
หลิวจื้อเฉินมองเหยียนอวี่ด้วยสายตาที่ผสมทั้งชื่นชมและสงสัย “ท่านมักรู้ว่าต้องโจมตีจุดใด” เขากล่าว “บางครั้งข้าสงสัยว่าท่านเห็นอนาคตได้จริง ๆ หรือไม่”
เหยียนอวี่รู้สึกถึงน้ำหนักของคำพูดนั้น เขายิ้มบางเพื่อปกปิดความตึงเครียด “ข้าเพียงระวังตัว ท่านหลิว” เขากล่าว “วังหลวงสอนให้ข้าไม่เชื่อในโชคชะตา”
หลิวจื้อเฉินพยักหน้า แต่สายตาของเขายังคงฉายแววครุ่นคิด “ข้าจะทำตามที่ท่านขอ” เขากล่าวก่อนโค้งตัวเล็กน้อยและจากไป
ยามรุ่งสาง ท่านอ๋องจวิ้นอี่เดินทางไปยังสวนหลวงเพียงลำพัง เขายืนที่ศาลาริมสระบัว สถานที่ที่เขาเคยเผชิญหน้ากับเหยียนอวี่เมื่อหลายคืนก่อน กลีบดอกบัวร่วงหล่นลงสู่สระ ดุจสะท้อนภาพในฝันของเขา เขานึกถึงสายตาของเหยียนอวี่ในฝัน ความเจ็บปวดที่เหมือนฉีกหัวใจของเขา และคำวิงวอนที่เขาจำไม่ได้ว่าทำไมถึงเกิดขึ้น “หากเจ้าเคยเป็นส่วนหนึ่งของอดีตข้า” เขากระซิบกับสายลม “เหตุใดข้าถึงลืมเจ้า?”
เขานึกถึงเครื่องรางหยกสีเขียวเข้มที่เห็นในฝัน ลายเส้นที่เหมือนอักขระโบราณ และความรู้สึกว่ามันมีความสำคัญบางอย่าง เขาจะต้องหาคำตอบ ไม่ใช่เพียงเพื่อตัวเอง แต่เพื่อเข้าใจว่าเหตุใดเซี่ยเหยียนอวี่ถึงทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวราวกับถูกปลุกจากความฝันอันยาวนาน
ในตำหนักหย่งชิง เหยียนอวี่ยืนที่ระเบียง มองแสงแรกของวันใหม่ที่สาดส่องลงสู่สระบัว เขานึกถึงความคืบหน้าของเขา การตัดกำลังฉินลี่หรงด้วยการเปิดโปงผู้สมรู้ร่วมคิด และการเตรียมพร้อมสำหรับเงาทมิฬด้วยความช่วยเหลือจากไป๋เหวินเจี๋ยและหลิวจื้อเฉิน เขานึกถึงท่านอ๋องกับสายตาที่ปะทะกันในสวน และความรู้สึกว่าเขาอาจกำลังจำบางสิ่งจากชาติก่อนได้ ความคิดนั้นทำให้หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้น แต่เขาจะไม่ยอมให้อดีตมาครอบงำแน่นอน
“ท่านกำลังเข้าใกล้ความจริงแล้วสินะ ท่านอ๋องจวิ้นอี่” เขากระซิบกับตัวเอง “แต่ข้าจะไม่ยอมให้ท่านเห็นทุกสิ่ง มันยังไม่ถึงเวลา”