11
ย่างเข้าสู่ฤดูหนาวส่งผลให้สภาพอากาศในยามค่ำคืนหนาวเย็นกระทบผิวกายขาวผ่องจนแดงเรื่อ ใต้หล้าหยิบยื่นกระบอกไม้ไผ่ด้านในคือสุรารสชาติร้อนแรงช่วยบรรเทาความหนาวเย็นเพิ่มอุณหภูมิให้ร่างกายได้ให้พลับพลึงที่กำลังนั่งห่อไหล่อยู่ข้างกองไฟ
ปกติยามนี้พวกเขาทั้งสามมักจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัย ทว่าวันนี้พิเศษกว่าทุกวันเพราะว่ามีสมาชิกใหม่จึงนั่งจับเข่าพูดคุยกระชับมิตรไมตรีกันข้างกองไฟ และด้วยนิสัยพูดเจื้อยเเจ้วเป็นนกแก้วนกขุนทองของหญิงสาวทำให้เข้ากับผืนดินและเหนือมานที่เป็นคนช่างจ้อได้เป็นอย่างดี ทั้งสองมักจะคะยั้นคะยอให้พลับพลึงเล่าเรื่องราวน่าตื่นเต้นในเกาะพานเร้น บอกเล่าบรรยากาศความเป็นอยู่และภัยคุกคาม
“เรื่องมันยาวข้าขี้เกียจเล่า แต่เอาเถอะเห็นสายตาเป็นประกายของพวกท่านขนาดนี้จะอนุเคราะห์ให้สักครั้ง” พลับพลึงแสร้งถอนหายใจ สะบัดฝ่ามือไปมาทำท่ารำคาญใจไม่น้อยยามถูกรบเร้า
“จะถือว่าให้ทานพวกข้าก็ได้พวกข้าไม่ถือ” เหนือมานกล่าว
“เร็วเข้า!” ผืนดินเร่งเร้าดวงตาเจิดจรัสวิบวับ
“ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องเล่าเดี๋ยวคอจะแห้งเปล่าๆ” ใต้หล้าเมินเฉยต่อสายตาคาดหวังของสหายรัก ท่อนแขนรั้งร่างเล็กเข้ามาใต้วงแขนหมายมอบความอบอุ่นส่งต่อให้หญิงสาวคลายความหนาวเหน็บ
“ถ้าเอ็งยอมเล่าเดี๋ยวพวกข้าเดินลงเข้าพาเอ็งไปซื้อของในตลาดหมู่บ้านสักครั้ง มีทั้งเสื้อผ้า ของใช้ ของกิน เอ็งคงไม่เคยเห็นแน่ๆ ” ผืนดินพยายามหลอกล่อหญิงสาวให้คายความลับออกมาโดยการเอ่ยถึงสิ่งยั่วยวนยากปฏิเสธ
เมื่อได้ยินสหายพยายามโน้มน้าวพลับพลึง ชายหนุ่มพลันนึกได้ว่านางไม่มีของใช้จำเป็นเลยสักชิ้นเดียว เสื้อผ้าอาภรณ์ติดตัวก็มีเพียงชุดเดียวยามนี้ยังสวมเสื้อตัวโคร่งของเขาอีกต่างหาก
“ไม่ต้องไปฟังหากเอ็งอยากลงไปเดี๋ยวข้าพาไป”
“เอ็งมีเงิน?” เหนือมานกลอกดวงตาไปมาจำต้องพูดแทงใจดำสหายรักสักประโยคขัดขวางความสุขเสียหน่อย ไม่งั้นคืนนี้คงยากข่มตาหลับขับตานอน หากไม่ติดว่าเป็นสหายรักกันมานานหลายสิบปีคงลุกไปตะบันหน้าสักทีสองทีให้หายหมั่นไส้ เห็นๆ อยู่ว่านางจะยอมเปิดปากแล้วเชียว
แน่นอนว่าสิ่งของเหล่านั้นเป็นของซื้อของขาย พวกเขาทั้งสามอยู่อาศัยในภูคลาด สัตว์ป่าและพรรณพืชอุดมสมบูรณ์ไม่จำเป็นต้องใช้เงินตราแม้แต่เบี้ยแดงเดียวแต่ด้านล่างสถานที่อันห่างไกลเดินทางระยะเวลากว่าครึ่งค่อนวันจะไปถึง ย่อมจำเป็นต้องมีเงินติดตัวเพื่อจับจ่ายใช้สอย
ใต้หล้ากระแอมไอแห้งหลายครั้งกลบเกลื่อนสีหน้าไม่สู้ดี เห็นท่าทางเหล่านั้นก็พอรู้ได้ว่าเขาไม่มีเงินแต่ก็พอมีหนทางกอบกู้เศษหน้าที่ปริแตกต่อหน้าหญิงงามจึงเหยียดแผ่นหลังตรงแน่วเอ่ยกับหญิงสาวเสียงแข็งพกความมั่นอกมั่นใจเต็มร้อย
“ก็พอมี เดี๋ยวเอาเนื้อหมูป่ากับของป่าลงไปขาย ข้าจะซื้อชุดใหม่ให้เอ็ง”
“ไม่จำเป็น เอาเงินที่ว่ามาให้ข้าดู ข้าใช้มนต์เลียนแบบได้” พลับพลึงฉีกยิ้มหวานพลางเชิ่ดจมูกรั้นเล็กขึ้นเล็กน้อย บอกเป็นนัยว่านางภูมิอกภูมิใจในความสามารถของตนเองยิ่ง
“อืม เมียข้าหลักแหลมที่สุด” ใต้หล้าอดใจไม่ไหวยื่นมือเข้าไปบีบพวงแก้มนุ่มนิ่มสีฝาดจนนางหน้ายู่ร้องเจ็บอยู่นานกว่าเขาจะยอมปล่อยมือ
“ข้าคงต้องพึ่งบารมีแม่นางน้อยแล้ว” เหนือมานรีบประจบประแจง ดวงตาลุกวาวนึกไปไกลถึงวันที่พวกเขาลงไปเที่ยวเล่นตามตลาด
“แบบนี้พวกข้าก็เป็นหนูตกถังข้าวสารแล้ว ดี ดีเลย ข้าจะเอาเกวียนไปบรรทุกข้าวของกลับมาให้เต็มเกวียนเลย” ผืนดินตบเข่าฉาดใหญ่หัวเราะเต็มเสียงดังสนั่นก้องป่า
“พึ่งพาข้าได้ ข้าเป็นหญิงแกร่ง มา! ข้าอารมณ์ดีจะเล่าให้ฟังก็ได้ ตั้งใจฟังให้ดีล่ะข้าไม่เล่าซ้ำสองนะจะบอกให้ ขอน้ำดื่มด้วย” พลับพลึงวางท่าใหญ่โต กระดิกเท้าชี้นิ้วสั่งประหนึ่งนิสัยจองหองพองขนกำเริบ
“ขอรับ” ผืนดินวิ่งเหยาะๆ เข้าไปวางกระบอกน้ำเบื้องหน้าหญิงสาว เหนือมานไม่น้อยหนารีบคว้าถั่วลิสงคั่วมาวางก่อนจะขยับมานั่งเบียดใจจดใจจ่อรอฟังเรื่องเล่าที่น่าสนใจ
เสียงหวานใสเริ่มเล่าเรื่องราวในหมู่เกาะพานเร้นตั้งแต่เรื่องยิบย่อยว่าเรือนนู้นอยู่อาศัยแบบนั้น เรือนนู้นเป็นชู้กับเรือนนี้ เรือนนั้นลูกสาวแอบไปนอนกับลูกชายบ้านนั้นทั้งที่ต้องออกเรือนกับลูกชายบ้านนี้ สุดท้ายถูกผู้อาวุโสจับได้ถูกขังไว้จนไม่ได้ออกเรือนอยู่เป็นหญิงแก่คาเรือน หนังตาชายหนุ่มกระตุกเป็นระยะยามนางเล่าเรื่องราวเหล่านี้อย่างออกรสออกชาติทำราวกับว่าเป็นเรื่องปกติที่พบเห็นได้ทุกวัน
นางคงไม่ได้คิดว่าการคบชู้เป็นเรื่องปกติสามัญหรอกมั้ง เขาได้แต่คิดทบทวนอยู่ในใจแต่คิดไปคิดมาก็คิดว่าไม่ได้การเขาจะต้องสั่งสอนให้นางเดินทางที่ถูก!
แม้จะหลงเหลือความคับข้องหมองใจในห้วงแห่งความรู้สึก ทว่าใต้หล้าก็รีบปรับสีหน้าโดยเร็วคอยดูแลเอาใจใส่หญิงสาวระหว่างอาหารมื้อเย็น จนกระทั่งนางเล่าเรื่องสัพเพเหระจนจบ เมื่ออิ่มท้องดวงตาใสกระจ่างหันไปมองผืนดินที่กำลังเทกระฉอกสุราใส่ปากครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่มีอาการมึนเมา ก่อนจะโดนเหนือมานใช้ข้อศอกกระทุ้งสีข้างให้รู้สึกตัวในขณะเจ้าตัวหัวคิ้วขมวดเหมือนมีบางอย่างค้างคาอยู่ในใจ
เสียงฮึดฮัดขัดใจดังขึ้นในลำคอเมื่อถูกเหนือมานขัดความคิดอันสุนทรีย์ ก่อนสายตาคมจะหันกลับมามองเห็นพลับพลึงมองมาทำท่าเหมือนจะอยากคุยอะไรบ้างอย่าง
“ผืนดิน”
“หืม”
“มีไพลกับใบบัวบกมั้ย”
“มีปลูกไว้ข้างกระท่อมข้า”
“ข้าขอใช้หน่อยนะ”
“อืม สรุปลูกสาวคนนั้นท้องกับใครทำไมถึงนอนกับคนนู้นคนนี้แต่จะออกเรือนกับคนนั้น” ผืนดินเอ่ยถาม
“ไม่รู้เพราะยังไม่คลอดเป็นข่าวใหม่ แต่ดีออกสลับนอนหลายคนชีวิตจะได้มีรสชาติ ข้ายังอิจฉานางเลยได้นอนกอดผู้ชายตั้งหลายคน” หญิงสาวรู้สึกอิจฉาแต่กลับทำให้ใครบางคนหัวคิ้วกระตุก ก่อนที่นางจะคิดเลยเถิดไปไกลมากกว่านี้ ใต้หล้ารีบตัดบทแสร้งอ้าปากหาวเหมือนคนง่วงนอนเต็มจนแทบจะเปิดเปลือกตาไว้ไม่ไหว
“ข้าง่วงแล้ว ไปกันเถอะเดี๋ยวจะต้องไปอาบน้ำกันอีกดึกมากแล้ว” ชายหนุ่มลุกพรวดไม่รีรอให้ใครแย้ง เขารีบช้อนร่างเล็กพาดบ่าเดินมุ่งตรงกลับกระท่อมทิ้งปริศนาทายข้อสงสัยว่าผู้ใดคือพ่อของเด็กในท้อง
“ว้าย!”
“!!?!!”
“จะรีบพาพลับพลึงไปไหนพวกข้ายังไม่ได้ถกเถียงกันเลยว่าใครเป็นพ่อของเด็กในท้อง” เหนือมานตะโกนไล่หลัง
“พวกเอ็งมั้ง!” ใต้หล้าสบถ
“คราวหลังอย่าไปฟังข่าวลือพวกนี้ให้มาก เรื่องไร้สาระรกสมองหากข้ารู้ว่าเอ็งไปฟังมาอีก ข้าจะจับเอ็งมัดไว้บนต้นไม้ไม่ให้กินข้าวกินน้ำสามวันสามคืน” ใต้หล้าพูดเสียงเข่นลอดไรฟัน ฝ่ามือสะบัดลงบนสะโพกกลมกลึงหลายทีให้หายแค้นใจ ผู้หญิงอะไรน่าโมโหชะมัดยาก!
“สามวันสามคืน ไม่ตายหรอกแต่ข้าจะหิวเอานะ” หญิงสาวเอียงศีรษระใช้สายตาออดอ้อนโต้ตอบท่าทางน่ารักเพราะไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือพูดเล่น
“เดี๋ยวสิ พาข้าไปขุดไพลกับใบบัวบกก่อน” ร่างเล็กดิ้นขลุกขลักเหนือลาดไหล่กว้าง ชี้มือชี้ไม้ไปทางกระท่อมของผืนดิน ถูกอุ้มห้อยศรีษระลงไปแบบนี้ทำให้นางเลือดลมไหลเวียนไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่
“จะเอาไปทำอะไร” ใต้หล้าชะงักฝีเท้าชะลอความเร็วแล้วเบี่ยงเดินลัดเลาะไปยังสถานที่ที่นางชี้มือชี้ไม้
“เอามาบดพอกแผลให้ท่าน” เสียงใสตอบอู้อี้ในลำคอ พลางส่ายเท้าขยับไปมา
“ยังนับว่ารู้ความยังไม่สายที่จะดัดนิสัย” ริมฝีปากเฉียบหยักยกมุมปาก ความเป็นห่วงเป็นใยของนางทำให้เขารับรู้ถึงความอบอุ่นที่ขาดห่ายมานานแสนนาน ไม่รู้ว่านานเท่าใดแล้วที่เขาไร้คนข้างกายให้ความสำคัญ แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยในสายตาเขาแต่กลับเป็นเรื่องใหญ่ในสายตานาง เขาไม่เคยขาดหวังให้นางทะนุถนอมน้ำใจและดูแลเขาแต่นางกลับทำได้ดีเหนือความคาดหมาย
“ข้าฉลาดมากนะไม่ใช่แค่รู้ความอย่างเดียว” พลับพลึงย่นริมฝีปากเล็กเหมือนแมวน้อย ดวงหน้างามหยาดเยิ้มเชิ่ดขึ้นราวกับภูมิใจในความสามารถ
ใต้หล้าวางหญิงสาวลงบนพื้นพรมหญ้าแพรกเชื่องช้าใช้แขนแกร่งโอบประคองเอวบางพยุงพลับพลึง รอคอยจนนางปรับสภาพร่างกายและยืนจนมั่นคงจึงจะวางใจ
ดวงตาใสกระจ่างระยิบระยับราวกับธารดาราส่องสว่างยามเห็นแปลงปลูกสมุนไพรเต็มแปลงของผืนดินเหมือนเศรษฐินีตัวน้อยขุดเจอทรัพย์สมบัติมหาศาล
สมุนไพรในสายตาผู้อื่นไม่แตกต่างอะไรจากต้นไม้ใบหญ้าไร้ราคาทว่าในสายตาพลับพลึงมันมีค่าควรเมืองยิ่งนัก
“อยากได้อะไรบ้างข้าจะขุดให้” ใต้หล้าคว้าเสียมเล่มเล็กขนาดพอเหมาะพอดีก่อนจะยอบกายลงบริเวณแปลงสมุนไพรที่นางมองไม่ละสายตา ทำท่าเหมือนจะอยากจะทิ้งตัวลงนอนท่ามกลางสมุนไพรเหล่านี้เต็มประดา สมุนไพรเหล่านี้มันน่านอนกอดมากกว่าเขางั้นสิ!
“นี่ข้าอยากได้เหง้าไพลแล้วก็หัวไพลด้วย แล้วก็ใบบัวบกสักสองกำมือ” พลับพลึงพูดน้ำเสียงสดใสร่าเริง นางไม่ฟังคำห้ามรีบยอบกายขนาบข้างเกาะท่อนแขนกำยำชี้ไปทางต้นไม้อวบอ้วนดูแล้วน่าจะผ่านการดูแลทำนุบำรุงมาอย่างดี
ไพลเป็นพืชลงหัวมีเหง้าใหญ่เนื้อในสีเหลืองมีกลิ่นหอมใบเรียวยาวปลายแหลมคล้ายใบขิง ดอกออกรวมกันเป็นช่ออยู่บนก้านช่อดอก แก้อาการฟกช้ำดำเขียวเป็นสมุนไพรชั้นเลิศหาได้ง่าย
“อืม รออยู่ตรงนั้นไม่ต้องเข้ามาดินมันแฉะเดี๋ยวสกปรก” ใต้หล้าเอ็ดเบาๆ เมื่อเห็นนางขยุกขยิกอยู่ไม่นิ่ง
“ไม่เห็นเป็นไรเลยเดี๋ยวก็ไปอาบน้ำแล้ว”
“ไม่คิดว่าผืนดินจะมีความรู้เรื่องสมุนไพรด้วย ข้าคิดว่าจะถูกผืนดินต้มเสียอีก อย่างน้อยเขาก็รู้สรรพคุณสมุนไพรจริงๆ ” พลับพลึงกระซิบกระซาบข้างใบหูหนา เพราะไม่อยากให้ผืนดินซึ่งนั่งอยู่ข้างกองไฟได้ยินเข้าจะพาลโกรธเคือง ถึงเจ้าหมอนั่นจะดูกะล่อนแต่ใครจะรู้ว่าเรื่องหยุมหยิมพวกนี้จะคิดเล็กคิดน้อยเหมือนแม่นางน้อยหรือเปล่า
“หึ เรื่องสมุนไพรรู้ก็รู้อยู่หรอกแต่เอาตัวยามาผสมกันแล้วแทบจะเป็นยาพิษเสียทุกครั้ง ไม่รักษาโรคเก่ายังเพิ่มโรคใหม่มาอีกต่างหาก” ใต้หล้าส่ายหน้าเอือมระอา นอกจากผืนดินจะกระตือรือล้นอยากจะเป็นหมอยาให้ได้จนไฟลามทุ่งมาบนหัวสองสหาย ทั้งต้องคอยหาวิธีเบี่บงบ่ายการจ่ายยาไม่ถูกโรค เรื่องอื่นล้วนดีหมด
“จริงรึ” พลับพลึงเสียวสันหลังวาบ โชคดีที่ได้รับคำเตือนก่อน มิเช่นนั้นนางคงทะเล่อทะล่าอ้าปากกินของมั่วซั่วเป็นแน่ หญิงสาวเหลือบมองชายหนุ่มด้วยแววตาซาบซึ้งจริงใจ
“อืม อย่าหลวมตัวไปเป็นหนูทดลองยาตำรับใหม่ของมันเชียว”
“ข้ายังรักชีวิตอยู่นะ ไม่มีทางแน่นอนเอาไว้ข้าจะหาเวลาว่างไปสอนสหายท่านเรื่องตัวยาจะได้บรรเทาหายนะให้เบาบางลงไปบ้าง” แค่คิดถึงผลที่ตามมาหนังตาของหญิงสาวพลันกระตุกไม่รู้สาเหตุ เอาเป็นว่านางจะต้องดับหนทางแห่งทุกข์สายนี้ก่อนที่ภัยจะมาถึงตัว
“ดีเหมือนกัน ชีวิตข้าจะได้ไม่ต้องแขวนอยู่บนเส้นด้ายอีก” ใต้หล้ารีบพยักหน้ายินดี เพียงแค่คิดถึงยาต้มของเจ้าผืนดินขนหัวเขาก็ลุกโดยไม่มีสาเหตุ ยาต้มแต่ละหม้อเหมือนเป็นยาต้มร่นอายุมากกว่า
เมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วชายหนุ่มก็ยื้อยุดร่างหยาดเยิ้มไปอาบน้ำยังบ่อน้ำพุร้อนอีกครั้งอย่างฮึกเหิม หวังจะกอบโกยตักตวงความสุขระหว่างการอาบน้ำแต่ดันถูกหญิงสาวจับได้และรู้เท่าทันเสียก่อน จึงไล่ให้เขาออกไปยืนดูลาดเลาตรงถนนหนทางขรุขระโดยไม่ฟังรำอิดออดโอดครวญเกินจริง ความคิดอกุศลเหล่านั้นเป็นอันต้องพับม้วนเก็บกลับไป
ร่างอิ่มเอิบภายใต้เสื้อตัวเก่าสีซีดของชายหนุ่มเพียงตัวเดียวนั่งเช็ดผมยาวดำขลับยาวสลวยบนฟูกนอน ไม่สนใจสายตาตัดพ้อแกมเคืองขุ่นของใต้หล้าที่ทอดมองมาเป็นระยะ ริมฝีปากอิ่มสีแดงระเรื่อดุจชาดครวญเพลงอย่างอารมณ์ดี จวบจนกระทั่งผมแห้งได้ที่จึงนำสมุนไพรมาบดฝนให้ละเอียดโรยผสมเกลือเล็กน้อย ก่อนจะกวักมือเรียกชายหนุ่มที่เอาแต่นั่งทำหน้าเบื่อหน่ายขยับเข้ามาใกล้
“มานี่ ข้าจะพอกแผลให้”
“ยังเห็นข้ามีตัวตนอยู่หรือ...” ใต้หล้ากลอกดวงตาไปมา แสร้งทำขัดขืนลีลาไม่ยอมลุกเขยิบเข้ามาใกล้
“ไม่งั้นข้าจะเรียกผีตัวไหนล่ะถ้าไม่ใช่ท่าน เร็วเข้าเดี๋ยวน้ำมันหอมมันจะระเหยไปหมด” พลับพลึงถลึงตาใส่พ่อตัวดี นางกวักมือเรียกเป็นระวิงกว่าจะยอมผุดลุกมานั่งหย่อนสะโพกใกล้ๆ
“......” ใต้หล้าทำหน้าขึงขังเรียบนิ่งไม่แสดงสีหน้าอารมณ์แม้แต่น้อย
ร่างกำยำล่ำสันถูกมือเนียนนุ่มบิดซ้ายขวายกท่อนแขนขึ้นเหนือศรีษระ ก่อนจะนำสมุนไพรบดละเอียดมาวางประคบพร้อมผ้าแห้งพันรอบตัว ระหว่างการพัวพันประคบทำให้หญิงสาวต้องก้มโค้งคล้ายสวมกอดเพื่อพันผ้าขาวประคบให้แน่น
หากตัวยาร่วงหล่นเนื้อตัวของเขาคงเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยน้ำมันระเหยของสมุนไพรเป็นแน่ กลับกันใต้หล้าไม่ได้คิดพะวังกังวลเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ กลิ่นกายหอมของสาวแรกแย้มขจรขจรายอวบอวลใต้จมูกโด่งสันนำพาให้สติเตลิดแตกกระเจิงไปไกลจนอดที่ยกก้มศรีษระสูดดอมดมกลิ่นกายเนื้อนางหอมจรุงไม่ได้
ทว่ายิ่งดอมดมก็พาลให้ใจสั่นสนั่นหวั่นไหว ริมฝีปากแห้งผากลอบกลืนน้ำลายกระเดือกลงคออย่างยากลำบาก ดวงตาคมคายพร่าเลือนมองเห็นเงาตะคุ่มยามตกกระทบแสงเทียนรำไรในกระท่อมจนเลือดลมพลุ่งพล่าน ร้อนรุ่มจนแผ่นหลังเปียกชื้น ลำคอแห้งผาก
จินตนาการถึงร่างเปลือยเปล่าวิจิตรตระการตายามอ่อนระทวย ส่งสายตาฉ่ำวาวเย้ายวนใต้ร่างเขา เสียงหวานครางผะแผ่วเป็นเชื้อเพลิงปลุกกำหนัดชั้นดีที่ทำให้เขาสูญเสียการควบคุมเหมือนม้าป่าหลุดจากบังเ**ยนห้อตะบึงโลดแล่นสู่พงไพรอย่างคึกคัก คอยสูบกลืนเจ้าของร่างหยาดเยิ้มลงท้องในคราวเดียว
ใบหน้าคมคร้ามซบลงบนผมยาวสลวยนุ่มนิ่มประดุจเเพรไหม เคลื่อนริมฝีปากพรมจุมพิตระหว่างซอกคอขาวผ่องขบเม้มสร้างรอยรักแดงเรื่อ จนหญิงสาวสะดุ้งโหยงยันแผงอกหนาให้ออกห่างพลางส่งเสียงหัวเราะคิกคัก
“อย่าซน จั๊กจี๋!”
“......” ชายหนุ่มปิดเปลือกตาแนบสนิทพยายามไม่มองดวงหน้าหยาดเยิ้ม นัยน์ตาเป็นประกายฉ่ำน้ำแวววาวดั่งไข่มุกของนาง เสียงกัดฟันกรอดจนกรามแกร่งนูนปูดเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากหนาทำเอาหญิงสาวงวยงง
“ประคบเอาไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนเช้าข้าจะเปลี่ยนตัวยาให้ใหม่” พลับพลึงยังไม่รู้ตัวว่าคนที่นางกำลังห่วงหาอาทร ได้บังเกิดจิตคิดอกุศลกับนางไปถึงขั้นไหนแล้ว
“อะ...อืม”
“เป็นกระไรเหตุใดสีหน้าไม่ค่อยดี เหงื่อออกเต็มไปหมด” พลับพลึงเลิกคิ้วเอ่ยถาม ฝ่ามือก็เช็ดหยาดเหงื่อไปตามกรอบหน้าคมคร้ามแผ่วเบา
“ข้าขอนะ” เสียงแหบพร่าทุ้มต่ำเอ่ย ดวงตาเจ้าเล่ห์มองเหยื่อชิ้นงามตรงหน้าไม่วางตา ต่อให้เจ็บตัวมากกว่านี้เขาก็หาวิธีร้อยแปดอย่างมาล่วงเกินกลืนกินนางได้อยู่ดี
“ขออะไร”
“สัญญาว่าครั้งเดียวแล้วจะปล่อยให้นอนพักผ่อน”