๙ ชิดใกล้2

1421 Words
กอหญ้าที่เคยคิดว่าหล่อนคงเป็นคนเดียวที่กล้ามองเขาแบบนั้นและเคยนึกสมน้ำหน้าที่เขาต้องเผชิญชะตากรรมเช่นนี้ กลับรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาวูบหนึ่ง ผู้หญิงคนนี้คือว่าที่คู่หมายของเขาหล่อนจำได้ แต่ทำกิริยาต่ำช้าน่ารังเกียจ หญิงสาวได้แต่คิดและมองชายหนุ่มด้วยความเห็นใจ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดของคนที่คงจะเป็นอดีตคู่หมายหลังจากนี้ ส่วนคุณนายงามตายกมือรับไหว้ด้วยอาการคล้ายกับคนกำลังช็อก หญิงสาวนึกอยากสมน้ำหน้าอยู่เหมือนกัน แต่ก็ปัดความรู้สึกนั้นเมื่อภพธรเรียกหา “หญ้า...” วิกานดาหันไปมองสาวร่างบอบบางที่ก้าวเข้าไปหาคนเรียก แล้วกวาดสายตามองก่อนแสยะยิ้มเล็กน้อย ก็แค่พยาบาลที่คอยดูแลคนพิการ แม้หน้าตาจะสะสวยแต่ยังไงคนป่วยก็ไม่มีโอกาสเห็น คิดได้แค่นั้นหญิงสาวก็สะบัดหน้าจากคนทั้งสามอย่างไม่ไยดี เดินส่ายสะโพกตรงไปยังประตู “อ่านหนังสือต่อเถอะ” เสียงของภพธรบอกกับหญิงสาว ทำให้คุณนายงามตาหันไปมองกอหญ้าด้วยสายตาที่ราวกับคนกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดอันลึกซึ้ง ไม่เพียงความคิด แต่สายตาของท่านก็คล้ายจะเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเช่นกัน เจ้าของน้ำเสียงอ่อนหวานเริ่มอ่านเนื้อหาภายในเล่มต่อจากความเดิมอีกครั้ง ขณะนั้นชายหนุ่มก็หลับตาลง ท่าทางของเขาดูผ่อนคลายจากเมื่อครู่นี้มาก คุณนายมองลูกชายแล้วผ่อนลมหายใจยาว จากนั้นท่านก็เดินกลับออกจากห้องของเขาเงียบๆ ต่างจากขามาผิดกันราวคนละคน ท่าทางดูหงอยลงราวกับไม่ใช่คุณนายผู้เก่งกล้าคนเดิม เจ้าของดวงหน้าหวานเงยหน้ามองตามอีกฝ่าย วูบหนึ่งก็นึกสงสาร แต่แล้วก็ปัดความรู้สึกนั้นลงอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกของท่านไม่เกี่ยวอะไรกับหล่อน จะสุขหรือทุกข์ย่อมไม่ส่งผล อยู่ที่นี่เพียงเพราะทำหน้าที่ของตนตามที่ได้สัญญากันเอาไว้ เขาดีขึ้นเมื่อไรหล่อนจะไปแล้วไม่กลับมา ปณิธานนี้ยังคงแน่วแน่อยู่ภายในหัวใจดวงน้อยของกอหญ้าไม่จืดจาง... ในวันหยุด เพื่อนๆ ของภพธรก็แห่กันมาหาเพื่อนรักของพวกเขา ตอนกลางคืน คนเหล่านั้นก็ล้อมวงนั่งรอบกองไฟ พลางร้องรำทำเพลงให้คนที่ตอนนี้เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้องได้ยิ้มและหัวเราะออกมาบ้าง กอหญ้าเผลอยิ้มตามไปด้วยเมื่อมองเขาหัวเราะขันเรื่องเล่าของเพื่อนรัก แต่พอนึกขึ้นได้ก็ค่อยๆ หยุดรอยยิ้มของตนลงแค่นั้น จะดีใจไปทำไมที่เขายิ้มได้ ทนทุกข์ต่างหากคือสิ่งที่เขาสมควรรับมันเอาไว้ เพราะมันคือเวลาที่เขาจะเผชิญกับความหดหู่ สิ้นหวัง และตายทั้งเป็น เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งหล่อนเคยได้ลิ้มรส... รอยยิ้มของชัชติดเศร้าขณะมองเพื่อนที่นั่งบนรถเข็น เขากำลังคิดถึงยามที่พวกตนพากันหัวหกก้นขวิด ตระเวนท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ไปทั่ว ค่ำไหนนอนที่นั่น ภพธรเป็นคนที่มีจิตใจดี เขาช่วยเหลือผู้คนมามาก แต่ไฉนจึงต้องมาประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้ มันหนักหนาเกินไปสำหรับคนคนหนึ่งที่ประกอบกรรมดีมาโดยตลอด อะไรที่ภพธรทำพลาดไป เขาจึงต้องเป็นเช่นนี้... “มึงอยากไปไหนหรือเปล่า กูจะพาไป อย่างน้อยได้สูดกลิ่นเดิมๆ สักครั้งก็ยังดี” เขาพูดติดตลก ทำให้เพื่อนที่กลายเป็นคนยิ้มยากค่อยยิ้มออกมาได้ ภพธรกำลังคิดถึงป่าเขาลำเนาไพร คิดถึงการขับรถบุกตะลุยไปบนเส้นทางวิบาก ก่อนจะผ่อนลมหายใจยาวพร้อมรอยยิ้มที่จางลง “ขอบใจพวกมึงมาก แต่กูขออยู่แบบนี้อีกสักพักก่อนดีกว่า เอาไว้อยากไปไหน กูจะโทร.เรียกตัวพวกมึงมาเป็นทาสรับใช้ทันที” คำตอบของภพธรทำให้เพื่อนๆ หัวเราะกับอารมณ์ขันของเขา “เออหนึ่ง สองสามวันก่อนกูเจอธิสา มากับผู้ชายตัวอวบๆ ท่าทางแม่งเหมือนลูกเจ้าของร้านทองเลย เหลืองอร่ามทั้งคอทั้งแขนลามไปจนปลายนิ้ว เส้นยังงี้” ภาณุเอ่ยขึ้นเมื่อนึกได้ พลางยกนิ้วโป้งขึ้นชูทำท่าประกอบ ชัชตวัดตามองเพื่อนด้วยสีหน้าขบขัน “มึงพูดซะกูนึกถึงขี้ขึ้นมาเลย” สิ้นเสียงของชัชทุกคนหัวเราะเฮฮา “มึงนี่มันพวกชอบทำเสียเรื่อง” ภาณุบ่นอุบแต่ก็อดหัวเราะตามคนอื่นๆ ไม่ได้ ภพธรเองก็พานหัวเราะไปกับเพื่อนด้วย แต่พอคิดถึงธิสา เขาก็นึกถึงกอหญ้าขึ้นมา จึงเริ่มคิดว่าตอนนี้หล่อนนั่งอยู่ตรงไหน “หญ้าล่ะ” คำถามของเขาทำให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ไม่ไกลขยับตัว ขณะที่เพื่อนๆ หันไปมองหญิงสาวพร้อมกัน “อยู่นี่ค่ะ” พอได้ยินเสียงหวานๆ ชายหนุ่มก็มีอาการโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ชัชและภาณุสบตากันแวบหนึ่ง ก่อนมองสาวสวยตรงหน้าด้วยความคิดที่ไม่ต่างกันนัก พวกเขาจำได้ว่าหล่อนคือเด็กสาวน่ารักเมื่อสี่ปีก่อน พอเรียนจบก็ต้องกลับมาดูแลเพื่อนของเขา แทนที่จะต้องไปทำงานในโรงพยาบาลตามที่ร่ำเรียนมาโดยตรง “กินอะไรแล้วหรือยัง” แม้ว่าเขาเอ่ยถามเบาๆ แต่ทุกคนก็ยังได้ยิน เพราะไม่มีใครพูดอะไรตั้งแต่เขาเรียกหาพยาบาลสาวน้อย “เรียบร้อยแล้วค่ะ คุณหนึ่งต้องการอะไรเพิ่มไหมคะ” เขาส่ายหน้า หญิงสาวจึงถามต่อ “หรือว่าอยากพักผ่อนแล้ว” ที่ถามเช่นนั้นเพราะปกติช่วงนี้เป็นเวลาภพธรจะต้องเข้านอน “อีกเดี๋ยวก็ได้” แม้จะตอบออกไปแบบนั้น แต่เพื่อนๆ ของเขาได้ยินเข้าจึงนึกขึ้นได้ว่าภพธรควรพักผ่อนเสียที “พวกเรา ให้ไอ้หนึ่งมันไปพักผ่อนเถอะ นี่ก็จะสี่ทุ่มแล้ว พรุ่งนี้ค่อยคุยกันต่อ หนึ่งมึงไปพักผ่อนเถอะ” คนบนรถเข็นนั่งนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ จึงพยักหน้า “เอาแบบนั้นก็ได้ พวกมึงก็ไปพักผ่อนกันได้แล้ว พรุ่งนี้เจอกันที่โต๊ะอาหาร” “พี่ช่วย” ชัชก้าวเข้ามาช่วยดันรถเข็นเพื่อนแทน กอหญ้า ทำให้คนตัวเล็กต้องเอ่ยขอบคุณเขาออกไป ระหว่างนั้นภพธรเงี่ยหูฟังว่าเพื่อนจะพูดอะไรกับหญิงสาวบ้าง “น้องหญ้าคิดเรื่องงานเอาไว้บ้างหรือเปล่าครับ หลังจากที่ไอ้หนึ่งมันหายป่วย” คำถามของชัชทำให้คนเป็นเพื่อนคิ้วกระตุก “หญ้าคิดเอาไว้แล้วค่ะ” คำตอบของกอหญ้าทำให้ภพธรขมวดคิ้วหนักไปอีก จึงเหลียวใบหน้าไปทางเสียงของหญิงสาว “อยากทำที่ไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ” หญิงสาวยิ้มจางๆ ดวงตาคู่งามหลุบมองเท้า “ก็มีที่สนใจอยู่หลายแห่งเหมือนกัน แต่หญ้าไม่ได้ทำงานในโรงพยาบาลตั้งแต่แรก ก็คงจะยากนิดหน่อยค่ะ” คำตอบของหญิงสาวทำเอาคนบนรถเข็นรู้สึกผิดและละอายใจอีกครั้ง เป็นเขาอีกแล้วสินะ ที่ทำให้หล่อนต้องพลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตอีกหน “ถ้าน้องหญ้าไม่รังเกียจ ลองไปสมัครที่โรงพยาบาลของคุณลุงพี่ก็ได้นะครับ แต่วันนี้พี่ไม่ได้เอานามบัตรมาด้วย เอาไว้วันหน้าจะเอามาให้” “กูยังไม่ทันหายดีมึงเตรียมหาที่หาทางขยับขยายให้หญ้าแล้วเหรอวะ” ภพธรกล่าวเสียงกลั้วหัวเราะ แต่ในใจของเขากำลังรู้สึกตรงกันข้าม และนั่นทำให้เพื่อนนิ่งอึ้งด้วยความตกใจ เขาลืมคิดไปเสียสนิทว่าอาจทำให้เพื่อนคิดมาก เพราะมัวแต่อยากจะหาเรื่องมาคุยกับสาวสวยเท่านั้น “ไม่ใช่ยังงั้นนะเว้ย แค่ถามถึงเฉยๆ อีกไม่นานมึงก็หายดีแล้ว เชื่อกูดิวะ อย่าคิดมาก” ชัชบอกพลางบีบไหล่เพื่อนอย่างให้กำลังใจ แต่อีกฝ่ายเงียบกริบตั้งแต่ตอนนั้น กอหญ้าหลุบตามองศีรษะได้รูปของชายหนุ่มบนรถเข็น แววตาที่มองเรียบเฉยและเย็นชาลงยามคิดถึงอนาคตข้างหน้าหลังจากที่เขาสามารถช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว ไม่ว่าภพธรจะคิดอย่างไร หล่อนและแม่ใหญ่ก็ต้องไปจากที่นี่อยู่ดี...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD