ลูกศรผลักตฤณให้กระเด็นออก ซึ่งตฤณเองก็ยอมปล่อยหญิงสาวให้เป็นอิสระอย่างง่ายดาย เขาเพียงแค่อยากแกล้งเธอเท่านั้น และคิดว่าจากวันนี้ไปคงไม่มีเรื่องให้ต้องเจอกันอีก ขอให้ได้แกล้งก่อนสักหน่อยก็แล้วกัน
“คนนิสัยไม่ดี คนชอบฉวยโอกาส ชอบทำตัวเป็นลุงเ*******ู…แบร่ ติ้ง!!” หญิงสาวแลบลิ้นหลังจากหลอกด่าเขาได้ โชคดีที่ประตูลิฟต์เปิดออกพอดีทำให้ลูกศรรีบออกจากลิฟต์ได้สำเร็จ ส่วนคนที่โดนด่าก็มองตามเด็กสาววิ่งออกไปด้วยอาการหัวเสียไม่เบา
1 เดือนต่อมา
หญิงสาวร่างเล็กตื่นขึ้นมาในสายของวัน วันนี้เป็นวันแรกในรอบหลายๆเดือนที่เธอจะได้หยุดพัก ก็เพราะว่าเธอขอพี่ชายของเธอเอาไว้ว่าอยากจะมีเวลาพักผ่อนบ้าง เธอทำงานและทำเงินให้กับบริษัทตัวเองได้ไม่หยุดหย่อน ความเป็นน้องสาวหรือลูกสาวคนเล็กของเจ้าของบริษัททำอะไรเธอไม่ได้เท่าไหร่ เพราะสิ่งที่เธอทำให้ผู้บริหารหรือผู้ใหญ่คนอื่นเชื่อมั่นในตัวเธอในตอนนี้ก็คือการที่เธอสามารถสร้างชื่อเสียงและเงินทองได้ด้วยความสามารถของเธอเอง
ลูกศรลงมาที่ห้องอาหารด้วยชุดเดรสสีขาวยาวถึงตาตุ่ม ปลายกระโปรงพลิ้วไหวได้ตามสายลม เรียกได้ว่าเสริมความน่ารักให้กับเธอได้มากเลยทีเดียว
“เฮียศิมาเหรอคะ ทำไมเหมือนศรได้ยินเสียงข้างๆห้อง” ห้องของลูกศรและของศิลาอยู่ติดกัน จึงไม่แปลกที่เธอมักจะได้ยินเสียงจากห้องพี่ชายตลอดเวลาที่พี่ชายอยู่
“มาเก็บของแหละมั้ง เห็นบอกว่าจะย้ายเข้าไปที่เรือนหอแล้ว” ปริญผู้เป็นบิดาของศิลาและลูกศรเอ่ยออกมาอย่างไม่ได้สนใจ เพราะเขาสนใจเพียงหนังสือพิมพ์รายวันที่กำลังถืออยู่ในมือเท่านั้น
“ป๊าก็สั่งสอนเฮียศิบ้างสิคะ พี่เพลงน่าสงสารจะตายต้องนอนรออยู่ที่บ้านคนเดียวเป็นอาทิตย์ แถมยังยอมแต่งงานกับเฮียศิแม้จะรู้ว่าตัวเองจะต้องกลายเป็นหม้ายก็ตาม” ลูกศรบ่นไปตักข้าวต้มเข้าปากไปตามประสาเด็ก แต่ความคิดของเธอทำเอาปริญคนเป็นพ่อถึงกับต้องละสายตาจากหนังสือพิมพ์มามองหน้าลูกสาวตัวเองอย่างอึ้งๆ
“นี่ลูกสาวป๊าคิดดีๆแบบนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย สงสัยยัยหนูของป๊าจะโตแล้วแน่ๆเลย” ลูกศรยิ้มจนตาหยีเมื่อได้รับคำชมจากบิดา นานๆทีจะได้รับเพราะปริญเอาแต่คอยบ่นเธอตลอดเวลาที่เธอทำอะไรเกินตัว
“หึหึ หนูโตตั้งนานแล้วค่ะ แต่ป๊ายังชอบคิดว่าหนูเป็นเด็กอยู่เรื่อย…หนูไปทำงานก่อนนะคะ รักป๊าน้า จุ๊บ” ยัยหนูของทุกคนกล่าวลาพร้อมกับจุ๊บลาเป็นปกติยามที่เธอจะออกจากบ้าน วันนี้เธอไม่มีงานเลยกะว่าจะไปเยี่ยมพี่สะใภ้ของเธอเสียหน่อย
สตูดิโอคีตีกา
ร่างเล็กหอบหิ้วร่างอันผอมบางของตัวเองเดินลงมาจากรถตู้ที่ขับมาส่งเธอที่สตูดิโอพี่สะใภ้
“อ้าวลูกศรมาทำไมไม่บอกพี่ก่อน พอดีเลยคุณตฤณก็กำลังเรียนวาดรูปอยู่พอดี สองคนเคยเจอกันแล้วใช่ไหมคะ” ทันทีที่หญิงสาวเปิดประตูเข้ามาก็ได้รับเสียงต้อนรับจากเจ้าของสตูดิโออย่างเป็นมิตร
“เคยเจอค่ะ แต่ไม่ค่อยอยากรู้จักเท่าไหร่” หญิงสาวพูดพร้อมกับส่งยิ้มตาหยีให้กับคีตีกาเหมือนดั่งเคย หากแต่ว่ามีใครอีกคนที่มองเธอกลับด้วยความไม่ชอบใจนักที่เห็นเธอที่นี่
“งั้นรอตรงนี้ก่อนนะเดี๋ยวพี่ไปเอาขนมใส่จานมาให้ คุณตฤณคุยกับลูกศรไปก่อนนะคะ” ด้วยที่ว่าคีตีกาคิดว่าหมอตฤณเป็นคนเฟรนด์ลี่มากๆ จึงได้ฝากน้องสามีของตัวเองไว้กับเขาเพราะกลัวว่าจะเหงา แต่เธอช่างไม่ได้รู้อะไรเลยว่าหลังจากที่เธอเดินหายเข้าไปในครัว สองสายตาที่ประสานกันเหมือนกับว่าจะฟาดฟันกันได้นั้นกำลังต่อสู้กันด้วยความเงียบ
หลังจากที่จ้องตากันจนจะเป็นปลากัดก็กลายเป็นลูกศรเสียเองที่ทนจ้องตากับคนนิสัยไม่ดีไม่ไหว เลยเลือกที่จะหยิบโทรศัพท์เครื่องหรูของตัวเองมากดพลางอัปเดตโซเชียล
Rrrr….
“สวัสดีค่ะพี่ไฟ”
(วันนี้น้องศรจะเข้ามาที่คลับไหมครับ วันนี้มีคอนเสิร์ตศิลปินที่น้องศรชอบด้วยน้า พี่จ้างมาเพื่อหนูเลย)
“เฮียไปไหมคะ หนูขี้เกียจฟังเฮียบ่น”
(ไอ้ศิมันหายหัวไปหลายวันแล้วครับ พี่เองก็พยายามติดต่อมันอยู่เหมือนกันไม่ยอมเข้ามาทำงานปล่อยให้พวกพี่ทำงานแทนมันอยู่นี่แหละ)ไฟได้ทีก็บ่นเพื่อนออกมาจนคนฟังถึงกับยิ้มแล้วปล่อยเสียงหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ
“ได้ค่ะไว้เจอกันคืนนี้นะคะ…สวัสดีค่ะ” ลูกศรวางสายจากไฟแต่ก็ยังไม่ได้หันไปสนใจคนอีกคนที่เขามองเธอตลอดทุกการกระทำของเธอยามที่เธอคุยโทรศัพท์เมื่อกี้
“เด็กใจแตก”
ลูกศรหันซ้ายหันขวาอย่างสงสัยว่าเสียงเมื่อกี้เขากำลังว่าใคร ทว่าเธอกลับไม่เห็นใครอื่นเลยนอกจากเขาและเธอที่อยู่ในห้องด้วยกันสองคนตอนนี้ พอหันไปมองหน้าเขาดีๆก็เห็นว่าตฤณกำลังนั่งไขว่ห้างมองเธออยู่ด้วยแววตามีเลศนัย
“หมายถึงใครคะ”
“เด็กคนหนึ่งที่ใจแตกหัดเที่ยวคลับตั้งแต่เด็ก” ตฤณพูดพร้อมกับหันไปจับพู่กันระบายสีในภาพวาดด้านหน้า
“ขอโทษนะคะ หนูยี่สิบสองแล้วค่ะไม่เด็กแล้ว แล้วก็เข้าคลับได้แบบถูกต้องตามกฎหมายได้แล้วค่ะ…เป็นหมอหมาก็หัดทันโลกหน่อยก็ดีนะคะ หรือว่าอยู่กับหมามากไปหน่อยหมอเลยเลียนแบบพฤติกรรมมา” ลูกศรพูดพร้อมกับส่งยิ้มตาหยีเชิงเยาะเย้ยให้กับตฤณ ส่วนตฤณที่ได้ยินก็ถึงกับหัวร้อนจนต้องลุกขึ้นไปหวังจะเอาคืนหญิงสาว ทว่าคีตีกาดันเดินเข้ามาพอดี ทำให้ลูกศรมีสีหน้าเยาะเย้ยเขาขึ้นไปอีกขั้นอย่างผู้ชนะ
ตฤณและลูกศรเล่นสงครามประสาทกันอยู่นาน จนถึงเวลาช่วงค่ำหญิงสาวต้องกลับเพื่อไปทานข้าวกับที่บ้านได้แล้ว
“หนูไปก่อนนะคะพี่ สะใภ้ ของหนู” ยังไม่วายหันไปกระแทกเสียงเพื่อให้อีกคนได้ยินแบบชัดเจน
“กลับคนเดียวได้ใช่ไหม ทำไมไม่ให้คนขับรถที่บ้านมารับ กลับแท็กซี่คนเดียวเวลานี้พี่เป็นห่วงแย่เลย...อื้มมเอาแบบนี้ไหม คุณตฤณว่างไหมคะ ถ้าเพลงจะรบกวนให้คุณตฤณช่วยไปส่งน้องให้หน่อยได้ไหมคะ”
“ไม่ครับ/ไม่ต้องค่ะ” เสียงทั้งสองคนดังขึ้นมาประสานกันเสียงดังจนคนที่พึ่งอยากจะฝากฝังเมื่อสักครู่เริ่มมีสีหน้าตกลง
“เอ่ออ คือหนูไม่ชอบนั่งรถกับคนแปลกหน้าค่ะ”
“ผมก็ไม่ชอบให้ผู้หญิงคนอื่นมานั่งข้างๆผมครับ ยกเว้นคุณเพลง” หมอตฤณใช้คำพูดเย้ยหยันจนลูกศรต้องกัดริมฝีปากบางล่างแน่นข่มอารมณ์โกรธ
“เอาล่ะๆ งั้นเดี๋ยวพี่นั่งแท็กซี่ไปส่งลูกศรก่อนแล้วกัน แล้วพี่ค่อยนั่งกลับบ้านอย่างน้อยพี่ก็ได้เห็นเราปลอดภัย” ตฤณหันหน้าไปมองหญิงสาวด้วยแววตาไม่พอใจ ก่อนจะตวัดสายตามองค้อนให้เด็กสาวที่เอาแต่สร้างความลำบาก