ความมืดยามค่ำคืน เปลวเทียนสะท้อนประกายในดวงตาเขาให้ระยิบระยับในความรู้สึก คิดไปเองว่าดวงตาคู่นี้มีรอยยิ้ม ไม่เฉยเมยหรือมีแต่ความรำคาญเหมือนที่ผ่านมา ภาพเด็กผู้ชายที่มีแต่รอยยิ้มใจดีในดวงตาให้ฉันซึ่งรับหน้าที่ถือเค้กวันเกิดให้เกือบทุกปีถูกซ้อนทับ แม้จะเพิ่งปีสองปีที่เขาไม่ได้ทำแบบนี้ให้ แต่ความรู้สึกฉันราวกับนานแสนนาน
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูยู...” ลิต้ากับแบมร้องเพลงประสานเสียงกัน จากปกติที่ฟังเพี้ยนหู ก็กลายเป็นเพราะไปเสียอย่างนั้น
“อธิษฐานก่อนเป่านะชมพู อยากได้อะไรก็ภาวนาเอา จะขึ้นมอห้าแล้วเอาผู้ชายหล่อๆ สักคนดีไหม” แบมแซวฉัน ซึ่งแน่นอนว่าผู้ชายที่แบมหมายถึงก็คงไม่ใช่คนไกลที่ไหน ฉันมองคริส ยิ้มให้เขา ก่อนจะหลับตาอธิษฐาน ถ้าขอได้จริงๆ ก็ขอผู้ชายคนนี้แหละ...ขอมีเขาอยู่ในชีวิตตลอดไป
“กินเค้กเลยไหม” ฉันถามสองคนนั้นหลังจากเป่าเทียนดับทุกเล่ม และรับเค้กจากมือคริสมาถือไว้เอง
“เออ อยากกินของหวานละ”
“อืม เดี๋ยวตัดให้” ฉันหันไปหยิบมีดและจานในตะกร้าที่เตรียมไว้ ตัดเค้กใส่จานให้แบมกับลิต้า และของตัวเอง ส่วนของคริสถามเขาก่อนเพราะเห็นว่าเขายังกินหมูกระทะได้เรื่อยๆ อยู่
“นายกินเค้กไหมคริส” เขาหันมามองแต่ไม่ได้ตอบอะไร ฉันก็เดาๆ ว่าคงกินแหละ เลยตัดเผื่อเขาอีกจาน ซึ่งคริสก็กินทั้งของคาวของหวานสลับกันได้แบบไม่ติด
“ชมพู แม่บอกว่ากำลังออกมารับอะ” ลิต้าที่เพิ่งกลับมาคีบหมูบนกระทะปิ้งย่างต่อได้ไม่กี่คำพูดพร้อมกับทำหน้าเซ็งๆ ฉันดูนาฬิกาที่ไม่อีกกี่นาทีก็สองทุ่ม เงยหน้ามองเพื่อนอย่างเสียดายเหมือนกัน กำลังเพลินๆ
“เออ จะสองทุ่มแล้ว แกสองคนกลับเถอะ ไว้วันหลังมากินใหม่” ลิต้ากับแบมเป็นญาติกันก็คงกลับพร้อมกันเลย
“เออ เซ็งแม่ก็กะเวลาสองทุ่มเป๊ะ...โอ๊ะ พูดไม่ทันขาดคำโทรมาแล้ว” ลิต้ากดรับโทรศัพท์ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก
“มาถึงแล้วเหรอแม่ ค่ะพวกหนูอยู่สวนหลังบ้านกัน กำลังกินเนื้อย่างกันอยู่ แม่มากินด้วยไหม” คำถามนี้น่าจะตั้งใจหยอกล้อแม่ตัวเอง
“อือๆ รู้แล้วน่า เดี๋ยวเดินออกไป” ลิต้าวางสายแล้วก็หันมาบอกฉัน
“แม่จอดรถอยู่หน้าบ้านแกแล้ว”
“เออๆ ปะ ฉันไปส่งเดี๋ยวแม่รอนาน” ฉันเดินไปส่งลิต้ากับแบมซึ่งรถของคุณแม่ลิต้าเธอเอารถเข้ามาจอดหน้าตัวบ้านแล้วละ แต่ไม่ได้ลงจากรถ คงตั้งใจรีบมารีบกลับ
“สุขสันต์วันเกิดนะลูก”
“ขอบคุณค่ะคุณแม่ ขอโทษที่ดึกนะคะ ตอนแรกว่าจะไปส่งแต่นั่งกินเนื้อย่างกันเพลิน”
“ไม่เป็นไร เด็กๆ เวลาได้รวมตัวกันก็แบบนี้แหละ วันเกิดเพื่อนทั้งที เอาไว้ค่อยกินกันใหม่ก็ได้ วันหลังชมพูไปกินเนื้อย่างบ้านแบมกับลิต้าบ้างสิ” คุณแม่ลิต้าใจดี แต่ก็คงห่วงลูกสาวนั่นแหละ ไม่ได้ปล่อยให้กลับบ้านเวลาไหนก็ได้...ไม่เหมือนแม่ฉันหรอก
“คุยๆ กันอยู่ค่ะว่าวันหลังไปบ้านสองคนนี้ดีกว่า”
“มาวันไหนบอกแม่เลย แต่วันนี้แม่พาสองคนนี้กลับก่อนนะชมพู”
“ค่ะ สวัสดีค่ะ ขับรถดีๆ นะคะ”
ฉันกดรีโมตประตูให้คุณแม่ลิต้าขับรถออกจากบ้านและรอปิดเอง ก่อนจะเดินกลับเข้าไปหาคริสที่ศาลาหลังบ้าน นั่งลงข้างๆ เขาตามเดิม คีบหมูขึ้นวางพื้นว่างๆ
“กินกุ้งไหมคริส” ฉันถามขณะคีบกุ้งตัวหนึ่งขึ้นย่าง
“เธอจะกินก็เอาขึ้นย่างเถอะ”
“ไม่อะ ขี้เกียจแกะแล้ว นายกินไหมจะได้ย่างให้”
“ย่างไว้เถอะ” เขาตอบแบบไม่ใส่ใจนัก ฉันก็คีบกุ้งขึ้นย่างให้เขาสี่ห้าตัวเท่าที่พอจะมีพื้นที่ว่าง แล้วก็คีบอย่างอื่นที่กินได้ใส่จาน กินเป็นเพื่อนคริสไปพลางๆ จนเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น หยิบมาดูก็ถอนหายใจเมื่อเห็นว่าเป็นน้องชายวิดีโอคอลมา พอกดรับก็เห็นว่าอยู่ครบทั้งคนพี่คนน้อง ชาร์ลแปดขวบแล้ว ส่วนเชนเพิ่งสี่ขวบ
“พี่ชมพู แฮปปี้เบิร์ธเดย์” เชนทักมาก่อน
“อืม ไหนล่ะของขวัญ”
“ติดไว้ก่อน ไปโคราชเดี๋ยวเอาไปให้” คำตอบของน้องชายทำให้ใจโหวงๆ ขึ้นมา เพราะสองสามปีมานี้เราแทบไม่ได้เจอกันเลย แม่ไม่ค่อยได้กลับบ้าน เหมือนกับว่าเราเป็นคนละครอบครัวอย่างแท้จริง...ส่วนทางพ่อยิ่งแทบจะไม่ยุ่งเกี่ยวกัน นี่วันเกิดฉันยังไม่โทรมาหา มีแค่น้องสาววัยสิบขวบที่โทรมาคุยบ้าง ส่วนแม่ก็โอนเงินให้ตั้งแต่เมื่อเช้า
“แค่นี้น้า แฮปปี้เบิร์ธเดย์ เลิฟยู” เชนบอกก่อนที่ทั้งคู่จะพากันตัดสาย ฉันถอนหายใจ ก้มมองจานตัวเองอีกทีก็ชะงักเมื่อเห็นว่ามีกุ้งที่แกะเปลือกเรียบร้อยบนจานสามตัว หัวใจที่เหี่ยวเฉาเมื่อกี้พลันสดใสขึ้นมา ฉันยิ้ม เงยหน้ามองคริส
“นี่แกะให้เหรอ”
“อืม ถ้าจะกินก็เอาขึ้นย่างอีก”
ฉันยิ้มไม่หุบเลยละ คีบกุ้งขึ้นย่างอีกหลายตัว ถ้าคริสจะใจดีและขยันแกะให้ก็คงกินได้หมดชามนี่เลย
“คริส ทำไมวันนี้นายดู...นิสัยดีผิดปกติ” ที่จริงอยากบอกว่าเขาดูใจดีผิดปกติก็เขินปาก...คริสหันมามองฉัน คิ้วขมวดเล็กน้อย ดูไม่เข้าใจ
“ปกติฉันนิสัยไม่ดีว่างั้น”
“อือ ก็นายชอบอารมณ์เสียใส่ฉัน ทำหน้ารำคาญใส่”
“แล้วเธอทำตัวน่ารำคาญจริงไหมล่ะ” เขาย้อนมาหนึ่งคำ แล้วก็คีบหมึกเข้าปากต่อ ทำเหมือนกับมั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองพูดนั้นถูกต้องแบบไม่ต้องสืบ...ฉันก็น่ารำคาญจริงๆ นั่นแหละ แล้วยังไงล่ะ
“ฉันน่ารำคาญตรงไหน” ถึงจะรู้ตัวแต่มันก็แก้ไม่ได้หรอก ถ้าคริสยังเป็นแบบนี้อยู่ ฉันก็ต้องน่ารำคาญต่อไป คริสถอนหายใจเมินฉันด้วยการไม่ตอบ คีบกุ้งจากเตามาแกะแล้ววางบนจานฉันแบบกระแทกไปหนึ่งทีอย่างประชด ฉันกับคริสก็วนลูบแบบนี้แหละ ฉันวุ่นวายกับเขา เขาบ่น เบื่อ...แต่ก็ไม่ทิ้งฉันไปไหน หรือหากจะบอกว่าฉันไม่ยอมไปเองก็ได้ ก็ถ้าไม่ไล่จริงๆ จังๆ ก็จะอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ แหละ มุมใจดีของเขาก็ยังมีให้ใจชื้น
เสียงโทรศัพท์คริสดัง ฉันเห็นเขาหยิบขึ้นมา รูปที่ขึ้นโชว์ในเมสเซนเจอร์เป็นน้องข้าวฟ่างกระแทกตา แม้คริสจะกดตัดสายแต่ก็รีบถามเขา
“คริส นี่นายกับน้องข้าวฟ่างจีบกันจริงๆ เหรอ”
“น่ารำคาญตรงนี้ไง จุ้นไปทุกเรื่อง” แต่คริสดันไปตอบคำถามก่อนหน้า พอมาตอบในจังหวะนี้มันทำให้ใจโหวงๆ