“ไอ้ราม! มึงตอบกูมาเลยว่ามึงตั้งใจแย่งผู้หญิงกับกูใช่ไหม?” ราพณ์เดินตามพระรามแล้วถามเสียงเกรี้ยวกราด
บรรดาลูกน้องทั้งหลายเดินตามหลังเจ้านายอยู่ห่าง ๆ พอลิฟต์มาถึงก็รอให้เจ้านายทั้งสองโดยสารลิฟต์เพียงลำพังไปก่อน ส่วนพวกเขารอขึ้นลิฟต์ตัวถัดไป
เผื่อจะเปิดศึกกันในลิฟต์ จะได้ล่อกันตามสบาย
เข้มและเมฆสบตากันและต่างก็รู้ว่าความคิดของพวกเขาคงไม่ต่างกันนัก
“กูไม่ได้ตั้งใจจะแย่ง นิดเขามาหากูเอง มาหลายครั้งแล้ว กูดมดูไม่เห็นมีกลิ่นมึงติดกูก็นึกว่าเลิกกันแล้ว กูไม่ได้เหมือนมึงนะโว้ย คราวที่แล้ว ยัยแก้วน่ะ มึงแย่งกู” พระรามชายตามองอริที่จะนับว่าเป็นเพื่อนเก่าก็ได้แล้วกดปิดประตูลิฟต์
“คราวแก้วเขาก็มาหากูเองโว้ย กูไม่ได้แย่ง แล้วพอกูรู้ว่าเขาเป็นกิ๊กกับมึงกูก็เลิก แต่เรื่องนิดไม่เหมือนกัน กูให้เขาเลือก นิดไม่เลือก กูเลยมาคุยกับมึงว่าจะเอายังไง? มึงเป็นเหี้ยอะไรถึงต้องแย่งของกับกูทุกครั้ง? ตอนอนุบาลสามมึงก็แย่งหุ่นยนต์กู ตอนป.สี่มึงก็แย่งกูเป็นหัวหน้าห้อง ตอนเรียนปีหนึ่ง กูเป็นนักบาสมึงก็เสือกอยากเล่นบาสแล้วมาแย่งตำแหน่งตัวจริงกับกูอีก มึงจะเอายังไงกับกู? มึงว่ามาเลย กูไม่ไหวแล้วเนี่ย เชี่ย!” ราพณ์ระเบิดอารมณ์ออกมาทันที
“มึงพูดให้ถูก... ตอนอนุบาลสามหุ่นยนต์น่ะของกู มึงขอยืมไปเล่นแล้วกูแย่งคืน ตอนป.สี่กูไม่ได้สมัครเป็นหัวหน้าห้องโว้ย คนอื่นเสนอชื่อกู อีกอย่าง... ตอนเรียนปีหนึ่งกูตั้งใจแย่งตำแหน่งนักบาสกับมึงก็จริง แต่นั่นเป็นเพราะก่อนหน้านั้นมึงเสือกลงคัดเลือกเป็นนักฟุตบอลแล้วแย่งตำแหน่งกองหน้าไปจากกู ไอ้เหี้ย!” พระรามเริ่มมีน้ำโหขึ้นมาบ้างแล้ว ลิฟต์ก็มาถึงชั้นหนึ่งที่ตั้งของซูเปอร์มาร์เกตพอดิบพอดี
หนุ่มหล่อมาดขรึมกวาดตามองไปทั่วลานกิจกรรมหน้าซูเปอร์มาร์เก็ตและก็เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ มันโล่ง ไม่มีคนเลยแม้แต่คนเดียว คนส่วนใหญ่ที่มาก็น่าจะอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตกันหมดเพราะร้านรวงล้วนยังไม่ถึงเวลาเปิด
“มึงว่าใครเหี้ย?” ราพณ์ถามขึ้นแล้วเดินออกจากลิฟต์ไปก่อน
พระรามเดินตามอริออกไปแล้วตอบทันที
“ก็ที่ตรงนี้มีใครให้ว่าบ้างล่ะนอกจากมึงไอ้เหี้ยราพณ์! มึงอะ หัดใช้หัวคิดเสียบ้าง ถ้ากูรู้ว่านิดยังคบอยู่กับมึงกูจะเอาลงเหรอ? ถึงยักษิณีมีไม่มากแต่กูก็ไม่แย่งกับมึงแน่ ถึงกูต้องเอามนุษย์ผู้หญิงมาทำเมียก็ดีกว่าใช้เมียร่วมกับมึง!”
“ไอ้สัตว์! มึงจำคำมึงไว้เลย กูก็ไม่ใช้เมียร่วมกับมึงเป็นอันขาด กูจะเลิกกับนิด กูยกให้มึงไปเลย กูไม่เอา” ราพณ์ตะโกนออกมาทันที
“ไม่ต้องเอามาให้กู ถ้ากูรู้ว่าพวกมึงยังคบกันอยู่กูก็ไม่เอาเหมือนกัน กูเห็นมึงควงสาวไปทั่ว กูไม่คิดว่ามึงจะคบกับนิดจริงจัง แล้วอีกอย่างกูก็แค่ลองเล่น ๆ เขามีความสุข กูโอเค ก็แค่นั้น” พระรามพูดแล้วยักไหล่เหมือนไม่แยแส
ยิ่งเวลาที่ราพณ์ด่าอริแล้วเห็นฝ่ายตรงข้ามตีหน้าซื่อ ไม่เดือดไม่ร้อนเขาก็ยิ่งโมโห โมโหจนอยากจะต่อยหน้าหล่อ ๆ ของมันสักหมัด...
ผลัวะ!
เร็วกว่าใจคิด หมัดของราพณ์ถูกปล่อยออกไปซัดเข้าตรงปลายคางของพระรามเต็ม ๆ
“ไอ้เชี่ยราพณ์! มึงนี่มัน... เอาอีกแล้วนะมึง ใช้แต่แรง ไม่คุยกันดี ๆ ก่อน พ่อมึงน่าจะเติมชื่อมึงให้เต็มเป็น ‘ราพณาสูร’ นอกจากจะแปลว่ายักษ์ยังแปลว่าราบเป็นหน้ากลอง แม่งไปที่ไหนบรรลัยที่นั่น” พระรามถ่มเลือดแดงฉานลงบนพื้น เขากัดฟันทนเจ็บ ไม่ได้ร้องโอดโอยจากหมัดหนักแสนหนักของราพณ์เพราะยักษาทนความเจ็บได้มากกว่ามนุษย์หลายเท่านัก
“เชี่ยราม! ก็ดีกว่าพ่อมึง ตั้งชื่อลูกมาได้ ‘พระราม’ พ่อมึงไม่รู้เหรอว่าพระรามแม่งแผลงศรพรหมาสตร์ฆ่าทศกัณฐ์ ยักษ์เหี้ยอะไรชื่อพระรามวะ?!” ราพณ์บอกพระรามแล้วยิ้มเยาะ
“พ่อกูรู้แหละว่าพระรามฆ่ายักษ์ พ่อกูเลยตั้งชื่อนี้ เอาไว้ฆ่ามึงไงไอ้เชี่ยราพณ์!”
ผลัวะ!
คราวนี้เป็นตาพระรามปล่อยหมัดตรงเข้ากลางจมูกโด่งสวยของราพณ์ จากนั้นสองหนุ่มก็ฟัดกันนัว คนหนึ่งเตะอีกคนถีบ คนหนึ่งต่อยอีกคนก็เหวี่ยงหมัดตาม
สองหนุ่มเคยวิวาทกันตรงนี้มาก่อน น่าจะประมาณครึ่งปีมาแล้ว คราวนั้นพื้นร้าวไปหลายเมตร บริวารต้องเข้ามาจัดการคุยกับผู้จัดการซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วเรียกคนมาซ่อมแซมพื้นที่เสียหาย คราวนี้ผู้จัดการสาววัยกลางคนคนเดิมก็ออกมาเต้นเหยง ๆ แล้วร้องกรี๊ด ๆ ให้พวกเขาหยุดทะเลาะกัน
รอให้คนใดคนหนึ่งล้มลงจนลุกไม่ขึ้นค่อยหยุดก็แล้วกัน
สองหนุ่มคิดเหมือนกันจึงไม่ฟังเสียงใครหน้าไหนทั้งนั้น ยังคงส่งหมัดส่งเท้าไปประเคนให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างหนักหน่วง
พลั่ก!
ผลัวะ!
ป้าบ!
ตุ้บ!
สองหนุ่มหล่อไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเสียงหมัดและเท้าของตนกระทบร่างอีกฝ่ายและเสียงเล็ก ๆ หวาน ๆ ของใครคนหนึ่ง
“ไม่หยุดใช่ไหมคะ? หนูจะใช้กำลังแล้วนะ!”
ใช้กำลังเหี้ยไรวะ? ที่นี่คนที่จะใช้กำลังได้มีแต่กูกับไอ้รามโว้ย!
ราพณ์คิดแล้วเหลือบมองยัยตัวจิ๋วที่ส่งเสียงร้องข้าง ๆ พวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง
“ยัยจิ๋วนี่ใครวะไอ้เมฆ?! มาลากออกไปสิวะ เดี๋ยวก็โดนลูกหลงเจ็บหนักพอดี” ไอ้รามร้องบอกหัวหน้าบริวารของมัน
“ไอ้เข้ม มาเอาเด็กนี่ออกไปสิวะ เดี๋ยวก็เจ็บตัวหรอก!” ราพณ์ร้องบอกบ้าง
ถึงปากจะบอกให้บริวารลากสาวน้อยออกไปแต่ทั้งมือทั้งเท้าของพวกเขาก็ยังรัวใส่กันไม่ยั้งแต่จู่ ๆ ก็มีบางอย่างเกิดขึ้น
“หนู-บอก-ให้.... ห-ยุ-ด!!!”
ไอ้รามที่กำลังจะต่อยเขาถูกโยนตัวลอยหวือขึ้นกลางอากาศแล้วตกตุ้บลงไปกองอยู่กับพื้น บนใบหน้าหล่อเข้มเต็มไปด้วยร่องรอยของความสงสัยประหลาดใจพอ ๆ กับเขาที่ตอนนี้ถูกเตะตัดขาจนล้มลงไปนอนกองอยู่ข้างไอ้ราม
เฮ้ย! พวกกูเป็นยักษ์นะโว้ย ไม่ใช่ตุ๊กตาหมีเทดดี้แบร์ที่ตัวใหญ่แต่เบาเพราะยัดนุ่น ยักษาถึงจะตัวเท่ามนุษย์แต่ร่างกลับหนักกว่ามนุษย์ทั่วไปหลายเท่าตัว เหมือนลูกตุ้มยกน้ำหนักที่ถึงจะดูเล็กแต่ก็หนักกว่ารูปร่างมากโข แล้วทำไม...? ทำไมยัยเด็กคนนี้ถึงได้...?
ราพณ์มองหน้าสาวน้อยที่เพิ่งทุ่มไอ้รามและเตะตัดขาเขาจนล้มไปกองอยู่บนพื้นอย่างหมดท่าด้วยความงุนงง เขี้ยวยักษ์ยาวที่มักจะปรากฏออกมาตอนที่ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่หดหายกลับไปทันที
“ยัยจิ๋วนี่เป็นใครวะ?/ เด็กคนนี้.... มันเป็นใครกันวะ!?” พระรามและราพณ์ถามออกมาพร้อมกัน
ตื๊ด! ตี๊ด! ตี๊ด!
เสียงโทรศัพท์ของเข้มและเมฆสั่นขึ้นพร้อมกัน เป็นสายโทรเข้าจากนายใหญ่ของทั้งสองตระกูล พวกเขากดรับสายทันที
“ไอ้ลูกเวรของกูมันทำอะไรอยู่วะ? ทำไมไม่รับสาย? หือ? ไอ้เข้ม?” เสียงโวยวายจากปลายสายดังขึ้นมาทันที
“เออ... คุณราพณ์กำลังตีกับคุณรามอยู่ครับ แต่... ตอนนี้กำลังนอนกองอยู่บนพื้น” เข้มตอบไปตามตรง เขาชำเลืองดูเมฆ ดูเหมือนเมฆก็ตอบคำถามคล้ายกันกับเขาไปยังปลายสาย
“คุณรามกำลัง... เออ... ทำการเจรจากับคุณราพณ์โดยใช้กำลังเข้าช่วยน่ะครับ แต่ตอนนี้พักยกอยู่” เมฆเลือกใช้คำได้ดีกว่าเข้ม ยักษ์ฝั่งฤทธิ์เรืองวงศ์วางแผนทุกขั้นตอน แม้จะเป็นการสนทนาก็ต้องพูดจาให้ดูน่าฟัง ไม่เหมือนพวกลงกากุลที่ออกจะมุทะลุมากกว่า
“พวกมันตีกันอีกแล้วว่างั้น? อยู่ด้วยกันก็ดี ลากพวกมันมาทั้งคู่ เดี๋ยวกูจะส่งที่อยู่ไปให้ กูมีคนสำคัญอยากให้พวกมันเจอ” ฤทธิ์ ฤทธิ์เรืองวงศ์ส่งเสียงมีอำนาจมาตามสาย
เมฆรับคำนายใหญ่ก่อนจะกดวางแล้วเดินเข้าไปหานายน้อย
“คุณรามครับ นายใหญ่ให้พาคุณรามไปพบ บอกให้พาคุณราพณ์ไปด้วยกันเลย” เมฆแจ้งให้ผู้เป็นนายทราบ
“แต่... ยัยตัวจิ๋วคนนี้...” พระรามยกนิ้วชี้หน้าสาวน้อยที่ตอนนี้ยืนค้ำร่างพวกเขาแล้วกอดอกมองสองหนุ่มด้วยแววตาคล้ายสังเวช
“ผมเข้าใจครับว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคนจัดการพวกคุณทั้งสองคนแบบนี้ แถมยังจัดการเสียเละเทะอีกด้วย เรื่องนี้พวกเราค่อยส่งคนมาสืบหาที่มาที่ไปทีหลังได้ แต่ตอนนี้นายใหญ่ของทั้งสองบ้านต้องการเจอพวกคุณครับ” เข้มพูดเสริมขึ้นมาแล้วรีบดึงราพณ์ให้ลุกขึ้น
“เชี่ย! ฝากไว้ก่อนนะไอ้ราม เธอก็ด้วย! เด็กบ้าอะไรแรงเยอะชะมัด เป็นนักกีฬายกน้ำหนักหรือเทควันโดหรือเปล่าเนี่ย? ฝากไว้ก่อนนะยัยเด็กแสบ ทำงานที่นี่ใช่ไหม? ไอ้ราม เด็กนี่ทำงานในห้างมึงอะ มึงอบรมพนักงานยังไงวะ? เสือกให้มาทุ่มเจ้านายและเตะตัดขาเพื่อนเจ้านายได้?” ราพณ์โวยวายใหญ่
“เชี่ยราพณ์ ทีอย่างนี้เสือกนับเพื่อนกับกู ยัยตัวจิ๋วนี่แค่จะห้ามพวกเรา อย่าไปลงกับเด็ก แล้วกูก็ไม่ใช่เจ้านายเขา กูเป็นเจ้าของห้างไม่ได้เป็นเจ้าของซูเปอร์มาร์เก็ด ไปขึ้นรถกันได้แล้ว กูไปคันเดียวกับมึงเลยนะ ขี้เกียจเอารถออก” พระรามจ้องหน้ารังเรขอยู่ครู่หนึ่ง สาวน้อยตัวเล็ก แบบบางอย่างเธอไม่มีทางจะทุ่มเขาได้แน่ ๆ เธอมีพลังราวพวกยักษาแต่...
...แต่ยัยจิ๋วนี่ไม่มีกลิ่นยักษิณี ไม่มีกลิ่นมนุษย์ด้วย ทำไมกันวะ? แม่งยัยจิ๋วนี่เป็นตัวอะไรวะ?
พระรามคิด ได้แต่งุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ตอนนี้ในเมื่อพ่อเรียกตัวก็คงต้องไปก่อน
“ฝากไว้ก่อนเถอะยัยเด็กแสบ ฉันมาเอาคืนแน่ พร้อมดอกเบี้ยด้วย!” ราพณ์ชี้หน้าสาวน้อยเหมือนอาฆาตแค้นก่อนจะก้าวยาว ๆ ตามหลังเพื่อนไป
“รีบ ๆ มาเอาคืนนะคะ หนูไม่ใช่ธนาคารฝากนาน ๆ แบบฝากประจำไม่ได้หรอกนะคะคุณ!” รังเรขหัวเราะน้อย ๆ แล้วตะโกนตามหลังสองหนุ่มไป เธอยังทันเห็นพ่อหนุ่มผมยาวหน้าสวยหันกลับมาชี้หน้าเธอเหมือนมาดร้ายก่อนจะเดินหายไปพร้อมพวกพ้องของเขา
“โอ๊ย! ใจหายหมด คิดว่าจะเป็นเรื่องเป็นราว” พี่เอฟเดินเข้ามาใกล้แล้วตบบ่าเธอเบา ๆ
“สองคนนั่นใครกันคะ? เคยทะเลาะกันแบบนี้มาก่อนเหรอคะ? แล้ว... คนที่ใส่สูทเป็นเจ้าของที่นี่เหรอคะ? หนู... หนูจะโดนไล่ออกไหม?” รังเรขหันไปถามพี่เอฟ อย่างน้อยพี่คนหล่อที่ใส่สูทก็ดูจะคุยง่ายกว่าเจ้าคนที่ชี้หน้าฝากแค้นไว้กับเธอ
“สองคนนั่นเคยตีกันหน้าซูเปอร์มาแล้ว แต่ตอนนั้นพี่เพิ่งมาถึง สถานที่เละเทะหมด ไม่รู้เอาอะไรตีกันถึงพื้นยุบไปหลายเมตร คนใส่สูทชื่อคุณพระราม เป็นเจ้าของห้าง บริษัทเราเช่าห้างเขาเปิดซูเปอร์มาร์เกตเลยเคลียร์กันไม่ยาก ส่วนหนุ่มหล่อ ๆ ผมยาว เป็นเพื่อนเขา ชอบทะเลาะกันประจำ ลงไม้ลงมือกันจนเละเทะไปหมดก็หลายที แต่ส่วนใหญ่ก็มีคนตามเก็บตามกวาดให้ จ่ายเงินปิดข่าว” เอฟเล่าเท้าความให้สาวน้อยฟัง
“แต่ไม่ต้องกลัวนะ เลขไม่น่าโดนไล่ออก คุณรามอาจดูดุ ๆ แต่เป็นคนมีเหตุผล เขารู้ว่าเลขต้องห้ามก่อนที่เรื่องราวจะบานปลาย” พี่เอฟปลอบเธอต่อ
รังเรขถอนหายใจ
ถ้าเป็นแบบที่พี่เอฟว่าก็ดีน่ะสิ
สาวน้อยคิดแล้วหันหลังหมายจะกลับไปทำงานที่ค้างอยู่แต่ก็มีมือของใครคนหนึ่งสะกิดเธอที่บ่าจนเธอต้องหันไปมองเจ้าของมือ
เขาเป็นชายสูงวัยผมสีขาวดอกเลา ไว้หนวดโง้งสีเดียวกับผม สวมสูทใส่แว่นสายตา ตัวใหญ่ยักษ์ไม่แพ้พวกผู้ชายที่ก่อเรื่องกันเมื่อสักครู่
“สวัสดีครับ คุณหนูชื่อ ‘เลข’ หรือเปล่าครับ? รังเรข อารักษ์ศิลป์?” เขาถามรังเรขด้วยเสียงเต็มไปด้วยความอ่อนน้อมและใจดี
สาวน้อยเอียงคอแล้วมองหน้าชายสูงวัยด้วยความสงสัย
“ใช่แล้วเป็นยังไง? และถ้าไม่ใช่จะเป็นยังไงคะ?”
“ถ้าใช่ผมจะขอให้คุณเลขไปกับผม มีคนรอเจอคุณเลขอยู่ครับ คนที่พร้อมจะเปลี่ยนชีวิตคุณเลขให้ดีขึ้น สุขสบายขึ้น ได้เรียนหนังสือ ได้ทำในสิ่งที่คุณอยากทำ แต่หากคุณไม่ใช่คุณรังเรข อารักษ์ศิลป์ ผมก็จะปล่อยคุณให้กลับไปใช้ชีวิตจน ๆ อดมื้อกินมื้อ ไม่ได้เรียนต่อเหมือนที่เป็นอยู่” ชายชราตอบเธอแล้วยิ้มน้อย ๆ
แค่รังเรขได้ยินคำว่า ‘เรียนต่อ’ ดวงตาเธอก็วาววับเป็นประกายขึ้นมาทันที
“หนูเองค่ะ รังเรข อารักษ์ศิลป์ หนึ่งเดียวไม่มีสอง คุณตามาหาถูกคนแล้วค่ะ!”