Chapter 1
Chapter 1
“เห้ยย”
เอี๊ยดดดดด
เสียงอุทานตกใจดังขึ้นตามมาด้วยเสียงเบรกของรถที่ดังสนั่น กลิ่นไหม้ของยางรถยนต์ที่ครูดไปกับพื้นถนนยางมะตอยของเมืองไทยลอยมาเข้าจมูก
เจ้าของรถยุโรปคันสวยที่ตอนนี้หยุดนิ่งอยู่บนท้องถนนที่แทบไม่มีใครสัญจรผ่านไปผ่านมามากเท่าไหร่นัก ค่อยๆ ดึงสติแล้วเปิดประตูรถก้าวลงมาเพื่อไปดูว่าเมื่อครู่มีอะไรตัดหน้ารถเขากันแน่ ใช่คนอย่างที่เขาคิดจริงๆ ไหม
ขายาวราวกับนายแบบของปริญญ์ค่อยๆ ก้าวเดินไปยังบริเวณหน้ารถและก็ตกใจกับสิ่งที่เห็น แต่ถึงอย่างนั้นก็รีบรุดเข้าไปดูอาการคนบาดเจ็บ
“คุณ...คุณได้ยินผมไหม” เสียงทุ้มที่แฝงความเป็นห่วงของปริญญ์เอ่ยถาม แต่ผู้ประสบเหตุที่ตอนนี้อยู่ในสภาพเลือดท่วมตัวกลับทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น
“ทำใจดีๆ ไว้นะครับ คุณต้องไม่เป็นอะไร” คำพูดนี้มันทำให้คนเจ็บใกล้ตายฮึดสู้ดูอีกสักครั้ง แต่เพียงแค่ดึงอากาศเข้าปอดกลับรู้สึกปวดร้าวไปทั้งตัวและไม่กี่อึดใจก็หมดสติไปต่อหน้าต่อตาปริญญ์
“คุณ...คุณครับ” ปริญญ์พยายามตะโกนเรียกเพื่อให้ชายตรงหน้าที่บาดเจ็บสาหัสรู้สึกตัว แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจพาเขาไปยังโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด เมื่อไปถึงชายคนนั้นก็ถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉิน ส่วนปริญญ์ก็ถูกพยาบาลเรียกไปสอบถามประวัติของคนไข้ ชายหนุ่มตอบเพียงไม่รู้และบังเอิญพบเขาที่ริมถนนเท่านั้น
พอเห็นสีหน้าที่แสดงออกว่ากังวลของพยาบาล ปริญญ์จึงบอกว่าเขาจะรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมด ขอให้ทีมแพทย์และพยาบาลรักษาผู้ชายคนนั้นให้สุดความสามารถก็พอ จากนั้นก็ไปนั่งรอฟังข่าวที่หน้าห้องฉุกเฉิน กระทั่งเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น
“อยู่ไหนแล้วครับเพื่อน” เพราะเห็นว่าปริญญ์มาช้ากว่าเวลาที่บอกไว้มาก ทำให้วริชโทรศัพท์มาสอบถาม
“โรงพยาบาล”
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมนายถึงไปอยู่ที่นั่น” น้ำเสียงของคนฟังบ่งบอกว่าตกใจไม่น้อย
“พอดีเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย”
“แล้วนายเป็นอะไรมากหรือเปล่า” วริชเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงอีกครั้ง
“เราไม่เป็นไร พอดีมีคนพุ่งตัวมาจากข้างถนน เราเบรกรถไม่ทันเลยชนเข้านะ” แม้จะมั่นใจว่าชนแค่เฉียดๆ แต่ยังไงเขาก็ขับรถชนอยู่ดี จะหนีไปไม่รับผิดชอบก็ทำไม่ลง
“มิจฉาชีพหรือเปล่า”
“ไม่น่าใช่ เพราะเท่าที่ดูเหมือนจะโดนทำร้ายมาก่อนหน้านี้ คงเห็นรถเราแล้วจะเข้ามาขอความช่วยเหลือมั้ง” ปริญญ์มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ ยังดีที่ตอนนั้นเขาขับรถไม่เร็วมากนักเพราะถ้าทำความเร็วจริงๆ อาจถึงตายได้ แต่คำตอบที่ได้ยินกลับทำให้ปลายสายประหลาดใจ
“โดนทำร้ายมาก่อนด้วยเหรอ”
“อืม...เอาเป็นว่าถ้ารู้รายละเอียดอะไรเราจะเล่าให้นายฟังอีกที ส่วนเรื่องปาร์ตี้คงไปไม่ทันจริงๆ ยังไงฝากนายขอโทษโต้งมันด้วยแล้วกัน” โต้งที่ปริญญ์เอ่ยถึงคือเพื่อนสนิทในกลุ่มเดียวกันนั่นเอง
“โอเค แล้วจะมาพักที่รีสอร์ตไหมหรือยังไง”
“ไป แต่ไม่รู้เวลาจริงๆ ว่าจะเสร็จจากที่นี่กี่โมง”
“อืม...สะดวกแล้วค่อยมา” เจ้าของรีสอร์ตอย่างวริชเอ่ยบอก เพราะเขามีที่หลับที่นอนให้ปริญญ์เข้าพักได้ทุกเวลา
“ขอบใจมากวิช” ปริญญ์เอ่ยขึ้นก่อนจะกดวางสายไป ซึ่งเป็นจังหวะที่หมอเปิดประตูออกมาจากห้องฉุกเฉินพอดี เขาจึงเข้าไปสอบถามอาการบาดเจ็บของคนป่วยปริศนาคนนั้น เพราะตามเนื้อตามตัวไม่มีเอกสารแสดงตัวตนแม้แต่อย่างเดียว
และสิ่งที่ได้รู้จากปากของหมอก็ทำให้ปริญญ์ทั้งตกใจและเห็นใจ เพราะชายคนนั้นถูกยิงแต่กระสุนทะลุผ่านช่วงตัวไป ร่างกายบอบช้ำและหัวแตกจากแรงกระแทกซึ่งอย่างหลังน่าจะมาจากตอนพุ่งเข้าหารถของเขาจนถูกชนเข้า แม้ตอนนี้จะปลอดภัยแล้วแต่ก็บาดเจ็บสาหัสจนคาดการณ์ช่วงเวลาที่จะรู้สึกตัวไม่ได้ด้วยซ้ำ
“อย่าพึ่งถอดใจตายง่ายๆ ละ ไม่อยากรู้เหรอว่าใครกันที่ทำร้ายนาย” ปริญญ์เอ่ยบอกผ่านกระจกห้องไอซียูที่ชายหนุ่มปริศนาคนนั้นนอนพักรักษาตัวอยู่
และเมื่อหมดธุระจากโรงพยาบาลแล้ว ปริญญ์จึงขับรถไปที่รีสอร์ตของวริชทันที แต่เมื่อไปถึงงานปาร์ตี้วันเกิดก็จบลงแล้ว เมื่อได้กุญแจปริญญ์ก็ตรงไปยังห้องพักจากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง พร้อมกับคิดอะไรหลายๆ อย่างในหัวไปด้วย
หรือว่านี่จะเป็นทางออกที่เขารอ
ปริญญ์ได้รับอนุญาตให้เข้าไปเยี่ยมในห้องไอซียูได้ เขายืนมองคนที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงอย่างครุ่นคิดเพราะรู้สึกเหมือนจะเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน ชายหนุ่มพยายามนึกก่อนจะถึงบางอ้อในเวลาต่อมา เขารีบโทรศัพท์ไปหาเพื่อนอีกคนที่น่าจะให้คำตอบได้ ระหว่างนั้นก็นั่งไล่หารูปภายในงาน กระทั่งเจอกับรูปที่ต้องการ
“รู้แค่ว่าชื่อตุลย์ ส่วนเรื่องอื่นไม่รู้จริงๆ เพราะเด็กใหม่ที่มาวันนั้นส่วนใหญ่มาทำงานแบบพาร์ทไทม์” งานวันนั้นที่ศรุตเอ่ยถึงคืองานวันเกิดของคนที่เขาเคารพ โดยเป็นงานเลี้ยงแบบปิดที่ปริญญ์เองก็ได้รับเชิญไปด้วย
ภายในงานมีหนุ่มกล้ามแน่นเดินไปเดินมาตลอด ไหนจะเด็กๆ นักศึกษาชายที่มาทำงานหารายได้พิเศษอีกก็หลายคน เรียกได้ว่ามองไปทางไหนก็เจริญหูเจริญตาไปหมด นั่นเพราะนี่คืองานเลี้ยงเฉพาะกลุ่มของคนที่มีรสนิยมเรื่องเพศแบบเดียวกันนั่นเอง
“อย่างนั้นเหรอ” น้ำเสียงของปริญญ์บ่งบอกว่าผิดหวัง จะว่าไปการช่วยชีวิตครั้งนี้เหมือนจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้พบกับคนที่ยังนอนไม่ได้สติ
เพราะภายในงานเลี้ยงคืนนั้นคือครั้งแรกต่างหาก เหตุที่ได้เจอกันเกิดจากความสะเพร่าของเขาเพียงคนเดียว เพราะเดินไม่ระวังจนชนเข้ากับเด็กเสิร์ฟคนหนึ่งในงาน แรงชนทำให้แก้วแชมเปญบนถาดเงินที่ถืออยู่ในมือของอีกฝ่ายหกเทกระจาดเลอะเทอะ โดยเฉพาะตามเนื้อตามตัวคนถือถาดใบนั้น ส่งผลให้เสื้อเชิ้ตสีขาวเปียกปอนจนเห็นผิวกายที่ซ่อนเร้นอยู่ แต่พอเขาจะยื่นมือเข้าช่วยอีกฝ่ายกลับรีบหลบแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
“ว่าแต่ถามทำไมหรืออยากทำความรู้จักเด็กนั่น” ศรุตเอ่ยถามเพราะถ้าเพื่อนมาแนวๆ นี้คงสนใจใครสักคนเข้าให้แน่ แต่ก็ผ่านมาเกือบเดือนแล้วไม่ใช่หรือไงหรือว่าปริญญ์พึ่งอยากทำความรู้จักอีกฝ่าย
“เปล่า แค่เจอคนหน้าเหมือนเลยอยากรู้ว่าใช่คนเดียวกันไหม”
“แต่ถ้าไม่สนใจต่อให้เจอคนเดียวกันนายก็ไม่ถามถึงหรอก ว่าไหม” อีกฝ่ายเอ่ยถามอย่างรู้ทัน
“รู้มาก แค่นี้แล้วกัน” เพราะไม่อยากถูกไล่ต้อนให้เสียฟอร์มปริญญ์จึงรีบตัดสายอีกฝ่ายไปทันที เขาหรือสนใจเด็กนั่นไม่มีทางแน่นอน ที่ยื่นมือเข้าช่วยก็เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองมากกว่า