4.เจ้านายน้อยปลอมเป็นสตรี

2232 Words
ส่วนฮูหยินนั้น เมื่อเห็นคนเป็นสามีเสียอาการปานนี้ นางจึงขยับขึ้นหน้าเป็นฝ่ายพูดเสียเอง “อาฟาง เจ้าจงจำไว้ให้ดี เจ้าน่ะ แต่งงานแล้ว ตอนเจ้าอยู่ในตำหนักไฉ่หง เจ้าจงทำตัวให้เหมาะสมตามขนบธรรมเนียมประเพณีในวังหลวง อย่าทำสิ่งใดให้องค์ชายสอง สามีของเจ้าต้องขายหน้าเป็นอันขาด หมั่นเอาใจใส่ดูแลเขาให้ดี อย่าได้มีสิ่งใดผิดพลาด ห้ามเจ้าบกพร่องในหน้าที่พระชายาของเจ้า ทีนี้เจ้าจำได้แล้วใช่หรือไม่?” “เจ้าค่ะท่านแม่ ข้าจะจดจำคำพูดของท่านเอาไว้ไม่ลืมแน่เจ้าค่ะ” ร่างสูงใหญ่หมุนกายมาเผชิญหน้ากับบุตรสาวอีกครั้ง แข็งใจกล่าวสอนสั่งนาง “อาฟาง เดิมทีเจ้าไม่ได้รักสามีของเจ้า จะดีจะชั่วถึงอย่างไรองค์ชายสอง เขาก็เป็นสามีเจ้า นับจากนี้ไปเจ้าต้องใช้ชีวิตร่วมกับเขา เจ้าจงจำไว้ให้ดี ความซื่อสัตย์เท่านั้นที่จะนำพาชีวิตคู่ของพวกเจ้าให้คงอยู่ตลอดไป อย่าได้หลงลืมคำสอนของพ่อ ห้ามเจ้านอกใจสามีของเจ้าเป็นอันขาด สตรีออกเรือนแล้วหากมีใจให้ชายอื่น ชีวิตจะตกต่ำอย่างคาดไม่ถึงเชียวล่ะ เจ้าเข้าใจข้อนี้ใช่หรือไม่?” “ท่านพ่อ ข้าจะไม่ลืมคำสอนของท่านเจ้าค่ะ” “เช่นนั้น เจ้าไปเถอะ” “เจ้าค่ะ ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าขอลา” ฉีเยี่ยนฟางยอบกายคารวะบุพการีอีกครั้งก่อนจากลา นางกำนัลอาวุโสสองนางถูกส่งมาจากในวังเข้าประคองทั้งซ้ายขวา แล้วพาว่าที่พระชายาเดินออกไปจากห้องโถง ด้านหน้ามีแม่สื่อร่างท้วมปากแดงผู้นำพิธียิ้มหน้าบานเดินนวยนาดนำไปก่อนแล้วเสี่ยวซิน สาวใช้ผู้รู้ใจคุณหนูเยี่ยนฟาง นางเติบโตมาพร้อมกันตั้งแต่ยังเยาว์ มีหน้าที่ติดตามคุณหนูไปทุกหนทุกแห่ง..หนึ่งแม่สื่อสองนางกำนัลพาเยี่ยนฟางเดินออกไปพ้นสายตาผู้อาวุโสแล้ว ท่านเจ้าแคว้นฉีหันมาโอบประคองภรรยาเอาไว้กับอก ฮูหยินกอดตอบก่อนซบหน้ากับอกแกร่งของสามี ไหล่บางทั้งสองข้างสั่นสะท้านมิอาจฝืนทนกลั้นน้ำตาได้อีก "ท่านพี่" "อืม ไม่ต้องพูดแล้ว" "เจ้าค่ะ" การออกเรือนของฉีเยี่ยนฟาง นางจะได้พบเจอกับเรื่องดีหรือเลวร้ายเบื้องบนเท่านั้นที่จะรู้ได้ เยี่ยนฟางเป็นบุตรสาวที่ท่านเจ้าแคว้นฉีและฮูหยินฉีรักปานแก้วตาดวงใจ แม้ท่านทั้งสองจะมีฉีเจียลี่ และฉีอันฉี ทั้งสองเป็นบุตรชายของพวกท่าน ทว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่กลับลำเอียงเทความรักไปให้บุตรสาวมากที่สุด พวกท่านเห็นว่าเยี่ยนฟางเป็นหญิงอ่อนแอไร้พิษสงกับผู้อื่น ไม่เหมือนเจ้าลิงทะโมนคนน้องใครก็อย่าหวังรังแก ตรงข้ามล่ะไม่ว่า เจ้าเด็กเหลือขอฉีอันฉีนั้น มิเพียงไม่ถูกคนรังแก เขากลับเป็นฝ่ายรังแกคนอื่นเสียมากกว่า อีกทั้งสร้างเรื่องให้บุพการีปวดหัวได้ไม่เว้นแต่ละวัน ส่วนฉีเจียลี่ในฐานะบุตรคนโต เขาจำต้องแบกรับความหวังของคนสกุลฉีไปโดยปริยาย พี่ใหญ่ของบ้านเพิ่งจบการเรียนในสำนักเขียนอักษรมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในแคว้นฉี อีกทั้งเพื่อเป็นการหาประสบการณ์ก่อนรับตำแหน่งเจ้าแคว้นฉีคนต่อไป คนเป็นบิดาได้วางแผนเอาไว้ล่วงหน้า เขาคิดจะพึ่งพาเส้นสายที่พอมีอยู่บ้างในวังหลวง ฝากเจียลี่เข้าไปรับตำแหน่งเสนาบดีเล็กๆ สักตำแหน่ง ฉีอันฉีน้องเล็กสุดกลับได้รับอิสระอย่างเต็มที่ เมื่อบิดามารดามิได้คาดหวังใดๆ จากเขา ขอเพียงเจ้านั่นอยู่อย่างสงบก็พอแล้ว ข้อนี้นับเป็นข้อดีสำหรับเจ้าเด็กซุกซนที่ทุกคนต่างเอือมละอา ถึงขั้นขนานนามเขาว่าเด็กเหลือขอ ทว่านายน้อยหาได้มีความริษยาไม่ แม้ไม่ได้อยู่ในสายตาบุพการีเช่นพี่ๆ ก็ตาม ..ว่าที่พระชายาขององค์ชายสองหรือองค์ชายอิ้งเยว่ มาถึงเกี้ยวหลังใหญ่สีแดง ที่รอท่าอยู่ลานหน้าเรือนหลังใหญ่นานแล้ว ร่างบางหยุดชะงัก มิได้ก้าวขาขึ้นไปนั่งเกี้ยวในทันที เมื่อมีเสียงใครบางคนเรียกขานนามของนางเอาไว้ทางเบื้องหลัง “อาฟาง อาฟาง” เสียงนี้ช่างคุ้นหูนัก เจ้าของนามอาฟางรีบหันหน้ามา เมื่อรู้ว่าที่แท้ก็เป็นพี่ใหญ่นี่เอง ฉีเยี่ยนฟางยิ้มเกลื่อนหน้า “พี่ใหญ่” ฉีเจียลี่มีรูปร่างสูงเพรียว เป็นบุรุษที่ดูออกจะผอมบางไปสักหน่อย ทว่าก็ยังดูหล่อไม่น้อย เขาเร่งสาวเท้าวิ่งมาแต่ไกล พอเข้าใกล้น้องรักก็รีบโกยอากาศเข้าปอด หอบหายใจแฮกๆ ก่อนหยุดยืนตรงหน้าน้องสาว เขายื่นมือมากุมมืออีกฝ่ายเอาไว้ “ข้านึกว่าจะมาไม่ทันอวยพรเจ้าเสียแล้ว” “พี่ใหญ่ ท่านรีบร้อนถึงเพียงนี้ ท่านไปไหนมารึ” พูดพลางเอาผ้าเช็ดหน้าในมือนางช่วยซับเหงื่อบนหน้าผากพี่ชาย เมื่อเห็นว่าเหงื่อแห้งดีแล้ว นางชะเง้อคอมองทางเบื้องหลังฝ่ายตรงข้าม ส่วนลึกคาดหวังว่าจะได้เห็นใครอีกคนวิ่งตามพี่ใหญ่มา อย่างน้อยฉีอันฉีควรมาส่งนางบ้างสิ ฉีเจียลี่เอี้ยวตัวหันมองตามสายตาเยี่ยนฟาง “เจ้ามองหาอันอันรึ?” นางพยักหน้าเป็นคำตอบว่าใช่ พี่ชายจึงพูดต่อ “เจ้าอย่ามองอีกเลย อันอันเจ้าเด็กซนคนนั้น ข้าไม่เห็นเขาตั้งแต่เช้าแล้ว ป่านนี้ไม่รู้รวมหัวกับอาถิงไปสร้างเรื่องอะไรไว้ที่ไหนอีก เจ้าเด็กไม่ประสาคนนี้นี่นะ ช่างไม่รู้จักเวล่ำเวลา อย่างน้อยเขาควรคิดถึงเจ้าบ้างสิ” พูดพลางส่ายหัวอย่างปลงตก ก่อนเหลือบมองหน้าเยี่ยนฟาง อีกฝ่ายน้ำตากำลังจะไหลแล้ว ทำให้คนพูดไม่คิดนึกขึ้นได้ ที่แท้เขากำลังพูดให้อีกฝ่ายน้อยเนื้อต่ำใจหรือนี่ เจ้าเด็กเหลือขอเมินเฉยต่อพี่สาวตัวเองได้อย่างไรกัน.. ทั้งที่พี่สาวกำลังจะจากไปแท้ๆ ไม่รู้เมื่อไหร่ถึงจะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้า “อาฟาง อาฟาง เจ้าอย่าร้องไห้สิ วันนี้เป็นวันมงคลของเจ้านะ อันอันก็เป็นเช่นนี้ เจ้าอย่าได้ถือสาเขาอีกเลย” “ช่างเถอะๆ เจ้าเด็กดื้อคนนั้น ข้าไม่ถือสา” นางกลั้นน้ำตาไว้ได้ทัน “พี่ใหญ่ ท่านมีอะไรจะให้ข้าใช่หรือไม่” นางเห็นเขาซ่อนสิ่งของบางอย่างไว้ข้างหลังตั้งแต่แรก “อะอ๋อ นี่น่ะหรือ” เขาชูกล่องรูปทรงสี่เหลี่ยมสีกำมะหยี่ให้นางดู ขนาดกล่องนั้นเหมาะมือไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ สิ่งของในกล่องไม่แคล้วเป็นประเภทงานฝีมือจำพวกเย็บปักถักร้อยนั่นเอง พี่ใหญ่โปรดปรานงานฝีมือชนิดนี้มาแต่ไหนแต่ไร "ส่งมาให้ข้าสิ" นางยิ้มรับอย่างเต็มใจ เขายื่นให้เช่นกัน “เป็นของขวัญเล็กน้อยจากข้าน่ะ รอให้ถึงตำหนักไฉ่หง เจ้าค่อยเปิดดูก็แล้วกัน” นางรับกล่องมาจากเขา “พี่ใหญ่ ข้าจะไปแล้ว ข้าหวังว่าท่านจะช่วยดูแลท่านพ่อท่านแม่แทนข้า อีกทั้งอันอัน ได้โปรดดูแลเขาให้ดีๆ” แม้ฉีอันฉีจะซุกซนเกินไปสักหน่อย แต่เขาก็คือน้องชายนาง ความซุกซนของเขามักนำพาความเดือดร้อนมาให้ตัวเองอยู่ร่ำไป จึงไม่แปลกที่ฉีเยี่ยนฟางจะห่วงใยน้องชายเป็นพิเศษ “อันอันเป็นน้องชายข้าเช่นกัน ข้าย่อมดูแลเขาให้ดีอยู่แล้ว ว่าแต่เจ้าเถอะ อาฟาง อยู่ในวังหลวงเจ้าไม่มีผู้ใดให้พึ่งพา หากองค์ชายอิ้งเยว่ผู้นั้นทำไม่ดีต่อเจ้า เจ้าก็รีบบอกข้านะ พี่ใหญ่ของเจ้าจะไปแก้แค้นแทนเจ้าเอง!” ว่าแล้วก็ตบผางบนอกของเขา “พี่ใหญ่ ท่านจะไปแก้แค้นแทนข้าจริงรึ?” นางหรี่ตาเอียงคอถามอย่างหยอกเย้า หลายปีมานี้เท่าที่นางเคยเห็นมา นับตั้งแต่จำความได้ ฉีเจียลี่ไม่เคยสู้คนแม้ถูกคนอื่นรังแก ผิดกับฉีอันฉีเจ้าเด็กหัวแข็งคนนั้น หากใครกล้ามารังแกพี่น้องล่ะก็ เป็นต้องออกหน้าเอาคืนร้อยเท่า “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว หากองค์ชายสองเจ้าสำราญผู้นั้น กล้ารังแกน้องสาวข้า ข้าไม่ปล่อยเขาไว้แน่” ฉีเจียลี่ไม่พูดเปล่า ทั้งออกหมัดชกลมประกอบกับแสดงสีหน้าแววตาดุดันราวอยากฆ่าคนต่อหน้าฉีเยี่ยนฟาง ทว่าอีกฝ่ายกลับเอามือป้องปากหัวเราะหิหิอย่างชอบอกชอบใจ แล้วช่วยพูดส่งเสริมเขา “ใช่ๆ พี่ใหญ่ ท่านเก่งที่สุดเลย ใครก็อย่าหวังสู้กับท่าน” “ทีนี้เจ้ารู้แล้วนะ พี่ชายของเจ้าแข็งแรงที่สุด ใครก็อย่าหวังรังแกเจ้าต่อหน้าข้า” เขายกแขนขวาขึ้นโชว์กล้ามขนาดไม่ใหญ่นัก เพื่อเป็นการการันตีว่าเขานี่แหละแข็งแรงที่สุด พร้อมจะปกป้องน้องสาวหากถูกสามีรังแก “ใช่ๆ ใครก็อย่าหวังรังแกข้า ต่อหน้าท่าน” ขณะพี่น้องหัวเราะเย้าหยอกอย่างมีความสุขนั้น นางลืมไปว่ามีคนอื่นรออยู่ ทหารชั้นประทวนนายหนึ่งก้าวเข้ามา ประสานมือคารวะว่าที่พระชายาแล้วกล่าวว่า “พระชายา ถึงเวลาเคลื่อนขบวนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หากมัวชักช้าไปกว่านี้อีก เกรงว่าอาจล่วงเลยเวลาฤกษ์งามยามดีที่ทางฝั่งวังหลวงกำชับเขามา หาไม่แล้วคนคุ้มกันขบวนเช่นเขาอาจรับผิดชอบความผิดพลาดนี้ไม่ไหวเป็นแน่ “เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว” เยี่ยนฟางผินหน้ามาเอ่ยวาจากับทหารอาวุโสผู้นั้น ฉีเจียลี่เอื้อมมือตบบ่าน้องสาวสองครั้งเบาๆ “อาฟางน้องพี่ รักษาตัวด้วย หากวันหน้าเจ้ามาเยี่ยมบ้านอีก พี่ใหญ่ของเจ้าต้องเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ไว้ให้เจ้าแน่” “พอแล้วพี่ใหญ่ ข้าขอขอบคุณท่านเจ้าค่ะ” นางยอบกายคารวะพี่ชายนาง เขาประสานมือคารวะตอบ จากนั้นฉีเยี่ยนฟางหมุนตัวหันหลังให้พี่ชาย ฉีเจียลี่โบกมืออำลาน้องสาวเป็นครั้งสุดท้าย พอนางเตรียมจะก้าวเท้าขึ้นเกี้ยว ก็มิวายมองหาน้องชายตัวดีซ้ำอีกรอบ ทว่ากลับไม่เห็นแม้เงาของเขา นางปฏิเสธมิได้ว่ารู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง พลางพูดกับตัวเองในใจว่า ‘เอาไว้วันหน้า หากข้ามาเยี่ยมบ้านสกุลฉีพร้อมสามีของข้า ค่อยพบหน้าเจ้าก็แล้วกัน อันอันน้องพี่’ “พระชายา เชิญขึ้นเกี้ยวเพคะ” เสี่ยวซินช่วยเอ่ยปากเร่งอีกแรง เมื่อเห็นสีหน้าคนในวังมิสู้ดีนัก เพราะพวกเขารอคอยการเคลื่อนขบวนนานแล้ว พวกเขาล้วนราวกับกลืนยาขมไปตามๆ กัน ใบหน้างดงามแต้มชาดจัดจ้านสมเป็นเจ้าสาวผงกศีรษะรับทราบ ก่อนก้าวขาขึ้นไปนั่งในเกี้ยวสีแดงหลังใหญ่ พอนั่งลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ม่านเกี้ยวถูกดึงมาปิดเอาไว้ด้วยมือแม่สื่อผู้นำพิธี จากนั้นเมื่อทั้งหมดพร้อม เกี้ยวเจ้าสาวถูกทหารแปดนายยกหวือลอยขึ้นเหนือพื้นอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นยกขึ้นแบกใส่บ่าเตรียมเคลื่อนขบวน.. เหล่านางกำนัลจำนวนหลายสิบนางเดินเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบโดยแบ่งเป็นสองแถวซ้ายขวาดังเดิม เครื่องดนตรีหลากชนิดเริ่มประโคม โดยมีปี่เป่านำขบวน นางกำนัลผู้หนึ่งเดินอยู่ท้ายแถว นางมีบุคลิกเก้งก้างดูเซ่อซ่าผิดวิสัยนางกำนัลที่ถูกอบรมมาเป็นอย่างดีจากราชสำนักยิ่ง ทั้งยังเผลอไปเหยียบส้นรองเท้านางกำนัลที่เดินอยู่ข้างหน้าเข้าให้ นางกำนัลผู้นั้นเอี้ยวตัวหันกลับมามองทันใด นางขมวดคิ้วเรียวแล้วถามว่า “เจ้ามาใหม่รึ? ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อนเลยนี่” นางกำนัลมาใหม่พยักหน้าหงึกหงัก ท่าทีพิลึกพิลั่น ไฉนนางผู้นี้เอาแต่หลบหน้าอยู่ใต้ผ้าผืนบางที่นางจงใจยกมันขึ้นมาปกปิดอยู่ร่ำไปเล่า นางกำนัลคนเดิมถามอีกว่า “เป็นอะไรไป ไฉนเอาแต่หลบหน้าข้าล่ะ” “พี่สาว ข้าไม่ได้เป็นอะไรเจ้าค่ะ ข้าเพียงแต่รู้สึกร้อนเท่านั้น ข้าแพ้แสงแดดเจ้าค่ะ” ฉีอันฉีพยายามดัดเสียงให้เล็กแหลมคล้ายเสียงสตรีที่สุด อ้างว่าร้อนเพื่อให้ดูสมเหตุสมผลที่เขาเอาแต่ซุกหน้าหลังผ้าผืนบางในมือ เขาจำต้องพูดปดตอบโต้แม่นางคนนั้นไปก่อน หาไม่แล้วหากอีกฝ่ายล่วงรู้ เขาคือบุรุษมิใช่สตรีดังกล่าวอ้าง แล้วโวยวายขึ้นมา มีหวังจบเห่กันพอดี บุรุษปลอมตัวมาอยู่ในกลุ่มนางกำนัล โดยเฉพาะนางกำนัลฝ่ายในมิอาจพ้นโทษตาย เช่นนี้หนุ่มน้อยจำต้องเอาตัวรอดไปก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลังเถิด “เช่นนั้นเจ้าก็รีบๆ เดินเถอะ ระวังด้วย อย่าเผลอเหยียบเท้าข้าอีกล่ะ” “ขอบคุณพี่สาวที่ตักเตือนข้าเจ้าค่ะ"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD