ก็ว่าอยู่

1710 คำ
ภาพองค์ชายเจ้าหยางหลงทรงเกี่ยวข้าวอยู่กลางทุ่งนาถูกนำไปกราบทูลแก่ฮองเฮาเจ้าเฟิ่งเซียนแฝดผู้น้องทันที คำสั่งที่ตามมาก็คือให้จับตาดูเจ้าหยางหลงไว้อย่าให้คลาดสายตาเป็นอันขาด ทุกความเคลื่อนไหวจะต้องถึงหูของฮองเฮาทุกเรื่อง องครักษ์ผู้นั้นก็รับปากเป็นอย่างดี ๑------------------------๑ วันเดินทางไปยังสำนักสงฆ์หรืออารามอินชง ม้าหนุ่มตัวสีน้ำตาลสองตัวถูกผูกไว้เพื่อรอสตรีตาบอดในยามเฉิน(07.00) เจ้าหยางหลงนั่งจิบชามองท้องนาที่เมื่อวานเขายังยืนเกี่ยวข้าวท่ามกลางแสงแดดจนรู้สึกว่าตนเองใบหน้าดำคล้ำ แต่หาใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขาไม่จะว่าไปเจียวหนิงอันช่างเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยมจริงๆ อาหารแปลกๆที่นางทำล้วนถูกปากเขาทุกสิ่งถ้าไม่ติดว่านางตาบอด ? เขามั่นใจว่านางจะต้องมีชายหมายปองมากมายเป็นแน่....เอ ก็ดีแล้วที่นางตาบอดจนมาเจอกับเขา...หึหึ ความสงสัยเรื่องดวงตายังคงมีแต่ยามนี้ควรพักไว้ก่อน ครืด!! เสียงเปิดประตูบ้านทำให้คนที่นั่งจิบชารอหันไปมอง เจียวหนิงอันในชุดสีเขียวอ่อนทาบทับเสื้อสีขาวตัวใน บนใบหน้ายังคงมีผ้าปิดตาสีขาวเดินออกมาพร้อมถาดอาหาร “มาข้าช่วย” เจ้าหยางหลงลุกขึ้นไปยกถาดใส่สำรับจากมือนางที่มี ‘ข้าวต้มหมู’ หอมกรุ่นชามใหญ่ มันน่าทานจนเขาอดลอบกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้ อึ่ก! เจียวหนิงอันมองเห็นบุรุษคมคายในชุดสีน้ำเงินรางๆก็อมยิ้ม พลันนึกไปถึงภาพที่เจ้าหยางหลงล้มลงเปื้อนโคลนกลางทุ่งนาเมื่อวันก่อนทำให้นางแอบหัวเราะตามหลังจนถึงโต๊ะไม้กลมด้านหน้า “หัวเราะสิ่งใดรึ?” คนฝึกวรยุทธ์หูดีกว่าคนธรรมดาถามขึ้นมาเมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ “เปล่า..แค่ดีใจที่จะได้เจอกับบิดา” “เลยหัวเราะ?” ทำหน้างง “เป็นเช่นนั้น” นั่งลงตรงกันข้ามโดยที่ไม่มีการกระทบกระทั่งกับของรอบกายเลยสักนิด เป็นภาพที่เจ้าหยางหลงเห็นมาจนชินแล้ว ทั้งคู่ต่างรับสำรับกันอย่างไม่เร่งรีบเพื่อรอคนนำทางที่นัดกันไว้ว่าจะมาที่นี่ในอีกสองเค่อ สัมภาระต่างๆถูกเตรียมไว้พร้อมสรรพบนหลังม้าแล้วตั้งแต่เมื่อวานด้วยฝีมือของฟงอีองครักษ์คนสนิทที่จะร่วมควบม้าเคียงข้างองค์ชายเจ้าหยางหลงไปด้วย สาเหตุที่เจ้าหยางหลงไม่ใช้รถม้าเป็นเพราะว่าต้องการย่นระยะเวลาให้สั้นลงกว่าเดิมตามที่เจียวหนิงอันต้องการ เหตุที่ต้องเร่งรีบเดินทางเพราะมันคือวันที่ท่านพ่อได้สัญญาเอาไว้ว่าท่านจะกลับมาอยู่ที่กระท่อมปลายนาในวันเกิดอายุครบยี่สิบเจ็ดปี นี่เป็นครั้งแรกที่นางจะได้พบหน้ากับท่าน..ที่อยู่เพียงในความทรงจำมาตลอดจนถึงตอนนี้ เมื่อทราบว่าอีกไม่กี่วันจะถึงวันเกิดอายุครบยี่สิบเจ็ดปีของนางก็ทำให้เจ้าหยางหลงแอบคิดคำนวณในใจแล้วพบว่า ‘นางอายุมากกว่าตนถึงสิบเอ็ดเกือบสิบสองปี’ ถ้าเป็นสตรีคนอื่นตัวเขาก็คงจะเรียกว่าท่านน้าแล้วกระมัง...แต่นี่คือหนิงอัน ‘สตรีที่เขาควรละเว้น’ กุบกับๆๆ กุบกับๆ เสียงควบม้าดังขึ้นไม่ไกลเรียกสายตาให้คนมองเห็นและมองไม่เห็นหันไปมองได้เป็นอย่างดี “พร้อมกันหรือยังแม่นางเจียว” ท่านลุงผู้นำทางคือคนที่มาช่วยเกี่ยวข้าวเมื่อสองวันก่อนนั่นเอง ‘ท่านลุงฉี’ “เจ้าค่ะท่านลุง” เจียวหนิงอันลุกขึ้นยืน รอเจ้าหยางหลงนำสำรับไปเก็บไว้ด้านหลังเพียงครู่ ก็กลับมาปิดประตูกระท่อมโดยมีทหารทั้งหญิงและชายคอยเฝ้าไว้อยู่แล้วอย่างไร้ความกังวล “มาเถิดหนิงอัน” เจ้าหยางหลงแตะข้อศอกของนางให้เดินตรงไปยังม้าตัวใหญ่ที่องครักษ์ฟงอีจูงมารอท่า ในใจสตรีนึกหวาดหวั่นเพราะตนเองนั้นขี่ม้าไม่เป็นแต่จะให้นั่งรถม้าเดินทางไป ท่านลุงฉีกลับบอกว่ามันใช้เวลานับสิบวันกว่าจะเดินทางไปถึง มิสู้ควบไปเองยังจะดีกว่า นางจึงไร้คำคัดค้านและเมื่อเดินเข้าไปใกล้ม้าตัวนั้น....นางก็รู้สึกว่าร่างกายตนเองลอยขึ้นสูง ฟุ่บ!!! “ว๊าย!!” สตรีตัวน้อยถูช้อนอุ้มขึ้นควบม้าที่มีผ้าหนาๆรองบนหลัง สองมือบางรีบจับแผงคอม้าอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าตนจะตกลงมา ฟุ่บ!! เสียงคนขึ้นม้าซ้อนด้านหลังของนางพร้อมกับยื่นมือมาจับสายบังเ**ยน แผ่นหลังสตรีแนบชิดอกอุ่นราวกับเกราะคุ้มกันชั้นดี เจียวหนิงอันรู้สึกตัวพลันร้องค้านเสียงดังลั่น “เจ้าลงไปนะหยางหลง ม้ามีถึงสองตัวใยเจ้าไม่ไปนั่งตัวนั้นเล่า!!” ก้มตัวไปข้างหน้าอย่างไม่อยากจะถูกตัวบุรุษรุ่นเยาว์กว่า “ไม่ไป นั่นมันม้าของฟงอี” พูดเสียงราบเรียบ “แต่ว่า..” “รึหนิงอันขี่ม้าเป็น?” “_” เป็นที่ไหน...แต่ไร้คำพูด “ถ้าเป็น จะขี่เองก็ได้นะ” เจ้าหยางหลงปล่อยสายบังเ**ยนทำท่าจะลงจากม้า เขารู้ว่านางไม่มีทางควบม้าเป็นเพียงแต่เขากำลังลองใจนางว่านางจะทำเช่นไร หมับ!! มือบางรีบจับแขนของบุรุษเอาไว้..เสียงตอบของนางดังอ้อมแอ้มๆ “ขี่ไม่เป็น” “ข้าก็คิดอยู่” มือแกร่งดึงรั้งคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าให้ขยับเข้ามาพิงอกตนเองดีๆ “เกาะแขนข้าไว้แน่นๆด้วยเล่า” กระซิบชิดใบหูเล็กแดงก่ำพร้อมหันมองลุงฉี “เดินทางเถิดขอรับเสียเวลามามากแล้ว” “อืม เช่นนั้นก็ไปกันเถิด” ลุงฉีเริ่มควบม้าออกเดินนำไป ตามติดด้วยเจ้าหยางหลงที่มีสตรีปิดตานั่งอยู่ด้านหน้าและฟงอีควบม้าแบกถุงเสื้อผ้ากับของใช้อยู่ด้านหลัง รอบๆบริเวณยังคงได้ยินเสียงเงามากมายพริ้วกายคอยติดตามอารักษ์ขาไม่ห่าง เพียงแค่ครึ่งวันเท่านั้น เจียวหนิงอันที่นั่งในท่าเดิมมาตลอดทางถึงได้รู้ว่าตนเองนั้นคิดผิด อาการปวดเมื่อยเนื้อตัวทั้งที่นั่งพิงอกเจ้าหยางหลงมาตลอดทำให้นางผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น คนตัวใหญ่แต่อ่อนวัยกว่าได้แต่ส่ายหน้าและสงสารเพราะอย่างไรนางก็เป็นเพียงสตรีไร้วรยุทธ์หาใช่สตรีที่หาญกล้าไปเสียทุกเรื่องเฉกเช่นเจ้าเฟิ่งเซียนแฝดผู้น้องของตน สามบุรุษต่างวัยควบม้ามาไกลมองเห็นโรงเตี๊ยมอยู่รำไรในระยะหนึ่งลี้ เจ้าหยางหลงจึงสั่งให้ทุกคนพัก “หนิงอัน” เขย่าแขนเรียกสตรีตาบอดผู้บอบบางในท่าหลับคอเอียง “หนิงอันตื่นก่อน” “อืม..ม” คนงัวเงียส่งเสียงน่ารักในลำคอตรงหน้าอกแกร่งก่อนจะเริ่มรู้สึกตัว “หนิงอัน” ☺️☺️ ‘น่ารักจริงๆ’ “ถึงแล้วใช่หรือไม่” นางแหงนหน้ามองถามคำถามด้วยปากสีชมพูจิ้มลิ้ม ดวงตาปกปิดด้วยผ้าบางดูน่าค้นหา แววตาใต้ผ้าบางคล้าย ๆสั่นไหวแต่เห็นได้ไม่ชัดเจน ใจบุรุษเต้นแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุ…เต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นกับผู้ใดมาก่อน มือแกร่งโอบรัดแผ่วเบาตรงเอวบางของสตรีตรงหน้า ลูบวนขึ้นลง มองกลีบปากเล็กจิ้มลิ้มคล้ายๆเชิญชวนให้เข้าหา ชั่วขณะหนึ่งในสำนึกสั่งการว่า ‘เขาชมชอบนาง’ มันชัดเจนขึ้นอย่างน่าตกใจแรงดึงดูดมหาศาลทำให้เขาเผลอก้มหน้าลงต่ำ..ต่ำลงเรื่อยๆและมอบจุมพิศแผ่วเบาบนริมฝีปากบางล่อตานั้น จุ๊บ! “อ้ะ!!” เจียวหนิงอันสะดุ้งรีบถอนใบหน้าออกห่างและหันหน้ากลับไปมองข้างทางทำท่าเงอะงะ นางหันซ้ายหันขวาราวกับว่าตนเองมองเห็นผู้คนโดยรอบทั้งๆที่มีผ้าปิดตาอยู่ กิริยาน่ารักทำให้ฝ่ายบุรุษอดไม่ได้ “หึหึ” ปล่อยเสียงหัวเราะในลำคอเหนือศรีษะเล็ก “ริมฝีปากเจ้านุ่มนิ่มยิ่งนักหนิงอัน” กอดรัดเอวแน่งน้อย…อย่างสำราญ “ปล่อยข้านะ!! เจ้าล่วงเกินข้า พาข้าลงไปด้านล่างเดี๋ยวนี้เลย” น้ำเสียงแง่งอนปนเขินอาย ใจนางอยากจะทุบตีบุรุษด้านหลังให้ทรุดลงไปกองกับพื้นเสียเดี๋ยวนั้นถ้าไม่ติดว่านางตัวเล็กและไร้กำลังวังชาอีกทั้งยังอยู่ในคราบสตรีตาบอดอีกด้วย มองอย่างไรก็เสียเปรียบ เรื่องบนหลังม้าเมื่อครู่เจียวหนิงอันรู้..ว่าใครๆก็ต้องเห็น ‘อับอายยิ่งนัก’ “ล่วงเกินแล้วอย่างไร..ข้าพร้อมรับผิดชอบเจ้าอยู่แล้ว” ฟุ่บ!!! กระโดดลงจากม้า อ้าแขนรอสตรีตัวน้อยอยู่ด้านล่างที่ทำท่าไม่คล้ายคนตาบอดเลยสักนิด นางยื่นมือไปให้เขาจับอย่างลืมตัวก่อนจะปล่อยให้เขาอุ้มลงมายืนบนพื้นจับจูงกันไปยังด้านหน้าโรงเตี๊ยม “ฮ่องเต้เพ่ยหานหรงเคยกล่าวกับข้าว่าหากพบเจอสตรีที่ทำให้ใจเต้นแรงก็แสดงว่านางคือคนที่ใช่” หันมองสตรีด้านข้าง “อย่างที่พระองค์ว่า..หากไม่พานางมาอยู่ใกล้ตัวและครอบครองนางเสีย วันหน้าหากข้าเสียนางไปก็ไม่พ้นต้องเสียใจไปตลอดชีวิต...ซึ่งข้าก็คิดว่ามันถูกแล้ว” เดินไปนั่งยังโต๊ะที่ฟงอีเตรียมไว้ “หนิงอันคิดเห็นอย่างไร” ยิ้มหวานแม้จะรู้ว่านางไม่เห็น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม