“เฟลิเซีย! ยาคอป! กลับมาแล้ว!”
โทมัสตะโกนเรียกผู้เป็นภรรยาและลูกชาย ในขณะที่เปิดประตูบ้านตามปกติ
“พ่อฮะ!”
ยาคอปวิ่งออกมาจากห้องครัว ก่อนจะโผกระโดดกอดผู้เป็นพ่อด้วยความคิดถึง
“โอ้โห! พ่อไม่อยู่บ้านแป๊บเดียว ลูกดูตัวใหญ่ขึ้นนะเนี่ย”
โทมัสพิงปืนไว้กับผนังบ้าน ก่อนจะอ้าแขนกอดยาคอป แล้วอุ้มผู้เป็นลูกชายขึ้นมา
“ยินดีต้อนรับกลับนะคะที่รัก~”
เฟลิเซียเดินตามออกมาติดๆ
“ช่วงที่พ่อไม่อยู่ ผมหาเพื่อนได้เยอะเลยฮะ ตอนไปทำกิจกรรมที่เมืองฮัมบูร์กก็ได้เพื่อนต่างโรงเรียนด้วย!!”
ยาคอปพูดอวดผู้เป็นพ่อเสียงเจื้อยแจ้ว
“เก่งมากลูกชายของพ่อ~”
โทมัสหอมแก้มลูกชายฟอดใหญ่ จนเด็กน้อยหัวเราะคิกคัก เพราะรู้สึกจั๊กจี้
“หน่วยของคุณได้กลับมาปรับกำลังเหรอคะ? หรือว่าคุณได้รับบาดเจ็บ!!”
เฟลิเซียเอ่ยถามผู้เป็นสามี เพราะในยามสงครามแบบนี้ ถ้าหากไม่ใช่การที่หน่วยทหารกลับมาปรับกำลังในแผ่นดินแม่ ก็คงจะเป็นการได้รับบาดเจ็บจากสงครามจนต้องพักฟื้นชั่วคราว
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่างเลย…หน่วยของผมถูกสั่งให้เตรียมพร้อมสำหรับการรบครั้งใหม่น่ะ”
โทมัสพูดกับภรรยา พลางวางตัวของยาคอปลง
“รบ? คุณกำลังจะบอกว่าเยอรมนีกำลังจะเปิดแนวรบใหม่อย่างนั้นเหรอคะ?”
เฟลิเซียอุทานอย่างตกใจ เมื่อรู้ว่าพวกเบื้องบนกำลังจะทำในสิ่งที่จะนำหายนะมาสู่ประเทศ
“เย้! สงคราม! การต่อสู้! พ่อจะได้ยิงพวกข้าศึกอีกแล้ว!”
ยาคอปตะโกนออกมาตามประสาเด็กน้อย
“ใช่แล้วล่ะ…”
โทมัสถอนหายใจยาวๆ ออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ
เพราะลำพังแค่การยึดครองยุโรปทางทิศตะวันตกทั้งหมด ยังเป็นงานยากสำหรับกองทัพเยอรมันและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่จะดูแลได้อย่างทั่วถึง
ยังไม่นับสมรภูมิรบในแอฟริกาเหนือที่กำลังขับเคี่ยวกับพวกฝ่ายอังกฤษและกองทัพฝรั่งเศสที่หลบหนีไปได้ทันอีก เพราะในตอนนี้สมรภูมิที่นั่นราวกับนรกชั้นยอดที่พร้อมจะคร่าทุกชีวิตได้ทุกเมื่อ
“คุณพอจะรู้ไหมคะว่าเป็นที่ไหน?”
เฟลิเซียถามสามี
“ไม่รู้สิ อาจจะเป็นการยกพลขึ้นบกที่เกาะของพวกอังกฤษ หรือไม่ผมก็อาจจะต้องยกพลไปเสริมกำลังให้พวกที่อยู่แอฟริกาเหนือล่ะมั้ง…”
โทมัสตอบ เขาไม่รู้อะไรเลยสักนิดเดียว เพราะลำพังเขาก็เป็นแค่ร้อยเอกตัวเล็กๆ คนหนึ่งในกองทัพ ที่มีหน้าที่ทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาเท่านั้น
“แย่เลยนะคะ…”
เฟลิเซียอุทานออกมาเบาๆ
“ช่างเรื่องนั้นเถอะ ผมขออาบน้ำสักหน่อยนะ ตอนที่อยู่เนเธอร์แลนด์ผมมัวแต่ทำงานจนไม่ได้อาบน้ำอาบท่าเลย”
โทมัสพูด
“ได้สิคะ เดี๋ยวฉันไปเตรียมน้ำให้นะคะ”
เฟลิเซียพูด
“รบกวนด้วยนะ เฟลิเซีย”
โทมัสยิ้มจางๆ
หลังจากนั้น โทมัสก็ได้ไปอาบน้ำและกิจวัตรส่วนตัวจนเรียบร้อย และได้ลงมารับประทานอาหารกลางวันร่วมกับภรรยาและลูกชายอีกครั้งในรอบปี
แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่า…หายนะกำลังจะมาเยือน…
.
18 มิถุนายน ปีคริสต์ศักราช 1941
โทมัสต้องกลับไปรายงานตัวที่กองพันทหารราบที่เขาสังกัดอยู่ เขาค่อนข้างเบาใจ เมื่อผู้บังคับกองพันแจ้งว่าหน่วยของเขาจะต้องไปรักษาความสงบตามแนวชายแดนระหว่างเยอรมนี-สหภาพโซเวียต เพราะอย่างน้อยที่นั่นก็สงบสุขกว่าหลายๆ ที่ที่กองทัพเยอรมันทำสงครามอยู่
โทมัสยังทราบมาอีกด้วยว่าแผนการยกพลขึ้นบกที่เกาะอังกฤษจะต้องถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากปัจจัยบางอย่างไม่เอื้ออำนวยต่อการทำสงครามกับพวกอังกฤษ (ปฏิบัติการสิงโตทะเล (Operation Lion Sea) ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เพราะกองทัพอากาศเยอรมันพ่ายแพ้ต่อกองทัพอากาศสหราชอาณาจักรในยุทธเวหาที่บริเตน ช่วงเดือนกรกฎาคม 1940-พฤษภาคม 1941)
กองพลทหารราบที่โทมัสสังกัดอยู่ออกเดินทางในเช้าตรู่ของวันที่ 19 มิถุนายน 1941 เพื่อมุ่งหน้าสู่พื้นที่ยึดครองโปแลนด์ รอยต่อระหว่างเยอรมนีและสหภาพโซเวียต
พวกเขาเดินทางมาถึงจุดรวมพลที่สถานีรถไฟแห่งหนึ่งในโปแลนด์ในตอนเช้ามืดของวันที่ 20 มิถุนายน 1941
หลังจากลงจากรถไฟ พวกเขาต้องเดินเท้าต่อไปเป็นระยะทางกว่า 5 กิโลเมตร เพื่อเข้าประจำพื้นที่รักษาการณ์ตามที่เบื้องบนได้มอบหมายเอาไว้
เมื่อเดินทางไปถึง โทมัสและทหารในหน่วยกลับต้องตื่นตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า เพราะเดิมทีพื้นที่รักษาการณ์ที่พวกเขาคิดว่าจะมีเพียงพวกเขาเท่านั้น ในตอนนี้กลับเต็มไปด้วยทหารราบที่กะด้วยสายตาแล้วน่าจะมีจำนวนหลายพันนาย รถถังหลากหลายชนิด ยานเกราะกึ่งสายพาน ปืนใหญ่อัตตาจร
สิ่งเหล่านี้มันเกินกว่าที่จะเรียกได้ว่าเป็นการนำมาเพื่อรักษาความสงบในพื้นที่ เพราะมันดูผิดปกติมากเกินไป
กองพลทหารราบของโทมัสได้รับคำสั่งให้พักได้จนถึงตี 4 ของวันที่ 22 มิถุนายน จากนั้นจึงค่อยกลับมารวมพลกันอีกครั้ง และที่สำคัญคือพวกเขาถูกกำชับให้เตรียมพร้อมสำหรับการรบอยู่ตลอดเวลา
ค่ำคืนนั้นในขณะที่โทมัสกำลังพักผ่อน เขายังคงได้ยินเสียงสายพานของยานเกราะหลากหลายชนิดเข้ามาเสริมกำลังกันอย่างไม่ขาดสาย จนเขาได้แต่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แต่โทมัสก็คิดในแง่ดีว่า หากเลยจากพื้นที่รักษาการณ์ที่พวกเขาอยู่แล้ว ห่างออกไปราวๆ 20 กิโลเมตรจะเป็นพื้นที่ของฝ่ายโซเวียตแล้ว จุดที่พวกเขาอยู่จึงเป็นจุดที่มั่นสำคัญที่ถ้าหากฝ่ายโซเวียตรุกคืบเข้ามาจะเป็นจุดที่สกัดกั้นการรุกรานได้ดีที่สุด ดังนั้นการเสริมกำลังในจุดนี้จึงอาจจะเป็นเรื่องปกติก็เป็นได้
เมื่อเช้าตรู่ของวันที่ 22 มิถุนายน มาถึง กองพลทหารราบของโทมัสก็ได้รับคำสั่งให้ยกพลไปบริเวณชายแดนในทันที และได้รับคำสั่งว่าให้ ‘สังหาร’ ทหารโซเวียตทุกนายที่พบเห็น
โทมัสจึงเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่านี่คือแผนปฏิบัติการรุกรานดินแดนของสหภาพโซเวียต ตามความทะเยอทะยานของท่านผู้นำสูงสุดของเยอรมนี
กองพลของโทมัสเคลื่อนฝ่าแนวออกตีรุกล้ำเข้าสู่ดินแดนของฝ่ายโซเวียตอย่างรวดเร็ว บัดนี้มหาสงครามรุกรานสหภาพโซเวียตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ยุคจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 แห่งฝรั่งเศสได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว (ปฏิบัติการบาร์บารอสซ่าของนาซีเยอรมนี-Operation Barbarossa)
เป้าหมายของปฏิบัติการนี้คือการยึดกรุงมอสโควและเมืองสำคัญๆ ของสหภาพโซเวียตให้ได้ก่อนที่ฤดูหนาวจะมาเยือน เพราะไม่อย่างนั้น กองทัพเยอรมนีได้ประสบกับปัญหาที่ร้ายแรงอย่างแน่นอน
หน่วยของโทมัสเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พวกเขาตามหลังยานเกราะไปติดๆ สังหารทหารโซเวียตที่ไม่ทันได้ตั้งตัวไปหลายนาย
ในด้านแนวรบทางทิศเหนือ กองทัพเยอรมันกลุ่มตอนเหนือได้ฝ่าแนวออกตี รุกรานเข้าไปในแผ่นดินสหภาพโซเวียต สังหารทหารโซเวียตไปหลายพันนาย เป้าหมายอยู่ที่เมืองเลนินกราด และจะต้องยึดมันให้สำเร็จก่อนที่ฤดูหนาวอันโหดร้ายจะมาเยือน
ส่วนโทมัสนั้นอยู่กองทัพเยอรมันตอนกลาง เป้าหมายของพวกเขาคือยึดกรุงมอสโควให้ได้ก่อนที่ฤดูหนาวจะมาเยือน
และกองทัพเยอรมันกลุ่มตอนใต้ก็มีเป้าหมายอยู่ที่กรุงเคียฟของยูเครน ทั้งสามแนวรบรวมๆ แล้ว พวกเขาคร่าชีวิตทหารโซเวียตไปนับแสนนาย
นอกจากนั้นกองทัพเยอรมันยังได้สังหารพลเรือนในพื้นที่ที่ผ่านไปด้วยความโหดเหี้ยมและอำมหิต มีการตั้งหน่วยไอซัทซ์กรุ๊พเพ่น หรือ หน่วยล่าสังหารขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
และทุกๆ ที่ที่กองทัพเยอรมันเคลื่อนพลผ่าน ที่นั่นจะเหลือเพียงแค่ซากอาคารบ้านเรือนที่ถูกทำลาย และกองซากศพพลเรือนผู้บริสุทธิ์ที่สูงพะเนินราวกับภูเขา
.
ในขณะที่กองร้อยของโทมัสกำลังไล่ต้อนกองทัพแดง (ชื่อเรียกกองทัพโซเวียต) อยู่นั้น ทหารโซเวียตแตกทัพนายหนึ่งที่หนีไม่ทันได้ยอมแพ้ต่อทหารเยอรมัน
“Не убивайте меня, я сдаюсь!! (อย่าฆ่าผมเลย ผมยอมแล้ว!!)”
ทหารโซเวียตคนหนึ่งพูดกับกองร้อยของโทมัส เมื่อเห็นว่าภัยจะมาถึงตัว
“Бросай свое оружие! (วางอาวุธของนายลงซะ!)”
โทมัสลดปืนลง ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อค้นตัวว่ามีอะไรอันตรายหรือไม่
ชั่ววินาทีนั้นเองที่ทหารโซเวียตรายนั้นชักปืนพกขึ้นมา เพื่อหวังจะปลิดชีพโทมัสให้ตามเขาไปด้วย แต่โทมัสนั้นไวกว่า เขายกปืนไรเฟิลขึ้นมาประทับบ่า ก่อนจะยิงเข้าไปที่ทหารโซเวียตรายนั้นจนถึงแก่ชีวิต
“ถ่ายทอดคำสั่งฉันออกไปในกองร้อยของเรา!! ฆ่าทหารโซเวียตทุกนายที่พบเห็น ฉันไม่อนุญาตให้ไว้ชีวิตพวกมัน!!”
โทมัสพูดด้วยความแค้น ความใจดีของเขานั้นเกือบจะทำให้เขากลายเป็นศพเน่าตายในแผ่นดินเส็งเคร็งนี่
“ทราบแล้วครับ!”
สิบเอกชิลเลอร์รับทราบคำสั่ง
“เดี๋ยวก่อนชิลเลอร์! ถ่ายทอดคำสั่งฉันไปอีกว่าห้ามทหารในกองร้อยของเราสังหารชีวิตพลเรือนตามอำเภอใจ สังหารพวกเขาได้เมื่อเห็นว่าพวกเขาเป็นภัยต่อพวกเราเท่านั้น เข้าใจไหม?!”
โทมัสกำชับลูกน้องคนสนิท
“ทราบแล้วครับท่าน!”
สิบเอกชิลเลอร์รับทราบคำสั่ง แต่เขาไม่ทำท่าวันทยหัตถ์ เพราะรู้ดีว่ากลางสนามรบแบบนี้การทำแบบนั้น โทมัสอาจจะกลายเป็นเป้าของพลซุ่มยิงของฝ่ายตรงข้ามได้
กองร้อยของโทมัสยังคงรุกไล่ตามกองทัพแดงไปติดๆ นับตั้งแต่ฝ่าแนวออกตีมาก็ได้เกือบเดือนแล้ว พวกเขามากันไกลมากและไม่มีเวลาได้พักผ่อนเลยแม้แต่น้อย จนทหารในกองร้อยนั้นอ่อนล้ากันจนเกือบหมด
“ชิลเลอร์! ฉันจะนำคนเข้าไปตรวจดูหมู่บ้านข้างหน้า นายรอคำสั่งอยู่ตรงนี้ คืนนี้เราจะพักกันที่นี่แหละ!”
โทมัสออกคำสั่งกับลูกน้องคนสนิท
“ทราบแล้วครับท่าน!”
ชิลเลอร์รับคำ
โทมัสนำทหารไปหนึ่งหมู่แยกออกจากกองร้อยเพื่อไปตรวจดูหมู่บ้านตรงหน้า หมู่บ้านนั้นเงียบจนน่ากลัว ราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลย ทุกวินาที ทุกย่างก้าวนั้นบีบหัวใจทหารเยอรมันทุกนายจนราวกับว่ามันจะกระดอนออกมาจากอกอย่างไรอย่างนั้น
‘แกรบ’
ทหารเยอรมันนายหนึ่งเหยียบกิ่งไม้ และหลังจากนั้นก็ตามมาด้วยห่ากระสุนของฝ่ายโซเวียตที่ซุ่มดักรออยู่
ทหารเยอรมันทุกนายโผเข้าที่กำบังราวกับนัดกันมา ก่อนจะเริ่มยิงโต้ตอบกลับไป มีเสียงร้องโอดโอยของฝ่ายโซเวียตแว่วมาท่ามกลางเสียงปืนที่ดังระงมเป็นฉากหลัง
“สามนายโอบไปทางปีกขวา อีกสามนายโอบไปทางปีกซ้าย พลปืนกลหาจุดที่เหมาะสมแล้วยิงพวกมันกลับไปซะ ส่วนที่เหลือยิงคุ้มกัน!!”
โทมัสออกคำสั่งกับทหารเยอรมันในหมู่
ทหารเยอรมันหนุ่มนายหนึ่งนั่งตัวสั่นอยู่ใกล้ๆ กับโทมัส นายทหารหนุ่มจำได้ว่าเขาเป็นกำลังเสริมที่พึ่งถูกส่งมาเสริมให้กับกองร้อยของเขาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากต้องประสบกับความสูญเสียอย่างหนักในการรบที่เมืองมินสค์ของเบลารุส
“ท่านครับ…ผมกลัว…”
ทหารหนุ่มรายนั้นตอบกลับมา
โทมัสจึงตบหน้าเขาแรงๆ เพื่อเรียกสติ
“ฟังนะไอ้หนู! ถ้าแกไม่หยิบปืนขึ้นมายิงไอ้พวกเฮ็งซวยนั่น ฉันจะเป่ากระบาลแกเดี๋ยวนี้เลย แกเลือกเอา!!”
โทมัสต้องใช้ไม้แข็งกับทหารรายนี้ เพราะไม่อย่างนั้นความหวาดกลัวจะแพร่ไปถึงทุกคน และมันจะทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพลดฮวบ เพราะในยามสงคราม ความหวาดกลัวคือมะเร็งร้ายที่ไม่ควรมีอยู่
คำขู่ของโทมัสนั้นได้ผล ทหารหนุ่มรายนั้นเริ่มหยิบปืนขึ้นมายิงตอบโต้ฝ่ายโซเวียตกลับไป แม้จะเป็นการยิงสะเปะสะปะเพราะความมืดนั้นบังตา แต่มันก็ทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องลดหัวลงอยู่ที่กำบัง
หมู่ที่โทมัสนำอยู่นั้นเริ่มรุกคืบโอบล้อมฝ่ายโซเวียตได้แล้ว ก่อนที่ชิลเลอร์จะเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ทุกอย่าง เพราะเขาได้ยินเสียงปืนจากในหมู่บ้านจึงรีบนำกำลังที่เหลือมาสมทบในทันที
เชลยศึกโซเวียตถูกจับมัดรวมกันไว้ที่ลานกลางหมู่บ้าน พวกเขามีกันทั้งหมด 14 คน โทมัสออกคำสั่งให้ชิลเลอร์นำหนึ่งในเชลยศึกที่เป็นเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจการทางการเมือง (คอมมิสซาร์) มารีดข้อมูล
โดยการรีดข้อมูลนั้นโทมัสเป็นคนกระทำเองทั้งหมด เพราะเขาพูดภาษาตระกูลสลาฟได้
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็รีดข้อมูลไม่ได้เสียที เพราะข้าศึกนั้นปากแข็ง ไม่ว่าจะใช้ไม้อ่อนหรือไม้แข็งก็ตาม ท้ายที่สุดแล้ว โทมัสจึงออกคำสั่งให้นำตัวไปทดลองดื่มน้ำในบ่อเพื่อตรวจดูว่ามียาพิษหรือสารอันตรายหรือไม่
เพราะในช่วงสงครามในแผ่นดินสหภาพโซเวียต ทางกองทัพแดงจะวางยาพิษเอาไว้ในบ่อน้ำของหมู่บ้านที่คาดว่ากองทัพเยอรมันจะเคลื่อนพลผ่าน เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาใช้มันให้เป็นประโยชน์และขัดขวางความต่อเนื่องของการรุกราน
หลังจากทดลองแล้วพบว่าน้ำในบ่อนั้นสามารถดื่มได้ โทมัสจึงออกคำสั่งให้ประหารชีวิตทหารโซเวียตทุกนายที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น เพราะการจะส่งเชลยศึกกลับไปแนวหลังนั้นไม่สามารถกระทำได้ และมันจะทำให้ความต่อเนื่องของการเคลื่อนทัพล่าช้าลงไปอีก
อีกทั้งหากส่งพวกเขากลับไปแล้ว อาจจะทรมานกว่าความตายอีกเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นการมอบความตายด้วยการยิงเป้านั้นถือเป็นความเมตตาสูงสุดเท่าที่โทมัสจะมอบให้พวกเขาได้แล้ว
หลังจากการประหารชีวิตทหารโซเวียตเสร็จแล้ว โทมัสก็ออกคำสั่งให้ฝังศพพวกเขาอย่างสมเกียรติ เพราะพวกเขาคือทหารที่รับใช้ชาติ การฝังศพให้สมเกียรติชายชาติทหารนั้นถือเป็นสิ่งที่ควรกระทำ แม้ว่าถ้าหากพวกเบื้องบนจับได้อาจจะมีโทษก็ตามที
“ชิลเลอร์ จัดการเวรยามให้เรียบร้อยนะ หากมีเรื่องฉุกเฉินให้เรียกฉันนะ แล้วก็พรุ่งนี้ 6 โมงเช้าพวกเราจะต้องไปพบกับอีกกองร้อยหนึ่งเพื่อข้ามแม่น้ำไปพบกับกำลังหลักนะ เข้าใจไหม?”
โทมัสออกคำสั่งกับลูกน้องคนสนิท
“ทราบแล้วครับท่าน!”
สิบเอกชิลเลอร์รับทราบคำสั่ง
ส่วนโทมัสนั้นเดินโซเซไปที่บ้านหลังหนึ่งที่มีทหารสองนายยืนเข้าเวรยามอยู่ พวกเขาทำความเคารพโทมัส แต่นายทหารหนุ่มไม่ได้สนเลยแม้แต่น้อย เขาตรงดิ่งไปที่ห้องนอน ถอดอุปกรณ์ประจำกายออก ก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย
หลังจากที่ฝ่าแนวออกตีในวันที่ 22 มิถุนายน 1941 การรบดำเนินไปยาวนานถึง 3 เดือน ในที่สุด กองทัพเยอรมันกลุ่มกลางก็ยาตราทัพมาถึงชานกรุงมอสโควในวันที่ 2 ตุลาคม 1941 และพวกเขาพร้อมที่จะทำศึกขั้นแตกหักกับทางกองทัพแดงแล้ว
ฝั่งหนึ่งต้องการเป็นใหญ่เหนือโลกหล้าและยึดครองพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลของสหภาพโซเวียต อีกฝั่งหนึ่งต้องปกป้องอธิปไตยของแผ่นดินมาตุภูมิและต้องป้องกันเมืองหลวง
บัดนี้หมากบนกระดานทั้งหมดนั้นพร้อมแล้ว ปฏิบัติการไต้ฝุ่นของเยอรมนีเริ่มเดินหน้าได้!!