ตอนที่ 1 ด่านเคราะห์ (1)

2394 คำ
ตอนที่ 1 ด่านเคราะห์ (1) เมฆมงคลเคลื่อนคล้อย ฝูงปักษาสวรรค์กู่ร้อง กระแสลมพัดวน กลีบบุปผาโปรยปรายเหนือศิลาสวรรค์กลางสระปทุมทองคล้ายผีเสื้อตัวน้อยกำลังเริงระบำหยอกเย้า สวนท้อของเทียนโฮ่วปลูกอยู่ข้างสระปทุมทอง มนตร์ขลังของสถานที่แห่งนี้นอกจากจะเป็นตัวชี้วัดวันชุมนุมบุปผชาติ ยังอาศัยจุดที่สามารถมองเห็นศิลาสวรรค์ได้ชัดเจนเพื่อดึงดูดเทพเซียนทั้งหลายที่เข้าร่วมงานชุมนุม ผู้คนใฝ่หาศิลาสวรรค์เพียงเพื่อมองหาคู่บุพเพของตน ทว่ากว่าจะมีวันนั้นจำต้องมีตบะอย่างน้อยสามหมื่นปี อีกทั้งยังต้องมีความสามารถพอเพื่อตรวจสอบทะเบียนบุพเพของตนเอง ผู้ที่ไม่ใช่เทพชั้นสูงและเซียนที่ไม่ได้ถือกำเนิดในแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าโดยตรงจะต้องรับอสนีสวรรค์ทั้งเจ็ดสายถึงจะสามารถใช้โอกาสเพียงครั้งเดียวให้คุ้มค่า แต่ก็มีไม่น้อยที่จิตวิญญาณดับสูญเพราะความอยากรู้อยากลองนั้น เพื่อตรวจสอบบุพเพของฝูซ่าง เทพปักษาจึงยอมรับอสนีสวรรค์เมื่อหกหมื่นปีก่อน เรื่องของนางแพร่กระจายไปทั่วทั้งสิบขุนเขาหมื่นธารา ผู้คนต่างก็ยกย่องสรรเสริญ นับแต่นั้นมาเทียนโฮ่วจึงหวังให้นางมาร่วมงานชุมนุมบุปผชาติสักครั้ง เพื่อให้เหล่าเซียนทั้งหลายที่เห็นนางเป็นแบบอย่างอาศัยงานชุมนุมเพื่อคารวะนาง เทพปักษาเป็นธิดาคนรองของมหาเทพจูเชว่ ยามถือกำเนิดผู้คนต่างก็ขนานนามนางว่าเทียนเฟิ่งหม่านหง เมื่อหลายหมื่นปีก่อนที่แดนสวรรค์ทำสงครามกับเผ่ามาร จอมมารหนี่หวงที่เกิดจากมารดาซึ่งถือกำเนิดมาพร้อมกับเทพบิดร แม้พลังของเขาจะไม่เทียบเท่าเทพบิดร ทว่ากลับสามารถควบคุมสัตว์อสูรบรรพกาลทั้งสี่ที่มีพลังอำนาจลึกล้ำได้ ศึกครั้งนั้นจึงผลัดกันแพ้ชนะอยู่หลายครั้ง หลังจากที่กำจัดสัตว์อสูรบรรพกาลตัวสุดท้ายได้ ก็เป็นนางที่ร่วมมือกับเทพบรรพกาลหลายองค์ช่วยกันผนึกประตูมาร มหาเทพจูเชว่และมหาเทพอีกหลายองค์บาดเจ็บสาหัส เคราะห์ดีที่มหาเทพเฉียนเวยมาช่วยได้ทัน แต่ก็พลั้งมือจนทำให้นางบาดเจ็บไปด้วย น่าเศร้าใจนักที่มหาเทพเสวียนอู่ดวงจิตดับสูญในทันที หลังจากศึกนั้นไม่นานเทพบรรพกาลรุ่นแรกต่างก็พากันกลับคืนสู่แดนกำเนิดและเร้นกายจากหกภพภูมิไป “เมื่อสิบหมื่นปีก่อนมหาเทพเฉียนเวยผนึกดวงจิตหลับใหลหลังจากสร้างเสาค้ำยันสวรรค์สำเร็จ หนึ่งหมื่นปีต่อมาเทียนเฟิ่งหม่านหงก็เริ่มเปลี่ยนนามของตน ว่ากันว่าเพราะนางอยากเปลี่ยนแปลงบุพเพ จนเมื่อหกหมื่นปีก่อน หลังจากมหาเทพจูเชว่กลับคืนสู่แดนกำเนิด นางก็ถูกเรียกว่าเทียนเฟิ่งอย่างเป็นทางการ ผู้คนเรียกนางว่าเทียนเฟิ่งก็จริง แต่นามที่นางใช้ต่อหน้าศิลาสวรรค์ก็คือจื่ออวี้ ว่ากันว่าหลังจากที่นางรับอสนีสวรรค์แทนผู้อื่น คราแรกใบหน้ายังสงบราบเรียบดุจหยกสลัก แต่เมื่อนางได้ตรวจสอบบุพเพให้ตน จู่ๆ ความสงบเยือกเย็นที่มีก็หายไป หลังการแต่งงานขององค์หญิงน้อยแห่งเผ่าปักษาเสร็จสิ้น นางจึงไม่เคยเข้าร่วมงานชุมนุมบุปผชาติอีกเลย” เซียนที่มีอายุมากกว่าหกหมื่นปีอาศัยประสบการณ์ที่เคยเห็นเทพปักษาจากที่ไกลๆ คุยโม้เหม็นให้เหล่าเซียนน้อยทั้งหลายได้ฟัง เซียนน้อยตนหนึ่งกอดน้ำเต้าในมือ โคลงศีรษะพลางเอยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “งานชุมนุมบุปผชาติบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าคืองานรวมสาวงาม ผู้คนต่างก็ร่ำลือกันว่าองค์หญิงหม่านหงคือผู้ที่งดงามที่สุดในหกภพภูมิ แล้วเทพปักษานางเทียบได้กับองค์หญิงเผ่าสวรรค์หรือไม่ท่านเซียนผู้เฒ่า” เซียนผู้เฒ่าใช้ไม้เท้าเคาะศีรษะเซียนน้อยทีหนึ่ง ก่อนจะชี้ไปที่ใบหน้าของเซียนน้อยทั้งหลาย “พวกเจ้าจำไว้อย่าพูดจาสามหาวแบบเจ้าคนนี้เทียวนะ เทพบรรพกาลมีปราณเทพที่ไม่เหมือนกับเซียนชั้นผู้น้อยอย่างเรา รัศมีเทพของแต่ละองค์จะมีลักษณะแตกต่างกันไป ถึงแม้ใบหน้าของแต่ละท่านจะงดงามมากเพียงไหน เราจะใช้คำธรรมดาสามัญมาบรรยายไม่ได้หรอกนะ เรียกว่าใช้ตาเซียนมอง ยังเห็นความงามไม่ได้ครึ่งของความจริง ต้องบำเพ็ญตบะให้ได้เป็นเซียนชั้นสูงเสียก่อนถึงจะมองเห็นความงามเหล่านั้น แต่ก็จุ๊ๆ ไว้นะ ในสายตาของเซียนทั่วไป องค์หญิงหม่านหงถือเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแล้ว” เซียนน้อยไม่เข้าใจ “หากเราไม่เห็นความงาม จะเรียกว่างามได้อย่างไรกัน” ความตื้นเขินของเซียนน้อยนั้นมีมากเกินกว่าเซียนผู้เฒ่าอธิบายเพียงนี้ก็จะเข้าใจ พลันเหลือบไปเห็นขบวนเทพธิดายี่สิบนางเคลื่อนผ่าน เหล่าเซียนแตกตื่นส่งเสียงดังเซ็งแซ่ เห็นเพียงอาภรณ์สีขาวราวหิมะพลิ้วไหวเหนือไอหมอกบนพื้น รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ผิวกายเนียนกระจ่างยิ่งกว่าไข่มุกราตรี ทว่าเมื่อมองเลยช่วงเอวขึ้นไปกลับมองไม่เห็นใบหน้าของผู้มาเยือน รัศมีเทพสีทองบดบังใบหน้าของเทพองค์นั้น แต่กลับไม่มีใครขัดใจแม้แต่น้อย ใบหน้าของนางราวกับอยู่ในม่านหมอก คิ้วโครงอ่อนช้อย เส้นสายบนใบหน้ารางเลือน ชวนให้คนมองมิรู้เบื่อ “เทพปักษา…เทียนเฟิ่งโย่วฟาง” สิ้นน้ำเสียงตื่นเต้น เหล่าเซียนที่อยู่ในสวนดอกท้อก็พากันประสานมือคารวะ “คารวะเทพปักษา ท่านมหาเทพโย่วฟาง” “คารวะเทพปักษา” การกระทำของเซียนกลุ่มหนึ่งเรียกความสนใจจากคนทั้งหมด เกิดระลอกคลื่นเป็นวงกว้าง เทพปักษาผู้ตกอยู่ในความสนใจพยักหน้ารับการคารวะจากเซียนทั้งหลายจนเกือบเป็นตะคริวที่คอ นางเร่งฝีเท้า เสียงพูดคุยของเหล่าเซียนดังเหมือนเสียงแมลงวัน แต่เพราะไม่ระวังจึงเผลอสะดุดชายอาภรณ์เข้าให้ โชคดีที่มีกระแสลมขุมหนึ่งช่วยพยุงนางไว้ เทพปักษาจึงมิได้อับอายขายหน้าผู้ใด “นายหญิง ข้าเอาชามาให้” โย่วฟางวางกระจกในมือ เลิกห่วงอาการของร่างแปลงชั่วคราว เสิ่นอวี้ลอบมองอาการน่าสงสัยของนายสาว ท่าทางเช่นนี้ของนางเขาเห็นมาจนเบื่อ กระจกซินหลิงข้างกายนางเป็นของวิเศษของเผ่าปักษา โย่วฟางใช้มันตรวจสอบและควบคุมร่างแปลงอยู่เสมอ แท้จริงแล้วหลังจากที่รับอสนีสวรรค์เมื่อหกหมื่นปีก่อน ทุกครั้งที่นางรับภารกิจจากเทียนจวิน ก็ส่งแต่ร่างแปลงไปทั้งนั้น มีเพียงสองสามหมื่นปีมานี้ เมื่อขนของนางกลายเป็นสีทอง ทุกครั้งที่ถอนขนนกของตนออกมาก็เริ่มรู้สึกเจ็บปวดจนทนไม่ไหว ภารกิจที่รับมาในครั้งหลังนางจึงแทบไม่ตอบรับ เสิ่นอวี้ซึ้งในน้ำใจของโย่วฟาง จากที่ไม่เคยขึ้นตรงต่อใครก็ยอมรับใช้เทพปักษาแต่เพียงผู้เดียว และเนื่องจากรับใช้มานาน เขาจึงรู้ว่าที่นางยอมเจ็บตัวในคราวนี้เพราะมีเบื้องหลัง หลังจากรินชาเสร็จ เสิ่นอวี้ก้าวถอยออกไป คอยรับใช้ข้างโต๊ะเขียนหนังสือ โย่วฟางจิบชาหอมกรุ่น รู้ว่าตัวนางตกอยู่ภายใต้สายตาสอดส่องของเสิ่นอวี้ จึงอดพูดขึ้นมาอย่างร้อนตัว “เจ้าสงสัยอะไร” เสิ่นอวี้ไม่อ้อมค้อม “ท่านส่งร่างแปลงไปเพราะเรื่องเสาค้ำยันสวรรค์ใช่หรือไม่” หลายเดือนก่อนเทียนจวินแจ้งข่าวเรื่องการเคลื่อนไหวของเสาค้ำยันสวรรค์ เทพบรรพกาลองค์อื่นต่างก็เร้นกายหายไป เหลือเพียงเทียนเฟิ่งที่สามารถออกปากขอร้องได้ ภายนอกนางอาจไม่สนใจไยดี แต่เสาค้ำยันสวรรค์เกิดการเปลี่ยนแปลง ส่งผลต่อความเป็นไปของทั้งหกภพภูมิ ถึงนางจะเบื่อขนาดไหนก็ต้องไปตรวจสอบให้รู้แจ้ง โย่วฟางขานรับในลำคอ ส่งไม้แท่งหนึ่งให้เขา “เขียนชื่อนี้ลงไปในศิลากำเนิดของข้า” โลกมนุษย์มีป้ายวิญญาณสำหรับเคารพ เทพบรรพกาลมีศิลากำเนิดสำหรับจารึกนาม ทุกครั้งที่เทพเปลี่ยนนาม จำต้องใช้น้ำตาหงสาเพื่อจารึก หงหลิง เสิ่นอวี้คิ้วกระตุกเมื่อนับตามวันแล้วยังไม่ถึงเวลาเปลี่ยนชื่อของนายหญิง “ยังไม่ถึงเวลามิใช่หรือ” โย่วฟางมีสีหน้าไม่ยี่หระ นางเท้าคาง โคลงจอกชาในมืออย่างใจเย็น “เจ้าไม่เคยสงสัยหรือว่าข้าเป็นถึงเทพสวรรค์ไยจึงไร้ด่านเคราะห์ ตัวข้าสุขสงบมานับแสนปี ในที่สุดก็มีวันนี้ เคราะห์สวรรค์ยากหลีกเลี่ยง ชื่อนี้จะเป็นชื่อสุดท้ายของข้า” นางอุตส่าห์จับติ้วได้ชื่อใหม่ ลอบส่งขนนกไปกับเซียนน้อยเพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมบุปผชาติ ร่างแปลงแม้ไม่ใช่ร่างจริง แต่ก็มีตบะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านาง หากเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นกับเสาค้ำยันสวรรค์จริงๆ นางก็จะสามารถสลับรูปเปลี่ยนร่างไปช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที โย่วฟางเหลือบมองกระจกซินหลิง นึกเป็นห่วงร่างแปลงของตนไม่น้อย บิดาของนางเคยกล่าวไว้ ร่างแปลงไร้ความสำรวมแต่ละร่างจะเอานิสัยไม่เข้ารูปเข้ารอยของนางออกไป บางส่วนก็ยากจะควบคุม ต้องอาศัยกระจกบานนี้คอยควบคุมไม่ให้ก่อเรื่อง ชาวสวรรค์เคร่งครัดธรรมเนียม ส่งร่างแปลงไปอยู่ท่ามกลางพวกเขาย่อมเสี่ยงมากกว่าส่งไปปราบมารปีศาจนัก ว่ากันว่าด่านเคราะห์ยากผ่านพ้น แต่นางเตรียมใจไว้นานแล้ว หากดวงจิตกลับคืนสู่แดนกำเนิด คนผู้นั้นจะได้ไม่ต้องหลบหน้านางอีก “เจ้ารีบไปเถิด วันนี้ฤกษ์ดี ข้าจะไปเยี่ยมราชาปักษา” เสิ่นอวี้รับคำจากไป โย่วฟางถอนหายใจ รู้สึกเป็นห่วงร่างแปลงขึ้นมา สระปทุมทองตั้งอยู่ตรงศูนย์กลางของแดนสวรรค์ ใต้พื้นเบื้องล่างก็คือเสาค้ำยันหลักที่เหล่าเทพบรรพกาลช่วยกันสร้างขึ้นมา ร่างของเทพสาวเคลื่อนผ่านศิลาสวรรค์ รัศมีเทพเปล่งประกาย ที่นั่งของนางอยู่ใกล้กับที่ประทับของเทียนจวิน ขณะก้าวย่างตามเทพธิดานำทาง พื้นทางเดินคล้ายสั่นเล็กน้อย ร่างแปลงของเทพปักษาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ จึงหยุดชะงักฝีเท้า ทว่าเทพธิดาน้อยกลับเข้าใจผิด คิดว่านางมองหาเหล่าเชื้อพระวงศ์ “เทียนจวินและเทียนโฮ่วกำลังเสด็จมา ท่านเทพโปรดรอสักครู่เจ้าค่ะ” พื้นข้างสระปทุมทองสั่นสะเทือน ระลอกคลื่นสั่นไหว ร่างแปลงสังหรณ์ใจผิดปกติ ศิลาสวรรค์เกิดการสั่นคลอน บรรดาเซียนทั้งหลายต่างพากันแตกตื่นตกใจ “ท่านเทพรีบถอยออกห่างจากสระปทุมทองเถิดเจ้าค่ะ” เทพธิดานำทางร้อนรน แดนสวรรค์สงบสุขมานาน เกิดเหตุการณ์เช่นนี้จึงอดหวาดกลัวไม่ได้ เคราะห์ดีที่โย่วฟางมองผ่านกระจก เห็นความผิดปกตินี้มาตั้งแต่ต้น นางสั่งให้ร่างแปลงกระโดดลงสระปทุมทอง เข้าไปสำรวจเสาค้ำยันใต้สระ วนอยู่สามรอบ กลับไม่พบรอยร้าว ยิ่งนึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะไอเซียนหลากหลายปะปนกันไปหมด อีกอย่างนางก็มัวแต่จดจ่อกับสภาพของเสาค้ำยันสวรรค์ ไม่ทันสังเกตเห็นเกล็ดสีทองที่ส่องประกายวาววับ ในน้ำไร้ซึ่งสิ่งผิดปกติ ร่างแปลงจึงหันหลังกลับ แต่โย่วฟางที่ถือกระจกซินหลิงอยู่เห็นกับตาว่ามังกรสีทองตัวหนึ่งกำลังเลื้อยรอบเสาค้ำสวรรค์ ขณะกำลังสั่งให้ร่างแปลงหันกลับ แสงสีขาวพลันสว่างวาบ เกิดเสียงกัมปนาทกึกก้อง ร่างแปลงของนางพลันสลายไปต่อหน้าต่อตา ภาพสุดท้ายที่เห็นคือดวงตาสงบนิ่งของมัน ก่อนที่กระจกซินหลิงจะดับวูบไป ร่างซีกซ้ายของโย่วฟางร้อนวาบ โลหิตไหลอาบ ซึมอาภรณ์จนเปียกชุ่ม นางคืนร่างเฟิ่งหวงเพื่อหวังเร่งรักษาอาการบาดเจ็บ กลับพบว่าขนปีกสีทองของนางเว้าแหว่ง น่าเกลียดยิ่งกว่าไก่ถูกถอนขนเสียอีก โย่วฟางอยากร้องไห้แต่นึกหาวิธีหลั่งน้ำตาไม่ออก โย่วฟางเปลี่ยนร่างกลับคืน ค่อยๆ ฉีกอาภรณ์ที่เปียกชุ่มออกจากกาย ครั้นจะใช้พลังเพื่อช่วยเหลือตนเอง กลับพบว่าไม่อาจทำอะไรได้มากนัก คล้ายกับว่าพลังเกินครึ่งถูกผนึกไว้ เลือดลมไหลเวียนสับสนไปทั่วทั้งกาย อสนีของเทพมังกรร้ายกาจกว่าอสนีสวรรค์นับหมื่นเท่า นางไม่ทันตั้งรับก็ถูกสายฟ้าฟาดเข้ามาเต็มๆ ร่างแปลงรับอสนีมังกรฟ้าไม่ไหว ผลจึงส่งมาที่ตัวนางโดยตรงเช่นนี้ เทพสาวนึกด่าทอตัวเองที่สะเพร่านัก จากกันสิบหมื่นปี เขากลับมาก็เผลอทำร้ายนางเสียแล้ว โย่วฟางกัดฟันเคลื่อนตัวไปยังสระหยกหมายรักษาตัว ทว่าเมื่อร่างกายเปลือยเปล่า เทพสาวกลับต้องตัวชาวาบ ใช้มือข้างที่ยังดีอยู่ลูบหน้าอก...ผิวกายราบเรียบตึงแน่น ยอดอกกลายเป็นไฝเม็ดเล็กๆ ไปเสียแล้ว สวรรค์…ผนึกพลังของนางยังไม่พอ ถึงขั้นปล้นชิงหน้าอกนางไปด้วยหรือ นี่มันด่านเคราะห์อะไรกัน! นางมองเงาตัวเองในน้ำ ริมฝีปากสั่นระริก เผ่าปักษารักสวยรักงาม นับได้ว่าเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของเทียนเฟิ่งอย่างนางแล้ว คืนร่างได้ ยังนับว่าอาการไม่หนักหนา แต่ตอนนี้ร่างกายของโย่วฟางเหมือนร่างของหนุ่มน้อยไม่มีผิด ยิ่งคิดก็ยิ่งคับแค้นในอก "จะเอาอะไรไปจากข้าก็ได้ เหตุใดต้องพรากความสาวไปจากข้าด้วย" นางหัวเสียเป็นอย่างยิ่ง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม