เสียงข้อความเข้าดังขึ้นทำให้คนที่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วนั่งรอเพื่อนๆ หยิบมือถือของตนขึ้นมาเปิดดู เห็นเป็นข้อความจากพี่ชาย
‘น้องก้อยมายังไง ให้พี่ไปส่งไหม’
กัญญานันเห็นกิตติกรแล้วตั้งแต่ตอนที่แสดงอยู่บนเวทีจึงไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายจะถาม หญิงสาวจึงโทรกลับไป
“ว่าไงครับน้องก้อย”
“พวกเรามารถสองกันน่ะค่ะพี่กลาง”
“อ๋อ โอเค งั้นพี่กลับก่อนเลยนะครับ”
“ค่ะ ว่าแต่พี่กลางมาที่นี่ได้ยังไงคะ”
“ว่าจะทำตลาดเครื่องประดับไทยประยุกต์น่ะ ก็เลยมาหาไอเดีย”
“แบบนี้นี่เอง ร้านเป็นยังไงบ้างคะ”
“ก็ดีนะ เราเป็นแบรนด์ที่คนรู้จักอยู่แล้ว เปิดสาขาเพิ่มคนก็สนใจ ถึงไม่ใช่เข้ามาทุกคนแล้วจะซื้อ แต่พี่ว่าพอไหว แล้วก็อยากเพิ่มสไตล์พื้นเมืองหรือไทยๆ เข้าไปด้วย น่าจะถูกใจคนที่นี่”
“ค่ะ คนสมัยนี้เน้นความเป็นไทย ความเป็นพื้นเมือง ถ้าเขารู้สึกว่าซื้อแล้วจะได้ใช้เขาก็จะซื้อ”
ระหว่างที่คุยกันพิมพ์ปรางที่เพิ่งเปลี่ยนชุดเสร็จเดินเข้ามาพร้อมกับถามด้วยสายตาว่าใคร กัญญานันจึงตอบแบบไม่มีเสียง
“พี่กลาง”
พิมพ์ปรางชะงักไปเพียงนิดเดียวเพื่อนสาวจึงไม่ทันสังเกต ก่อนจะเดินไปนั่งอีกมุมหน้ากระจกเช็ดเครื่องสำอาง
“วันศุกร์เดี๋ยวพี่ไปหานะ ว่าจะไปพักผ่อนบนภูสักหน่อย จะได้รับน้องก้อยกลับบ้านด้วย ไอ้มินทร์บ่นจะแย่แล้วว่าแทบไม่เห็นหน้าเมียเลย”
“เขาก็พูดไปอย่างนั้นเองค่ะ เพิ่งลงมาหาก้อยเมื่อสองวันที่แล้ว”
“เฮ้อ...เรานี่ไม่เข้าใจผู้ชายเลยจริงๆ”
น้องสาวฟังแล้วไม่ได้ตอบโต้อะไร ชายหนุ่มจึงไม่ได้ต่อความยาว
“งั้นแค่นี้ก่อนนะน้องก้อย”
“ค่ะ สวัสดีค่ะพี่กลาง”
กัญญานันวางสายไปแล้วก็เอ่ยขึ้นแม้เพื่อนจะไม่ได้ถาม
“พี่กลางโทรมาถามว่าจะให้ไปส่งไหมน่ะ”
พิมพ์ปรางเพียงแค่เหลือบตามองอีกฝ่ายก็พูดต่อ
“แต่ก้อยบอกไปแล้วล่ะว่ามารถสอง”
หลังจากพิมพ์ปรางพยักหน้าตอบรับอย่างเข้าใจ ประตูก็เปิดเข้ามาโดยมาธาวี งานนี้เธอไม่ได้ร่วมแสดงด้วย แต่ทำหน้าที่ประสานงานกับทางผู้จัดงานในฐานะตัวแทนของโรงเรียน เพื่อความไม่วุ่นวายหญิงสาวจึงเลือกทำแค่หน้าที่เดียว
“เรียบร้อยแล้วใช่ไหมสาวๆ”
“จ้ะ แล้วสองล่ะมีอะไรอีกไหม”
กัญญานันถามกลับ
“ไม่แล้วล่ะ งานเสร็จ ทุกคนแฮปปี้ก็จบแล้ว แต่ว่าต้องถามพี่หนึ่งก่อนว่าจะเอายังไง เพราะเขายุ่งกว่าเรา”
มาธาวีหมายถึงมาลินีพี่สาวของตนที่เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ดูแลการจัดงานครั้งนี้
“สองก็เลยมาดูว่าก้อยกับปรางเสร็จหรือยัง จะได้โทรไปบอกพี่หนึ่งว่าพวกเราพร้อมแล้ว”
พร้อมกับพูดหญิงสาวก็กดเบอร์โทรออก รอสายไม่นานอีกฝ่ายก็รับ
“ว่าไงคะคุณพี่สาว สองกับเพื่อนเรียบร้อยแล้วนะ กำลังจะกลับแล้ว”
“พูดแบบนั้นได้ยังไง”
กัญญานันบ่นเพื่อนแบบไม่มีเสียงอีกครั้งแต่มาธาวียักไหล่
“ย่ะ กลับกันไปเลย ฉันกลับของฉันเองได้”
ปลายสายตอบกลับสั้นๆ
“โทรให้รถที่บ้านมารับเหรอ”
“เปล่า แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ถึงไม่มีเธอก็มีคนอยากไปส่งฉันเยอะแยะ”
คนได้ยินเบะปากก่อนจะตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ
“โอเค งั้นสองกับเพื่อนกลับแล้วนะคะ”
“อืม”
พี่สาวเอ่ยสั้นๆ แล้ววางสายไป มาธาวีถอนหายใจเบื่อหน่าย ถึงทั้งคู่จะไม่ได้เกลียดกันแต่ก็เป็นพี่น้องที่ไม่กินเส้นกันเอาเสียเลย ความคิด การใช้ชีวิตคนละขั้วสุดๆ
“พี่หนึ่งไม่กลับกับเราเหรอ”
“ใช่”
“แล้วจะกลับยังไง”
“เขาบอกว่ามีคนอยากไปส่งเขาเยอะแยะ”
“พี่หนึ่งอาจจะประชดก็ได้”
มาธาวียักไหล่ เพราะพี่สาวของเธอบอกมาแบบนั้นจะให้ทำอย่างไรได้ กัญญานันได้แต่ส่ายหน้า แม้มาลินีจะเอาแต่ใจและค่อนข้างจุกจิกแต่ก็หวังดีกับเพื่อนของเธอจริงๆ แต่น้องสาวไม่เคยสนใจหรือเชื่อในสิ่งที่พี่สาวบอก ทั้งคู่จึงเดินกันคนละเส้นทางตลอด
แต่เมื่อเช้ารถของมาลินีมีปัญหากลางทางและต้องรีบมางาน แถมรถของที่บ้านก็ต้องไปส่งพ่อเลี้ยงศรากับแม่เลี้ยงมารตีไปเป็นประธานงานแต่งงานหนึ่ง พวกเธอกำลังเดินทางมางานนี้เช่นเดียวกันและต้องผ่านจุดนั้น มาลินีจึงโทรมาบอกว่าจะติดรถน้องสาวมาด้วย เมื่อมาถึงค่อนข้างช้ามาธาวีก็เลยโดนพี่สาวบ่นตามระเบียบ ทว่าเจ้าตัวก็ไม่ได้แคร์
“ในเมื่อเขาบอกมาแบบนั้นแล้วเราก็กลับกันเถอะ สองง่วงมากอ่ะ นอนดึกตื่นเช้า แถมวิ่งไปวิ่งมาดูความเรียบร้อยทั้งโชว์ของเราแล้วก็ของเด็กๆ จากโรงเรียนเราอีกสองโชว์มาทั้งวันแล้ว ล้าไปหมด อยากทิ้งตัวนอนจะแย่อยู่แล้ว”
“แล้วจะไม่โทรถามที่บ้านหน่อยเหรอว่าพี่หนึ่งให้รถมารับหรือเปล่า”
“คงงั้นแหละ ไม่งั้นคงไม่มั่นใจขนาดนั้นว่าตัวเองไม่ต้องพึ่งเรา หรือว่าอาจจะมีคนตามจีบเขาอาสาไปส่งจริงๆ ก็ได้ ใครจะไปรู้”
มาธาวีบอกอย่างไม่แยแส กัญญานันได้แต่หันไปสบตากันเองกับพิมพ์ปรางแบบไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เพื่อนของเธอคงเห็นว่างานนี้จบแล้วและไม่ได้เลิกดึกจึงไม่ค่อยคิดมากเท่าไร
สามสาวเพื่อนซี้มายังลานจาดรถสถานที่จัดงาน หลังจากเก็บของและเข้าไปนั่งในรถเรียบร้อยมาธาวีก็เอ่ยขึ้น
“ไปกินอะไรกันก่อนดีกว่าเนอะ เหนื่อยขนาดนี้กลับไปถึงบ้านแล้วก็อาบน้ำนอนเลย”
พูดแล้วหญิงสาวก็สตาร์ทรถเพื่อขับออกจากลานจอดรถ
“อื้ม ดีเหมือนกัน”
กัญญานันตอบรับ พิมพ์ปรางเองก็พยักหน้าเห็นด้วย
“งั้นดูร้านแถวๆ นี้แล้วกันนะ”
มาธาวีตัดสินใจ แล้ววนรถเพื่อไปด้านหน้าทางออก ขณะที่กำลังมุ่งมั่นกับการขับรถเสียงของกัญญานันก็ดังขึ้น
“นั่นพี่กลางนี่”
รถของพวกเธอกำลังผ่านด้านหน้า แล้วเห็นว่ากิตติกรเดินออกมาพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่ง
“พี่หนึ่งนี่นาสอง”
กัญญานันพูดขึ้นอีกครั้งทำให้มาธาวีชะลอรถแล้วเหลือบมองแต่ก็ไม่ได้หยุดเสียทีเดียว
“งั้นที่เขาบอกว่ามีคนไปส่งก็คือพี่ของก้อยเองเหรอ”
เมื่อรถผ่านมาแล้วก็มองทางกระจกหลัง เห็นว่าสองคนคุยกันยิ้มแย้ม พี่สาวไม่สังเกตเห็นรถของเธอด้วยซ้ำ
“อะไรกัน สองคนนั้นไปคลิกกันตอนไหนเนี่ย”
คนขับบ่นเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก ขณะที่กัญญานันที่นั่งด้านหน้าด้วยขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ มีเพียงพิมพ์ปรางที่นั่งเฉยไม่หันไปมองสองหนุ่มสาวเพราะเห็นว่ามันไม่เกี่ยวกับเธอ
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องของสองคนนั้นอีกเพราะสามสาวไม่ใช่พวกช่างเมาท์และมาธาวีไม่สนใจเรื่องของพี่สาวมากนัก กัญญานันเองก็รู้ดีว่ากิตติกรเป็นคนมีอัชฌาศัยดีกับผู้หญิงสวยๆ อยู่แล้ว
สามสาวตัดสินใจเลือกร้านที่การตกแต่งดูน่ารักร้านหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานที่จัดงานนักเพื่อสั่งอาหารง่ายๆ มาทาน ระหว่างที่กำลังรอของที่สั่งอยู่นั้นสองหนุ่มสาวคู่เดิมก็เดินเข้ามาในร้าน คนที่เห็นก่อนก็คือพิมพ์ปรางแต่เธอแค่มีสีหน้าคาดไม่ถึง ไม่ได้พูดอะไรนอกจากมองนิ่ง มาธาวีจึงมองตามแล้วก็เห็นว่าพี่สาวของตนกับพี่ชายของเพื่อนก็มาร้านเดียวกัน หญิงสาวรีบหันไปเขย่าแขนกัญญานันให้ดูด้วยกัน แม้จะหันมองทั้งสามคนแต่ไม่มีใครยกมือเรียกพวกเขาเพราะต่างก็คิดว่าสองคนนั้นต้องการความเป็นส่วนตัว แต่คนที่เข้ามาทีหลังกลับมองมาทางพวกเธอเสียก่อน แล้วกิตติกรก็เดินนำมาลินีเข้ามาหา
“พี่กลาง”
กัญญานันลุกขึ้นตามนิสัยที่เป็นคนมารยาทดี สองสาวจึงลุกตามแล้วยกมือไหว้กิตติกร
“สวัสดีค่ะ”
มาธาวีเอ่ยขึ้นเพราะเธอเพิ่งเจอชายหนุ่ม แต่พิมพ์ปรางแค่ยกมือไหว้
“มาทานข้าวกันเหรอ”
ชายหนุ่มกวาดตามองสามสาวแวบหนึ่งพร้อมกับถาม
“ค่ะ อยากกลับไปนอนกันเลยน่ะค่ะ”
เมื่อน้องสาวบอกกิตติกรจึงถามต่อ
“แล้วตกลงวันศุกร์นี้จะขึ้นภูกับพี่ไหม”
“วันศุกร์มีสอนค่ะ ต้องเป็นวันจันทร์ แต่เดี๋ยวดูอีกทีค่ะ อาจจะไม่กลับ”
“มิน่า”
กิตติกรเอ่ยขึ้นขำๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อขณะที่น้องสาวหน้างอเขาจึงหัวเราะเสียงดังขึ้นก่อนจะพูดกลั้วหัวเราะ
“เอาเถอะ ถึงพี่จะขี้เกียจฟังไอ้มินทร์บ่น แต่มันก็ตามใจน้องก้อยเอง แล้วน้องก้อยก็เป็นน้องพี่ พี่จะยอมทนฟังทนปลอบมันไปก็แล้วกัน”
“ปลอบอะไรกันคะ”
มาลินีรู้สึกเหมือนชายหนุ่มลืมตัวเองจึงถามขึ้นเรียกความสนใจให้กลับมาที่เธอ
“ก็น้องก้อยปล่อยให้มันนอนหนาวบนภูคนเดียวตลอด นานๆ ถึงจะยอมขึ้นภูไปกับมันสักที มันก็เลยบ่นว่าคงไม่ได้เห็นหน้ามินทร์น้อยง่ายๆ น่ะครับ ผมก็เลยได้แต่บอกให้ใช้เวลากับน้องก้อยเยอะๆ ตอนอยู่ที่ภูด้วยกัน”
“พี่กลางคะ”
กัญญานันห้ามพี่ชายเสียงเบาแต่หน้าแดงอย่างเห็นได้ชัดจนคนเป็นพี่ยิ้มขำ
“คุณกลางก็ ไปล้อน้องสาวตัวเองได้ยังไงคะ”
มาลินีถือวิสาสะตีแขนอีกฝ่ายเบาๆ ราวกับสนิทสนมมานาน โดยที่กิตติกรเองก็ไม่ได้ถือสา แต่สามสาวที่อยู่ด้วยก็คิดไปในทางเดียวกันว่าทั้งคู่อาจสนิทกันมากเป็นพิเศษ
“โอเคๆ พี่ไม่พูดแล้วก็ได้ครับ”
เมื่อเห็นน้องสาวขัดเขินที่คนอื่นมารับรู้เรื่องส่วนตัวกิตติกรจึงพยักหน้ายอมหยุดอย่างง่ายดาย
“แล้วนี่พี่กลางกับพี่หนึ่งจะนั่งด้วยกันมั้ยคะ”
กัญญานันเป็นคนถามขึ้นแล้วก็รู้สึกได้ถึงแรงกระแทกเบาๆ ที่ขาจากเมธาวี รู้ว่าเพื่อนไม่อยากให้พี่สาวมานั่งด้วยแต่เธอคิดว่ามาถึงขนาดนี้แล้วยังไงก็ต้องถาม แล้วก็สังเกตเห็นว่าสีหน้าของมาลินีชะงักไปชั่วอึดใจ พอพี่ชายเธอเลิกคิ้วถามอีกฝ่ายก็ยิ้มน้อยๆ ไม่ออกความเห็น
“ไม่ล่ะ น้องก้อยกับเพื่อนๆ สั่งไปแล้วนี่ พวกพี่เพิ่งมาถึง กว่าจะได้อาหารก็คงอีกสักพัก ทานกันคนละโต๊ะดีกว่าเสร็จแล้วจะได้กลับเลยไม่ต้องเกรงใจพี่”
กิตติกรเป็นคนตัดสินใจ แล้วสามสาวก็สังเกตเห็นใบหน้าสวยของมาลินีดูยิ้มแย้มขึ้นเล็กน้อยไม่ให้ดูน่าเกลียดจนเกินไป แต่คนเป็นน้องสาวก็จ้องพี่สาวด้วยสายตารู้ทันอีกฝ่ายจึงสะบัดหน้าใส่ แล้วก็หันไปเห็นสาวสวยอีกคนที่ดูเงียบที่สุดในกลุ่ม
“อ้อ ปราง”
เสียงเรียกของมาลินีทำให้ทุกคนในกลุ่มมองหญิงสาว
“ในงานไม่ได้เจอกันเลย พี่อยากบอกว่าพี่ชอบจินตะหรามากนะจ๊ะ”
“คะ?”
“นางจินตะหราวาตี ตัวที่ปรางแสดงน่ะค่ะ พี่ชอบมาก ปรางเล่นดีมากเลยจ้ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
คนถูกชมตอบรับเบาๆ พร้อมรอยยิ้มบาง
“แหม พูดแบบนี้บุษบาก็น้อยใจแย่สิคะ”
น้องสาวขัดพี่สาวขึ้นมา แล้วเหลือบมองทางกิตติกรแวบหนึ่งทำให้มาลินีรู้ตัว
“อุ๊ย พี่ไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบบุษบาหรือคุณก้อยไม่เก่งนะคะ พี่หมายถึงจินตะหราเข้ากับลุคกับหน้าของปรางมากเลยน่ะค่ะ เหมาะมาก อธิบายไม่ถูกแต่ดูแล้วอินสุดๆ เลยค่ะ”
หญิงสาวรีบอธิบายยาวเหยียด ส่วนกัญญานันยิ้มรับอย่างเต็มใจ
“ก้อยเข้าใจค่ะ ก้อยก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ปรางน่ะเหมาะกับจินตะหรามากๆ สวยหวาน นิสัยดี เรียบร้อย แล้วก็...”
“น่าสงสาร”
คำนี้มาธาวีเป็นคนขัดขึ้น ก่อนจะยักไหล่
“ไม่รู้สินะ ทั้งที่ไม่ชอบเลยแต่ก็ยอมรับล่ะว่าถ้าต้องแสดงบทนี้เมื่อไร ก็ต้องเป็นปรางทุกที”
กัญญานันยิ้มกับหน้างอๆ ของเพื่อน เมื่อเห็นพี่สาวของอีกฝ่ายคิ้วขมวดด้วยท่าทางไม่เข้าใจเธอจึงอธิบาย
“สองน่ะสดชื่นเกินกว่าจะเป็นจินตะหราได้น่ะค่ะ ก็เลยไม่ได้บทนี้ทั้งที่สองก็ชอบจินตะหรามากกว่าบุษบา”
มาลินีพยักหน้าเข้าใจ ในขณะที่คนเป็นน้องสาวทำเสียงไม่พอใจในลำคอ
“ผมว่าเราไปนั่งดีกว่านะครับ ยืนคุยกันนานจนคนในร้านกับพนักงานเริ่มมองกันแล้ว”
กิตติกรคิดว่าเขาควรจะเบรกสาวๆ ได้แล้ว
“นั่นสิคะ งั้นพี่ขอตัวนะคะ”
ทั้งสามสาวยกมือไหว้ชายหนุ่มหญิงสาวจากนั้นทั้งสองคนก็เดินไปนั่งในมุมที่ไกลออกไปแต่ก็ยังพอมองเห็นกันได้ แม้จะดูเหมือนสองโต๊ะไม่ได้สนใจอะไรกันอีกแต่มันไม่ใช่เลย ความรู้สึกบางอย่างบอกพิมพ์ปรางว่ามีสายตาคู่คมดุกำลังจ้องกดดันเธอ ถึงหญิงสาวจะไม่ได้เหลือบไปทางนั้นเลยก็ตาม
======