1.จินตะหรา

2360 คำ
เสียงข้อความเข้าดังขึ้นทำให้คนที่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วนั่งรอเพื่อนๆ หยิบมือถือของตนขึ้นมาเปิดดู เห็นเป็นข้อความจากพี่ชาย ‘น้องก้อยมายังไง ให้พี่ไปส่งไหม’ กัญญานันเห็นกิตติกรแล้วตั้งแต่ตอนที่แสดงอยู่บนเวทีจึงไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายจะถาม หญิงสาวจึงโทรกลับไป “ว่าไงครับน้องก้อย” “พวกเรามารถสองกันน่ะค่ะพี่กลาง” “อ๋อ โอเค งั้นพี่กลับก่อนเลยนะครับ” “ค่ะ ว่าแต่พี่กลางมาที่นี่ได้ยังไงคะ” “ว่าจะทำตลาดเครื่องประดับไทยประยุกต์น่ะ ก็เลยมาหาไอเดีย” “แบบนี้นี่เอง ร้านเป็นยังไงบ้างคะ” “ก็ดีนะ เราเป็นแบรนด์ที่คนรู้จักอยู่แล้ว เปิดสาขาเพิ่มคนก็สนใจ ถึงไม่ใช่เข้ามาทุกคนแล้วจะซื้อ แต่พี่ว่าพอไหว แล้วก็อยากเพิ่มสไตล์พื้นเมืองหรือไทยๆ เข้าไปด้วย น่าจะถูกใจคนที่นี่” “ค่ะ คนสมัยนี้เน้นความเป็นไทย ความเป็นพื้นเมือง ถ้าเขารู้สึกว่าซื้อแล้วจะได้ใช้เขาก็จะซื้อ” ระหว่างที่คุยกันพิมพ์ปรางที่เพิ่งเปลี่ยนชุดเสร็จเดินเข้ามาพร้อมกับถามด้วยสายตาว่าใคร กัญญานันจึงตอบแบบไม่มีเสียง “พี่กลาง” พิมพ์ปรางชะงักไปเพียงนิดเดียวเพื่อนสาวจึงไม่ทันสังเกต ก่อนจะเดินไปนั่งอีกมุมหน้ากระจกเช็ดเครื่องสำอาง “วันศุกร์เดี๋ยวพี่ไปหานะ ว่าจะไปพักผ่อนบนภูสักหน่อย จะได้รับน้องก้อยกลับบ้านด้วย ไอ้มินทร์บ่นจะแย่แล้วว่าแทบไม่เห็นหน้าเมียเลย” “เขาก็พูดไปอย่างนั้นเองค่ะ เพิ่งลงมาหาก้อยเมื่อสองวันที่แล้ว” “เฮ้อ...เรานี่ไม่เข้าใจผู้ชายเลยจริงๆ” น้องสาวฟังแล้วไม่ได้ตอบโต้อะไร ชายหนุ่มจึงไม่ได้ต่อความยาว “งั้นแค่นี้ก่อนนะน้องก้อย” “ค่ะ สวัสดีค่ะพี่กลาง” กัญญานันวางสายไปแล้วก็เอ่ยขึ้นแม้เพื่อนจะไม่ได้ถาม “พี่กลางโทรมาถามว่าจะให้ไปส่งไหมน่ะ” พิมพ์ปรางเพียงแค่เหลือบตามองอีกฝ่ายก็พูดต่อ “แต่ก้อยบอกไปแล้วล่ะว่ามารถสอง” หลังจากพิมพ์ปรางพยักหน้าตอบรับอย่างเข้าใจ ประตูก็เปิดเข้ามาโดยมาธาวี งานนี้เธอไม่ได้ร่วมแสดงด้วย แต่ทำหน้าที่ประสานงานกับทางผู้จัดงานในฐานะตัวแทนของโรงเรียน เพื่อความไม่วุ่นวายหญิงสาวจึงเลือกทำแค่หน้าที่เดียว “เรียบร้อยแล้วใช่ไหมสาวๆ” “จ้ะ แล้วสองล่ะมีอะไรอีกไหม” กัญญานันถามกลับ “ไม่แล้วล่ะ งานเสร็จ ทุกคนแฮปปี้ก็จบแล้ว แต่ว่าต้องถามพี่หนึ่งก่อนว่าจะเอายังไง เพราะเขายุ่งกว่าเรา” มาธาวีหมายถึงมาลินีพี่สาวของตนที่เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ดูแลการจัดงานครั้งนี้ “สองก็เลยมาดูว่าก้อยกับปรางเสร็จหรือยัง จะได้โทรไปบอกพี่หนึ่งว่าพวกเราพร้อมแล้ว” พร้อมกับพูดหญิงสาวก็กดเบอร์โทรออก รอสายไม่นานอีกฝ่ายก็รับ “ว่าไงคะคุณพี่สาว สองกับเพื่อนเรียบร้อยแล้วนะ กำลังจะกลับแล้ว” “พูดแบบนั้นได้ยังไง” กัญญานันบ่นเพื่อนแบบไม่มีเสียงอีกครั้งแต่มาธาวียักไหล่ “ย่ะ กลับกันไปเลย ฉันกลับของฉันเองได้” ปลายสายตอบกลับสั้นๆ “โทรให้รถที่บ้านมารับเหรอ” “เปล่า แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ถึงไม่มีเธอก็มีคนอยากไปส่งฉันเยอะแยะ” คนได้ยินเบะปากก่อนจะตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ “โอเค งั้นสองกับเพื่อนกลับแล้วนะคะ” “อืม” พี่สาวเอ่ยสั้นๆ แล้ววางสายไป มาธาวีถอนหายใจเบื่อหน่าย ถึงทั้งคู่จะไม่ได้เกลียดกันแต่ก็เป็นพี่น้องที่ไม่กินเส้นกันเอาเสียเลย ความคิด การใช้ชีวิตคนละขั้วสุดๆ “พี่หนึ่งไม่กลับกับเราเหรอ” “ใช่” “แล้วจะกลับยังไง” “เขาบอกว่ามีคนอยากไปส่งเขาเยอะแยะ” “พี่หนึ่งอาจจะประชดก็ได้” มาธาวียักไหล่ เพราะพี่สาวของเธอบอกมาแบบนั้นจะให้ทำอย่างไรได้ กัญญานันได้แต่ส่ายหน้า แม้มาลินีจะเอาแต่ใจและค่อนข้างจุกจิกแต่ก็หวังดีกับเพื่อนของเธอจริงๆ แต่น้องสาวไม่เคยสนใจหรือเชื่อในสิ่งที่พี่สาวบอก ทั้งคู่จึงเดินกันคนละเส้นทางตลอด แต่เมื่อเช้ารถของมาลินีมีปัญหากลางทางและต้องรีบมางาน แถมรถของที่บ้านก็ต้องไปส่งพ่อเลี้ยงศรากับแม่เลี้ยงมารตีไปเป็นประธานงานแต่งงานหนึ่ง พวกเธอกำลังเดินทางมางานนี้เช่นเดียวกันและต้องผ่านจุดนั้น มาลินีจึงโทรมาบอกว่าจะติดรถน้องสาวมาด้วย เมื่อมาถึงค่อนข้างช้ามาธาวีก็เลยโดนพี่สาวบ่นตามระเบียบ ทว่าเจ้าตัวก็ไม่ได้แคร์ “ในเมื่อเขาบอกมาแบบนั้นแล้วเราก็กลับกันเถอะ สองง่วงมากอ่ะ นอนดึกตื่นเช้า แถมวิ่งไปวิ่งมาดูความเรียบร้อยทั้งโชว์ของเราแล้วก็ของเด็กๆ จากโรงเรียนเราอีกสองโชว์มาทั้งวันแล้ว ล้าไปหมด อยากทิ้งตัวนอนจะแย่อยู่แล้ว” “แล้วจะไม่โทรถามที่บ้านหน่อยเหรอว่าพี่หนึ่งให้รถมารับหรือเปล่า” “คงงั้นแหละ ไม่งั้นคงไม่มั่นใจขนาดนั้นว่าตัวเองไม่ต้องพึ่งเรา หรือว่าอาจจะมีคนตามจีบเขาอาสาไปส่งจริงๆ ก็ได้ ใครจะไปรู้” มาธาวีบอกอย่างไม่แยแส กัญญานันได้แต่หันไปสบตากันเองกับพิมพ์ปรางแบบไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เพื่อนของเธอคงเห็นว่างานนี้จบแล้วและไม่ได้เลิกดึกจึงไม่ค่อยคิดมากเท่าไร สามสาวเพื่อนซี้มายังลานจาดรถสถานที่จัดงาน หลังจากเก็บของและเข้าไปนั่งในรถเรียบร้อยมาธาวีก็เอ่ยขึ้น “ไปกินอะไรกันก่อนดีกว่าเนอะ เหนื่อยขนาดนี้กลับไปถึงบ้านแล้วก็อาบน้ำนอนเลย” พูดแล้วหญิงสาวก็สตาร์ทรถเพื่อขับออกจากลานจอดรถ “อื้ม ดีเหมือนกัน” กัญญานันตอบรับ พิมพ์ปรางเองก็พยักหน้าเห็นด้วย “งั้นดูร้านแถวๆ นี้แล้วกันนะ” มาธาวีตัดสินใจ แล้ววนรถเพื่อไปด้านหน้าทางออก ขณะที่กำลังมุ่งมั่นกับการขับรถเสียงของกัญญานันก็ดังขึ้น “นั่นพี่กลางนี่” รถของพวกเธอกำลังผ่านด้านหน้า แล้วเห็นว่ากิตติกรเดินออกมาพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่ง “พี่หนึ่งนี่นาสอง” กัญญานันพูดขึ้นอีกครั้งทำให้มาธาวีชะลอรถแล้วเหลือบมองแต่ก็ไม่ได้หยุดเสียทีเดียว “งั้นที่เขาบอกว่ามีคนไปส่งก็คือพี่ของก้อยเองเหรอ” เมื่อรถผ่านมาแล้วก็มองทางกระจกหลัง เห็นว่าสองคนคุยกันยิ้มแย้ม พี่สาวไม่สังเกตเห็นรถของเธอด้วยซ้ำ “อะไรกัน สองคนนั้นไปคลิกกันตอนไหนเนี่ย” คนขับบ่นเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก ขณะที่กัญญานันที่นั่งด้านหน้าด้วยขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ มีเพียงพิมพ์ปรางที่นั่งเฉยไม่หันไปมองสองหนุ่มสาวเพราะเห็นว่ามันไม่เกี่ยวกับเธอ หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องของสองคนนั้นอีกเพราะสามสาวไม่ใช่พวกช่างเมาท์และมาธาวีไม่สนใจเรื่องของพี่สาวมากนัก กัญญานันเองก็รู้ดีว่ากิตติกรเป็นคนมีอัชฌาศัยดีกับผู้หญิงสวยๆ อยู่แล้ว สามสาวตัดสินใจเลือกร้านที่การตกแต่งดูน่ารักร้านหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานที่จัดงานนักเพื่อสั่งอาหารง่ายๆ มาทาน ระหว่างที่กำลังรอของที่สั่งอยู่นั้นสองหนุ่มสาวคู่เดิมก็เดินเข้ามาในร้าน คนที่เห็นก่อนก็คือพิมพ์ปรางแต่เธอแค่มีสีหน้าคาดไม่ถึง ไม่ได้พูดอะไรนอกจากมองนิ่ง มาธาวีจึงมองตามแล้วก็เห็นว่าพี่สาวของตนกับพี่ชายของเพื่อนก็มาร้านเดียวกัน หญิงสาวรีบหันไปเขย่าแขนกัญญานันให้ดูด้วยกัน แม้จะหันมองทั้งสามคนแต่ไม่มีใครยกมือเรียกพวกเขาเพราะต่างก็คิดว่าสองคนนั้นต้องการความเป็นส่วนตัว แต่คนที่เข้ามาทีหลังกลับมองมาทางพวกเธอเสียก่อน แล้วกิตติกรก็เดินนำมาลินีเข้ามาหา “พี่กลาง” กัญญานันลุกขึ้นตามนิสัยที่เป็นคนมารยาทดี สองสาวจึงลุกตามแล้วยกมือไหว้กิตติกร “สวัสดีค่ะ” มาธาวีเอ่ยขึ้นเพราะเธอเพิ่งเจอชายหนุ่ม แต่พิมพ์ปรางแค่ยกมือไหว้ “มาทานข้าวกันเหรอ” ชายหนุ่มกวาดตามองสามสาวแวบหนึ่งพร้อมกับถาม “ค่ะ อยากกลับไปนอนกันเลยน่ะค่ะ” เมื่อน้องสาวบอกกิตติกรจึงถามต่อ “แล้วตกลงวันศุกร์นี้จะขึ้นภูกับพี่ไหม” “วันศุกร์มีสอนค่ะ ต้องเป็นวันจันทร์ แต่เดี๋ยวดูอีกทีค่ะ อาจจะไม่กลับ” “มิน่า” กิตติกรเอ่ยขึ้นขำๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อขณะที่น้องสาวหน้างอเขาจึงหัวเราะเสียงดังขึ้นก่อนจะพูดกลั้วหัวเราะ “เอาเถอะ ถึงพี่จะขี้เกียจฟังไอ้มินทร์บ่น แต่มันก็ตามใจน้องก้อยเอง แล้วน้องก้อยก็เป็นน้องพี่ พี่จะยอมทนฟังทนปลอบมันไปก็แล้วกัน” “ปลอบอะไรกันคะ” มาลินีรู้สึกเหมือนชายหนุ่มลืมตัวเองจึงถามขึ้นเรียกความสนใจให้กลับมาที่เธอ “ก็น้องก้อยปล่อยให้มันนอนหนาวบนภูคนเดียวตลอด นานๆ ถึงจะยอมขึ้นภูไปกับมันสักที มันก็เลยบ่นว่าคงไม่ได้เห็นหน้ามินทร์น้อยง่ายๆ น่ะครับ ผมก็เลยได้แต่บอกให้ใช้เวลากับน้องก้อยเยอะๆ ตอนอยู่ที่ภูด้วยกัน” “พี่กลางคะ” กัญญานันห้ามพี่ชายเสียงเบาแต่หน้าแดงอย่างเห็นได้ชัดจนคนเป็นพี่ยิ้มขำ “คุณกลางก็ ไปล้อน้องสาวตัวเองได้ยังไงคะ” มาลินีถือวิสาสะตีแขนอีกฝ่ายเบาๆ ราวกับสนิทสนมมานาน โดยที่กิตติกรเองก็ไม่ได้ถือสา แต่สามสาวที่อยู่ด้วยก็คิดไปในทางเดียวกันว่าทั้งคู่อาจสนิทกันมากเป็นพิเศษ “โอเคๆ พี่ไม่พูดแล้วก็ได้ครับ” เมื่อเห็นน้องสาวขัดเขินที่คนอื่นมารับรู้เรื่องส่วนตัวกิตติกรจึงพยักหน้ายอมหยุดอย่างง่ายดาย “แล้วนี่พี่กลางกับพี่หนึ่งจะนั่งด้วยกันมั้ยคะ” กัญญานันเป็นคนถามขึ้นแล้วก็รู้สึกได้ถึงแรงกระแทกเบาๆ ที่ขาจากเมธาวี รู้ว่าเพื่อนไม่อยากให้พี่สาวมานั่งด้วยแต่เธอคิดว่ามาถึงขนาดนี้แล้วยังไงก็ต้องถาม แล้วก็สังเกตเห็นว่าสีหน้าของมาลินีชะงักไปชั่วอึดใจ พอพี่ชายเธอเลิกคิ้วถามอีกฝ่ายก็ยิ้มน้อยๆ ไม่ออกความเห็น “ไม่ล่ะ น้องก้อยกับเพื่อนๆ สั่งไปแล้วนี่ พวกพี่เพิ่งมาถึง กว่าจะได้อาหารก็คงอีกสักพัก ทานกันคนละโต๊ะดีกว่าเสร็จแล้วจะได้กลับเลยไม่ต้องเกรงใจพี่” กิตติกรเป็นคนตัดสินใจ แล้วสามสาวก็สังเกตเห็นใบหน้าสวยของมาลินีดูยิ้มแย้มขึ้นเล็กน้อยไม่ให้ดูน่าเกลียดจนเกินไป แต่คนเป็นน้องสาวก็จ้องพี่สาวด้วยสายตารู้ทันอีกฝ่ายจึงสะบัดหน้าใส่ แล้วก็หันไปเห็นสาวสวยอีกคนที่ดูเงียบที่สุดในกลุ่ม “อ้อ ปราง” เสียงเรียกของมาลินีทำให้ทุกคนในกลุ่มมองหญิงสาว “ในงานไม่ได้เจอกันเลย พี่อยากบอกว่าพี่ชอบจินตะหรามากนะจ๊ะ” “คะ?” “นางจินตะหราวาตี ตัวที่ปรางแสดงน่ะค่ะ พี่ชอบมาก ปรางเล่นดีมากเลยจ้ะ” “ขอบคุณค่ะ” คนถูกชมตอบรับเบาๆ พร้อมรอยยิ้มบาง “แหม พูดแบบนี้บุษบาก็น้อยใจแย่สิคะ” น้องสาวขัดพี่สาวขึ้นมา แล้วเหลือบมองทางกิตติกรแวบหนึ่งทำให้มาลินีรู้ตัว “อุ๊ย พี่ไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบบุษบาหรือคุณก้อยไม่เก่งนะคะ พี่หมายถึงจินตะหราเข้ากับลุคกับหน้าของปรางมากเลยน่ะค่ะ เหมาะมาก อธิบายไม่ถูกแต่ดูแล้วอินสุดๆ เลยค่ะ” หญิงสาวรีบอธิบายยาวเหยียด ส่วนกัญญานันยิ้มรับอย่างเต็มใจ “ก้อยเข้าใจค่ะ ก้อยก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ปรางน่ะเหมาะกับจินตะหรามากๆ สวยหวาน นิสัยดี เรียบร้อย แล้วก็...” “น่าสงสาร” คำนี้มาธาวีเป็นคนขัดขึ้น ก่อนจะยักไหล่ “ไม่รู้สินะ ทั้งที่ไม่ชอบเลยแต่ก็ยอมรับล่ะว่าถ้าต้องแสดงบทนี้เมื่อไร ก็ต้องเป็นปรางทุกที” กัญญานันยิ้มกับหน้างอๆ ของเพื่อน เมื่อเห็นพี่สาวของอีกฝ่ายคิ้วขมวดด้วยท่าทางไม่เข้าใจเธอจึงอธิบาย “สองน่ะสดชื่นเกินกว่าจะเป็นจินตะหราได้น่ะค่ะ ก็เลยไม่ได้บทนี้ทั้งที่สองก็ชอบจินตะหรามากกว่าบุษบา” มาลินีพยักหน้าเข้าใจ ในขณะที่คนเป็นน้องสาวทำเสียงไม่พอใจในลำคอ “ผมว่าเราไปนั่งดีกว่านะครับ ยืนคุยกันนานจนคนในร้านกับพนักงานเริ่มมองกันแล้ว” กิตติกรคิดว่าเขาควรจะเบรกสาวๆ ได้แล้ว “นั่นสิคะ งั้นพี่ขอตัวนะคะ” ทั้งสามสาวยกมือไหว้ชายหนุ่มหญิงสาวจากนั้นทั้งสองคนก็เดินไปนั่งในมุมที่ไกลออกไปแต่ก็ยังพอมองเห็นกันได้ แม้จะดูเหมือนสองโต๊ะไม่ได้สนใจอะไรกันอีกแต่มันไม่ใช่เลย ความรู้สึกบางอย่างบอกพิมพ์ปรางว่ามีสายตาคู่คมดุกำลังจ้องกดดันเธอ ถึงหญิงสาวจะไม่ได้เหลือบไปทางนั้นเลยก็ตาม ======
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม