ก้อย...
ก่อนหน้านี้...
หลังจากคืนวันบายเนียร์งานเลี้ยงอำลานักศึกษาปีสี่อย่างพวกเราจบลงไป ฉันก็เริ่มต้นใช้ชีวิตของคนวัยทำงานและดูแลแม่ไปพร้อมๆกัน ที่บ้านของฉันไม่ได้มีมรดกหรือสมบัติอะไรมากมายเหมือนบรรดาเพื่อนๆของฉัน
ฉันไม่ได้เรียนเก่งอะไรจนมีเกรดเฉลี่ยสูงๆพอที่จะเข้าทำงานในบริษัทใหญ่ๆเงินเดือนแพงๆเหมือนคนอื่นเพราะตอนเรียนเวลาของฉันทั้งหมดถูกยกให้งานพิเศษและแม่
ตอนนี้คนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยให้ฉันได้เข้าทำงานในตำแหน่งดีๆของบริษัทใหญ่ๆที่มีเงินเดือนแพงๆก็คือคุณน้าฟาเรนท์แม่ของเดือนหนาวเพื่อนสนิทของฉัน ถึงแม้ว่าในใจจะรู้สึกละอายที่ได้ทุกอย่างมาแบบง่ายๆแต่ลึกๆแล้วฉันก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่อยากทำงานดีๆมีเงินเดือนเยอะๆฉันก็เลยรับไว้
ฉันได้เข้าทำงานในบริษัทที่มีโครงการคอนโดและโรงแรมชื่อดังมากมายในเครือ ในตำแหน่งผู้ช่วยเลขาการตลาด ส่วนเดือนหนาวเองก็เริ่มเรียนรู้ในตำแหน่งผู้ช่วยการตลาดโดยมีฉันเป็นเลขานางต่ออีกที ซึ่งมันดีมากๆเลยแหละที่ได้ทำงานกับเพื่อนตัวเองถึงอนาคตข้างหน้าฉันจะได้เป็นแค่เลขาของเพื่อนตัวเองก็เถอะ แค่นี้บุญคุญของแม่เพื่อนและเพื่อนล้นหัวจนชดใช้ไม่หมดอยู่แล้ว
" เป็นยังไงลูกเริ่มฝึกงานแล้ว "
แม่ของฉันที่นอนเป็นผู้ป่วยติดเตียงอยู่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส ฉันนั่งลงเก้าอี้ข้างๆเตียงก่อนจะกุมมือแม่เอาไว้และส่งยิ้มให้แม่เหมือนที่เคยทำทุกวัน
" ก้อยยังไม่ค่อยได้เรียนรู้งานอะไรเยอะหรอกค่ะแม่ผู้จัดการบอกว่าค่อยๆเรียนรู้ไปช้าๆ แต่ตอนนี้ก้อยเริ่มสนิทกับเพื่อนร่วมงานหลายๆคนแล้วนะคะ "
เวลาที่ฉันมาหาแม่ที่โรงพยาบาลฉันก็มักจะเล่าเรื่องราวต่างๆให้แม่ฟังบ่อยๆ ถ้าเป็นสมัยที่เรียนอยู่ฉันก็จะเล่าเรื่องราวในมหาลัยให้แม่ฟัง แต่ตอนนี้ฉันเริ่มได้เล่าเรื่องราวใหม่ๆให้แม่ฟังแล้วล่ะนั่นก็คือเรื่องราวการทำงานในแต่ละวัน มันเป็นเรื่องแปลกใหม่และตื่นเต้นสำหรับแม่ฉันมาก ท่านสนใจและตั้งใจฟังทุกครั้งทั้งยังคอยถามนู่นนี่นั่นอยู่ตลอดเวลา
" โหนี่เราคุยกันจนดึกเลยค่ะแม่ ก้อยว่าแม่นอนพักดีกว่าเนอะ เดี๋ยวก้อยจะนอนเฝ้าแม่เองแต่ขอไปอาบน้ำก่อนนะคะ "
แม่ฉันพยักหน้าพลางยิ้มน้อยๆส่งมาให้ก่อนที่ท่านจะหลับตาลง ฉันจัดการห่มผ้าให้แม่เสร็จแล้วก็รื้อเสื้อผ้าในลิ้นชักข้างเตียงออกมา ฉันจะมีเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวทิ้งไว้ที่นี่น่ะ เวลามาค้างกับแม่ฉันจะได้ไม่ต้องเตรียมมาอีก
" มากี่วันก็ยังไม่เจอหมอคนใหม่ที่มาดูแลแม่สักที จะเป็นคนยังไงกันนะ ต้องเก่งแน่ๆเลยแม่อาการดีขึ้นขนาดนี้ "
ฉันคุยกับเงาของตัวเองในห้องน้ำก่อนจะจัดการแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วเดินมาล้มตัวลงนอนตรงโซฟา แย่หน่อยที่มาค้างที่นี่กี่ครั้งฉันก็ลืมผ้าห่มทุกที ห่มแต่ผ้าเช็ดตัวที่เปียกๆของตัวเองตลอดเลย
.
.
.
กระทั่งตอนนี้...
แสงไฟสว่างจ้าในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวทำให้ฉันที่หลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราวตั้งแต่เมื่อคืนค่อยๆปรือตาขึ้นมา โซฟาในห้องของแม่นุ่มกว่าทุกครั้งที่ฉันเคยนอนแถมผ้าห่มยังห๊อมหอม...เดี๋ยวนะผ้าห่มนี่...
" เฮ้ย คุณหมอพี่ภาค!! "
ฉันตกใจรีบดีดตัวลุกขึ้นจากโซฟาในห้องสีขาวที่มีพี่ภาค หรือพี่หมอภาคที่ยัยหนาวเคยแอบปลื้มอยู่กำลังนั่งทำงานบนโต๊ะที่มีแฟ้มผู้ป่วยวางเรียงรายอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
" ตื่นแล้วก็เงียบด้วยนะครับ "
คนตัวสูงในชุดกราวน์เหลือบมามองฉันก่อนจะก้มหน้าก้มตาไปสนใจเอกสารตรงหน้าต่อ แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงเนี่ย
" พี่เอ้ยหมอพาฉันมาที่นี่หรอ "
ฉันรีบเดินดุ่มๆไปหยุดตรงหน้าโต๊ะทำงานทันที ก็เมื่อคืนฉันนอนในห้องแม่แล้วเช้ามาฉันก็มาตื่นในห้องนี้?
" เรียกพี่ก็ได้ครับ แล้วที่มาที่นี่ได้ก็เพราะ... "
" พี่อุ้มฉันมาหรอ "
ไม่รอให้คนตรงหน้าพูดจบฉันก็รีบตัดบทพูดสวนขึ้นมาทันที ต้องใช่แน่ๆ
" หนักขนาดนั้นพี่อุ้มไม่ไหวหรอกครับ "
ไม่ได้อุ้มฉันมาแล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันหนัก
" งั้นฉันละเมอเดินมางี้หรอ "
ฉันเอียงคอถามด้วยความสงสัย
" เปล่าครับแต่เวรเปลที่เข็นศพเข้าห้องเย็นเข็นผ่านมาพี่เลยให้เขาเข็นเราเข้ามาในนี้ให้ นอนหนาวแบบนั้นกลัวว่าจะกลายเป็นศพจริงๆไปซะก่อน "
อ๊าก ไอ้หมอคนนี้กวนตีนชะมัด
" หึ้ย ฉันไม่คุยกับพี่แล้วแหละเสียเวลา ไปหาแม่ดีกว่า "
ฉันวางผ้าห่มที่พาดบนไหล่ตัวเองไว้ตรงหน้าโต๊ะทำงานของคนตรงหน้าก่อนจะเดินออกมา แต่เขาก็ทำให้ฉันต้องชะงักเท้าแทบหัวทิ่มเพราะประโยคถัดมา
" หน้าก็ไม่ล้าง ฟันก็ไม่แปรงแถมชุดชั้นในก็ยังไม่ใส่ขืนออกไปหาคนไข้พี่ตอนนี้มีหวังนักศึกษาที่กำลังฝึกสังเกตุอาการคนไข้พี่ได้เสียสมาธิพอดี "
อะไรนะ นี่แม่ฉันเป็นคนไข้ของพี่เขาหรอ
" แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะ แล้วใครบอกให้พี่พาฉันมาที่นี่ "
ฉันมุ่ยหน้าใส่ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าห่มมาคลุมตัวเอาไว้เพราะกำลังโนบราอยู่แล้วเดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟาเหมือนเดิม
ฉันรู้น่าว่าแม่ฉันน่ะเป็นเคสศึกษา แต่ใครจะรู้ล่ะว่าวันนี้จะมีนักศึกษาแพทย์มาสังเกตุอาการแม่แต่เช้าแบบนี้ แล้วเมื่อคืนแม่ก็ไม่ได้บอกอะไรฉันด้วยแถมยังไม่มีเจ้าหน้าที่โทรไปแจ้งฉันเลยสักคน
" ปกติคุณแม่ของเราน่ะทุกสามเวลาจะมีนักศึกษาแพทย์เปลี่ยนเวรกันเข้าไปสอบถามอาการไปดูแลท่าน ส่วนพี่ก็จะแวะเข้าไปดูท่านแค่วันละหนึ่งครั้งเท่านั้น ตั้งแต่ที่มีนักศึกษาแพทย์เข้ามาช่วยดูแลท่าน ท่านก็มีอาการดีขึ้นกว่าปกติมาก สงสัยท่านจะชอบพูดชอบคุยน่ะ ได้เจอหน้าหรือคุยกับใครหลายๆคนท่านก็เลยไม่เครียดพลอยอาการดีขึ้นไปด้วย "
ฉันนั่งฟังพี่เขาเล่าอาการของแม่อย่างเงียบๆ แบบนี้แม่ก็หายเร็วน่ะสิ
" แล้วไม่เคยมีใครบอกหรือไงว่าอยู่นอกสถานที่ที่ไม่ใช่บ้านหรือห้องนอนตัวเองไม่ควรโนบราแบบนี้ เห็นแล้วสยิว "
" พี่!! "
" เงียบๆด้วยครับ พี่ต้องทำงาน "
หึ้ย กวนประสาทเก่งแบบนี้ดีแล้วแหละที่ยัยหนาวเลือกไวน์ บอกให้ฉันเงียบแต่ตัวเองดันชวนเขาคุยซะงั้น
" แล้วพี่รู้ได้ยังไงว่าฉันโนบรา หรือว่าพี่แอบดูตอนฉันหลับ "
แล้วฉันจะถามทำไมเนี่ย
" เล็กแทบควานหาไม่เจอแบบนั้นพี่ไม่แอบดูให้เสียลูกตาหรอกครับ "
อ๊ากกก
" มันจะมากไปแล้วนะ ไหนบอกว่าไม่ได้แอบดูไง "
ฉันโวยวาย
" แล้วที่รู้ว่าโนบราอยู่ก็หัวนมน้องชี้หน้าพี่ขนาดนั้นดูไม่ออกก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วครับ "
กรี๊ดดดด ทำไมเขายังพูดอะไรแบบนี้ได้หน้าตาเฉยโดยที่ไม่สะทกสะท้านอะไรเลยนะ
ตอนนี้ฉันได้แต่นั่งนิ่งๆในห้องทำงานของใครบางคนที่กำลังทำหน้านิ่งนั่งทำงานท่ามกลางกองเอกสารมากมายที่มองดูก็รู้แล้วว่าเป็นแฟ้มคนไข้ในโรงพยาบาลแห่งนี้ แถมผู้ชายคนนี้ยังเป็นผู้ชายคนเดียวกับที่เพิ่งสารภาพรักกับเพื่อนซี้ฉันไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาแต่ถูกเพื่อนของฉันปฏิเสธเพราะนางมีแฟนแล้ว นับว่าเป็นโชคดีของเพื่อนฉันเลยแหละที่ปฏิเสธผู้ชายคนนี้ไป เพราะตัวจริงเขาคือหมอโรคจิตที่กวนประสาทเก่งต่างจากบุคคลิกของเขาที่หลายๆคนเห็นกัน