บทเรียนที่ 2 ทริปเที่ยวแถมไข้หวัด (1)

2371 คำ
“อึก... อื้อ.. กี่โมง..แล้วเนี่ย..” “วันนี้วันเสาร์ เวลาแปดนาฬิกายี่สิบหกนาที อุณหภูมิตอนนี้อยู่ที่24องศา เหมาะแก่การสูดอากาศบริสุทธิ์ มีเมฆมากในช่วงบ่ายอาจมีฝนในช่วงบ่ายควรพกร่มติดตัวตอนออกไปข้างนอกนะครับ” เสียงเอ่ยทักขึ้นจากที่ไม่ไกลมากนักก่อนผ้าม่านจะถูกเปิดออกเพื่อให้แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องเข้ามาด้านในห้องนอนที่มืดอึมครึมจนนึกว่าเป็นห้องเก็บของมากกว่าห้องนอนก่อนเดินผละออกไป ร่างพยุงตัวลุกขึ้นมาด้วยความเพลีย ขยี้ตาไปมาแล้วเริ่มกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง “หื้ม... ห้อง..สะอาดจัง หื้ม..สะอาดแปลกๆ ... ทำไมห้องมัน...ดูโล่งเหมือนขาดอะไรไป...” ฝีเท้าพยุงตัวขึ้นมาจากเตียงค่อยๆ เดินกวาดตามองไปรอบๆ ห้องอีกครั้ง.... “หื้ม...ตรงนี้มันควรมีกล่องฟิกเกอร์ที่ยังไม่ได้แกะกล่องออกมาไม่ใช่หรือไง? ฟิกเกอร์ด้วย..มันหายปะ.. อ้ะ! ว๊ากกกกก!!” เสียงกรีดร้องราวกับคนกำลังโดนไฟคลอกดังระงมออกมาจากห้องนอน ร่างรีบตั้งตัววิ่งเข้าไปยังห้องครัวที่หุ่นยนต์อย่างเชนกำลังทำงานอยู่ และแน่นอนว่าในมือของเชนถือถุงดำขนาดใหญ่ที่ดูยัดอะไรลงไปไม่รู้ตั้งมากมายจนกลายเป็นถุงต้องสงสัยแบบไม่ต้องพูดอะไรก็รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างในถุงนั่นแน่ “เฮ่ย! วางถุงนั่นลงเดี๋ยวนี้!” “ครับ (. .) ?” มือหนาวางถุงดำนั่งลงอย่างระมัดระวังก่อนที่พาวินจะวิ่งตรงไปยังถุงแล้วคุ้ยมันออกมาราวกับสุนัขที่พยายามตะกุยหาของกินในถุงขยะอย่างเดือดกระหาย ภายในถุงมีทั้งขวดเหล้ากับขยะแต่มันกลับไม่มีกล่องฟิกเกอร์หรือโมเดลฟิกเกอร์แสนล้ำค่าที่ว่านั่นเลย “นี่! กล่อง...กล่องฟิกเกอร์กับโมเดลที่ฉันเก็บไว้ในห้องไปไหน?!” “กล่อง? อ่อ..กล่องที่คุณเก็บไว้ในห้องใช่ไหมครับ ผมคิดว่ามันไม่สมควรจะเก็บไว้ในห้องแบบนั้น ก็เลยเก็บไว้อีกห้องที่คุณไม่ได้ใช้ครับ ขออนุญาตที่ถือวิสาสะโดยไม่ได้รับอนุญาต ผมดัดแปลงห้องนั้นใหม่แล้วเอาของพวกนั้นไปเก็บไว้ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วครับ ไม่มีชิ้นไหนเสียหาย อย่ากังวล ขออภัยด้วยครับ” ร่างสูงก้มโค้งลงเล็กน้อยด้วยสีหน้ารู้สึกผิด ในขณะเดียวกันที่พาวินรีบวิ่งหน้าตั้งไปยังห้องที่อีกฝ่ายว่าไว้ เปิดประตูออกกว้างเพื่อเช็กถึงของล้ำค่าของเขาว่าอยู่ภายในห้องนั่นหรือไม่ “อ่ะ...” ภายในห้องถูกจัดขึ้นใหม่ในขณะที่เจ้าของห้องเองยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตู้กระจกเก่าๆ ที่ไม่ได้ใช้ มันถูกเคลื่อนย้ายปัดฝุ่นให้ดูเหมือนใหม่และภายในตู้ที่มีโมเดลฟิกเกอร์ถูกตั้งเรียงอย่างสวยงามเป็นระเบียบอีกด้วย “...เอ่อ..นาย..ทำหมดเลยเหรอ? คนเดียว เอาเวลาไปทำตอนไหนเนี่ย?” “ผมเห็นในห้องของคุณมันรกเลอะเทอะเลยจัดการทำความสะอาดทั้งหมดตอนคุณหลับ และเห็นว่ากล่องและสิ่งที่คุณเรียกว่าโมเดลฟิกเกอร์พวกนี้มันถูกตั้งโชว์อย่างไม่เป็นระเบียบ ผมเลยคิดว่าควรจะจัดให้มันอยู่ในที่ที่เหมาะสมเริ่มจากการค้นข้อมูลแนวทางจากความรู้ทั้งหมดที่ผมค้นหาจนได้ทั้งห้องนี้ครับ มันไม่ยากเกินความสามารถของผม อีกอย่างอุปกรณ์ของคุณก็มีเตรียมพร้อมไว้แล้วด้วย มันเลยเป็นเรื่องง่ายที่ผมจะจัดเรียงห้องนี้ขึ้นมาใหม่” พาวินอ้าปากค้างจ้องมองรอบๆ ห้องอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าห้องทั้งหมดจะถูกจัดและตกแต่งใหม่ในข้ามคืน จากสภาพรูหนูห้องเก่าๆ โทรมๆ กลายเป็นห้องตั้งโชว์ที่ดูเหมือนใหม่ดูแพงขึ้นมาทั้งที่เขาไม่ได้จ่ายเงินเลยสักแดงเดียว แถมยังดูแพงไม่เหมาะกับบ้านของเขาเลยสักนิด “...จริงๆ ฉันก็จะเอาห้องนี้มาเก็บอยู่หรอก แต่มันไม่มีเวลาว่างเลยไม่ได้ทำ ก็เลยซื้อของมาดองเอาไว้กะว่าว่างๆ จะทำแต่ก็ลืมจนมันฝุ่นเกาะไปหมด..... เอ่อ..แบบว่า.. ขอบใจ” ริมฝีปากขบเม้มกันเบาๆ พาวินยกสายตาเหลือบมองอีกฝ่าย ในขณะที่เชนทำหน้านิ่งเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรกับการชมเลยสักนิด “นายจะดีใจ หรือยิ้มหน่อยไม่ได้หรือไง?” “ดีใจ? ยิ้ม? มันคืออะไรครับ” “อ่า.. แบบว่า เวลาถูกชม ชมก็คือการที่นายทำอะไรที่เขารู้สึกเห็นดีเห็นชอบ เขาก็จะชมนายเพราะมันเป็นเรื่องที่ดี พอนายได้รับคำชม นายก็จะรู้สึกดีใจ..แบบว่าอ่า.. ภูมิใจในตัวเอง มีแรงจูงใจให้ทำต่อไป” “งั้นแบบนี้คุณก็กำลังชมผมอยู่ใช่ไหมครับ? ผมควรจะดีใจ อ่อ..ผมกำลังดีใจ” เชนพูดแบบนั้นแต่สีหน้าของเขานั้นดิ่งลงเหวเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำว่าดีใจเลยสักนิด “ฮ่า ฮ่า มันก็อธิบายไม่ถูก นายจะเข้าใจเองถ้านายรู้ด้วยตัวเองมากกว่า ส่วนยิ้มก็... แบบนี้” ริมฝีปากเล็กฉีกยิ้มออกมาให้คนตรงหน้าดูเป็นตัวอย่าง ในขณะที่เชนเบิกตากว้างมองด้วยความแปลกตาเอนศีรษะท่าทางเหมือนลูกสุนัขที่ได้รับการเรียนรู้ใหม่ “ยิ้ม...” เขายกมุมปากเพื่อพยายามลอกเลียนแบบพาวินที่ยิ้มให้ดู แต่ผลมันกลับตรงกันข้าม “อะไรน่ะ ยิ้มอย่างงั้นน่ากลัวชะมัด นายจะถลึงตาแล้วยิ้มไม่ได้นะ ทำตาปกติสิ” “..ยากจังนะครับ” “มันยากตรงไหนกัน แค่นี้เอง มานี่สิ” นิ้วเรียวสัมผัสที่ใบหน้า ใช้นิ้วชี้ทั้งสองข้างค่อยๆ ยกมุมปากตรงหน้าให้ยกสูงขึ้นเพื่อสอนให้อีกฝ่ายรู้จักยิ้มเป็น “เนี่ย ทำมุมปากแบบนี้แล้วก็ค้างไว้นะ ฉันจะปล่อยมือ อ่ะ.. อะไร?” มือหนาเลื่อนขึ้นมาจับมือทั้งสองข้างไว้เบาๆ “มือคุณอุ่นๆ นะครับ คุณกำลังมีไข้ผมเห็นอุณภูมิร่างกายของคุณสูงมากเลย จากการสแกนร่างกายคุณกำลังจะเป็นไข้หวัดควรพักผ่อน” “ก็แค่มืออุ่นเฉยๆ ไม่ใช่หรือไง? อ่ะ เฮ้!? จะเอาหน้ามาใกล้ทำไมเนี่ยอ่ะ..” ใบหน้าเรียวได้รูปตรงหน้าเริ่มขยับเลื่อนเข้ามาใกล้จนหน้าผากแนบชิดกัน “ถอยออกไปเลยนะมันจั๊กจี้เว้ย! ” ต่อให้พยายามดันตัวออก แต่ก็สู้แรงหุ่นไม่ไหวเลยสักนิด “อุณหภูมิร่างกายสูงจริงๆ นะครับ คุณควรพักผ่อนได้แล้ว ผมจะเตรียมอาหารรสชาติเบาๆ ให้คุณ” “แค่กินยาก็พอ” ร่างผละออกอย่างรวดเร็วก่อนฝีเท้าเล็กเดินกลับไปยังครัวด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก “หิว หิวเว้ย! ตู้เย็นมีอะไรกินมั่ง...” ซึ่งตู้เย็น มาพร้อมกับความว่างเปล่าอยู่ภายใน มีเพียงผักเน่าๆ กับน้ำเปล่าสองขวดที่ขวดหนึ่งยังไม่ได้กรอกน้ำ มีแค่ขวดเปล่าๆ เท่านั้น “เอาจริงดิ อะไรเนี่ยฉันซื้อตุนไว้เป็นเดือนนั่นกินหมดเลยเหรอ? อ่า!” สายตาเหลือบมองไปยังอีกฝ่ายที่กำลังจ้องมองชุดที่ตัวเองกำลังสวมด้วยสีหน้าแปลกตา “...เชน ไปข้างนอกกันไหม? ไหนๆ ก็จะออกไปหาอะไรกิน ฉันจะพานายไปเปิดหูเปิดตา” “เปิดหูเปิดตา? คืออะไร?” พาวินจ้องมองท่าทางงงงวยนั่นแล้วมองบนเล็กน้อย เขาไม่สามารถทำอะไรได้ ก็ในเมื่ออีกฝ่ายอารมณ์เหมือนเด็กน้อยที่ยังไม่รู้ประสีประสาอะไรเลยด้วยซ้ำ “.....อ่า ช่างเถอะ เราจะไปข้างนอกกัน เตรียมตัวดีๆ เลย” ... เมือง “กินอะไรดีล่ะ” พาวินจ้องมองไปยังร้านอาหารใกล้ๆ สำหรับอาหารเช้าที่เขายังไม่ได้ทานกันทั้งคู่ “เมนูตอนเช้าต้องเป็นเมนูที่กินแล้วต้องหลั่งน้ำตา เพราะงั้นกินผัดกะเพราดีกว่า ป่ะ” “ผัดกะเพรา?” “ใช่ เมนูสิ้นคิดของฉันเองล่ะ” พาวินฉีกยิ้มกว้างกระนั้นก็ยังคว้ามือจูงอีกฝ่ายเดินตรงไปยังร้านอาหารตามสั่งข้างทาง “ป้าคร้าบบบ กะเพราหมูจานนึง ขอแบบ... กินแล้วซี๊ดดดดดด! เลยนะ” “ซี๊ดนี่ต้องพริกกี่เม็ดล่ะลูก ไปลูก ไปนั่งรอก่อนนะ” ทั้งคู่ตรงเข้ามานั่งด้านใน ภายในเต็มไปด้วยบรรยากาศธรรมดาแต่ให้ความรู้สึกเป็นกันเองด้วยรอยยิ้มของแม่ค้าที่คอยยิ้มต้อนรับลูกค้าเสมอ น้ำยกเข้ามาเสิร์ฟให้สำหรับสองที่พร้อมกับบทสนทนาที่ค่อยๆ เริ่มขึ้นระหว่างรอ เชนมองไปรอบๆ ร้านอย่างสนอกสนใจจ้องไปยังเหล่าลูกค้าที่นั่งคุยถึงบทสนทนาของพวกเขาประจำวัน แววตาดูเป็นประกายไม่ใช่น้อยเหมือนกับว่าบทเรียนอันแปลกใหม่ของเขานั้นกำลังเริ่มขึ้น “นี่ นายกินอาหารของมนุษย์ได้ไหม?” “ครับ ผมทานได้ แต่ในปริมาณน้อยจะดีกว่า” “ดีจัง กินน้อยก็อยู่ได้ แต่นายพลาดนะ เพราะนายจะอดได้กินของอร่อยๆ โอ๊ะ พูดถึงก็มาเลย” อาหารจานโตถูกยกมาเสิร์ฟในเวลาไม่นานนัก “อ้าผัดกะเพราหอมกรุ่น” กลิ่นใบกะเพราโชยเตะจมูก ทำให้เชนขมวดคิ้วเอะใจในกลิ่นของมันที่ดูเชื้อเชิญ “หอมใช่ไหมล่ะ ฮิฮิ ลองสิ” มือเรียวเล็กยื่นช้อนให้อีกฝ่าย แต่ดูท่าทางของเชนก็พอจะรู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น “อะไร? ใช้ไม่เป็นเหรอ? ” “.....” ร่างตรงหน้าพยักหน้าเบาๆ เหมือนกับลูกสุนัขที่ไม่รู้ประสีประสา ทำเอาพาวินที่สุดจะคิดวิธีเริ่มถอนหายใจก่อนหันหน้ามองรอบๆ ร้านมองดูผู้คนภายในร้านที่ดูจะไม่ได้สนใจอะไรพวกเขาและอยู่ในช่วงกำลังปลอดผู้คนพอดี “เอ้า อ้าปากสิ เร็วๆ” พาวินค่อยๆ ใช้ช้อนตักข้าวผัดกะเพราขึ้นมาแล้วยื่นให้เจ้าตัวตรงหน้าที่ยังทำหน้ามึนๆ “อ้าปากน่ะ อ้ากว้างๆ แบบนี้เลย เดี๋ยวช้อนมันไม่เข้าปาก อ้า~~” “อ้า..” ช้อนยื่นตรงเข้าไปในปากพร้อมปากที่งับลงบนช้อนอย่างเรียบง่าย ใช้ฟันขบกับช้อนเล็กน้อยก่อนปลายช้อนจะค่อยๆ เลื่อนถูกดึงออกจากปากช้าๆ เพื่อชิมรสชาติอาหารที่อีกฝ่ายว่าไว้แล้วขบเคี้ยวไปมา “เป็นไงมั่ง ใช้ได้เลยใช่ไหม?” “....” “ทำไมทำหน้านิ่งงั้นอ่ะ? ต่อมรสชาติไม่มีเหรอ?” “อุ๊ฟ!! แอ๊ก! ๆ” เชนเกิดอาการสำลักผัดกะเพราที่อัดความเผ็ดทวีคูณลงไปอย่างกระอักกระอ่วนหลังจากกลืนมันลงไปพร้อมท่าทางลนลานเหมือนต้องการอะไรมาดับความเผ็ดร้อนนี้ มือของเขาเอาแต่โบกโหวกเหวกไปมา ทำให้พาวินที่นั่งดูอาการของเขาถึงกับสำลักน้ำที่ยกขึ้นดื่มแล้วหัวเราะลั่นจนคนในร้านชายตาหันมามองด้วยความตกใจหัวเราะเสียงดังลั่น “พรวด!!! ฮ่า ฮ่า ฮ่า โอ๊ย.. อย่างฮา อึก! แอ๊กๆ เวรเอ้ย สำลักน้ำ ฮ่า ฮ่า อ่ะ..ข..ขอโทษครับ ขอโทษครับ” ร่างก้มหน้าก้มตากล่าววกขอโทษไปรอบร้านด้วยความเกรงใจที่สายตาเหล่านั้นจ้องมายังเขาที่หัวเราะลั่นจนเกินเหตุ พาวินใช้นิ้วเช็ดน้ำตาตัวเองที่ไหลออกมาตอนที่หลุดขำพลางหยิบทิชชูยื่นให้อีกฝ่ายเช็ดปากกับเช็ดน้ำตาตัวเอง “นายนี่มัน...ฮ่า ฮ่า พอจะรู้แล้วล่ะว่าสายเผ็ดมันไม่ใช่ทางนายเลย อึก หึหึ คิคิ” เชนเช็ดปากตัวเองเล็กน้อย สายตาจ้องไปยังอีกฝ่ายที่กลั้นหัวเราะแล้วหลุมตาลง แต่รอยยิ้มนั้นก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเขาเช่นกันราวกับเป็นประสบการณ์แรกที่เขารู้สึกว่าได้ทำสำเร็จ ... “เอาล่ะกินเสร็จแล้ว มีแรงเที่ยว! ไปไหนต่อดีนะ” “...พยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้ฝนอาจจะตกนะครับ” ร่างสูงจ้องมองบรรยากาศบนท้องฟ้าที่ตั้งเค้าใกล้ฝนเทลงมา “ถึงตอนนั้นเราไปซื้อร่มในห้างก็ได้ ฉันพานายมาเที่ยวนะ ไปกันเถอะ” พาวินฉีกยิ้มพลางเดินตรงนำอีกฝ่ายมายังห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ “จริงสิ ที่บ้านเราไม่มีของกินตุนไว้เลย ไปทางนั้นกัน” ความกระตือรือร้นเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มือเล็กตบที่ไหล่อีกฝ่ายแรงๆ ก่อนวิ่งตรงไปยังมุมอาหารกับของสด “นี่ นายดูเป็นหรือเปล่าว่าอันไหนสดหรือเก่าแล้ว” เชนจ้องมองเหล่าเนื้อหมูตาไม่กะพริบ แต่เพียงไม่กี่วินาทีเขาก็ชี้ถูกว่าเนื้อชิ้นไหนยังสดใหม่อยู่บ้าง “...โห้..งี้ก็ไม่ต้องสอนแล้วน่ะสิ วันหลังฉันไม่ว่าง เอานายมาจ่ายตลาดแทนดีกว่า ดีไหม?” “ยินดีครับ” “งั้นซื้อนี่เสร็จแวะไปซื้อขนมแล้วก็..อืม.. ไหนๆ ก็มาข้างนอก ซื้อชุดให้นายดีกว่า จะมาให้ฉันตัดให้ทุกชุดมันก็ไม่ใช่เรื่อง” “แต่ผมชอบชุดที่คุณออกแบบแล้วก็ตัดให้นะครับ” “อ่ะ... งั้นเหรอ...” ร่างเล็กตอบเสียงเบาพร้อมยืนเลือกเนื้อตรงหน้าใส่ถาด “เอ่อ...ไว้...จะตัดให้อีกแล้วกัน ว่างๆ นะ แต่ตอนนี้มาช่วยดูให้หน่อย อันนี้สดไหมหรือเปล่า? ” นิ้วชี้ไปยังปลาตัวหนึ่งบนแผงให้อีกฝ่ายดูแล้วย่นคิ้วลงมา “ไม่ครับ เมินมันไปเลย” “โอ๊ะ จริงเหรอ ฉันคิดว่ามันสดนะเนี่ย เค๊~” “ดูที่ตามันสิครับ ตาปลาต้องกลมใส ไม่ขุ่นหรือหลุดออกจนโบ๋ แต่เจ้านี่มันขุ่น” “ว้าว..นายมันผู้ชำนาญด้านการตรวจสอบอาหารสดชัดๆ แล้วนั่นล่ะ นั่นๆ” มือดึงแขนเสื้อเชนเบาๆ แล้วเดินตรงไปยังเนื้อโซนอื่นที่วางโชว์ให้เลือกดู ดูท่าแล้วทั้งสองคนคงสนิทกันได้เร็วขึ้นกว่าที่คิดไว้จากตอนแรกเสียด้วยซ้ำ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม