2 วัดบรรพชน

1505 คำ
หนิงเฟิ่งเก็บตัวอยู่ในห้องพักของเรือนตะวันออกที่มีไว้รับรองแขกจนถึงกลางดึก ส่วนห้องหอของนางยามนี้ถูกสามีและเด็กที่นางชุบเลี้ยงใช้เป็นสถานที่พรอดรักอย่างโจ่งแจ้ง ไม่เกรงกลัวฟ้าดินอีก เมื่อไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยงหรือปกปิดภรรยาเอกอย่างนางอีกต่อไป หากหนิงเฟิ่งไม่มีน้ำตาให้กับเรื่องนี้อีกแล้ว น้ำตาของนางแห้งเหือดสวนทางกับสติที่ของนางที่ฟื้นคืน นางใคร่ครวญถึงเรื่องราวทุกอย่าง เพื่อหาหนทางออกแห่งความสัมพันธ์ในครั้งนี้อย่างรอบคอบ แม้การมีอนุจะเป็นเรื่องธรรมดาของชายโดยทั่วไป นางเองก็อาจจะพอทำใจยอมรับได้หากสตรีที่ฟู่เฉิงเลือกไม่ใช่หญิงที่เป็นดังน้องสาวของนาง แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว นางไม่อาจใจกว้างทำตามที่แม่สามีบอกแก่นางได้ สองคนนั้นทรยศนางอย่างร้ายกาจ นางคงไม่อาจวางตัวเป็นคนดีไม่ถือสาอะไร แม้แต่กับแม่สามีที่ใส่ใจหยกล้ำค่าและเข้าข้างบุตรชายของตนเองจนไม่สนจิตใจของนางเช่นกัน นางคงไม่สามารถนับถือสตรีคนนั้นจากก้นบึ้งของหัวใจได้อีก “ทำแผลสักหน่อยนะเจ้าคะฮูหยิน” ซูลี่นำยามานวดวนเบาๆ บนใบหน้าของหนิงเฟิ่งที่เริ่มบวมช้ำขึ้นมาอย่างปวดใจ ตั้งแต่เกิดมานายของนางถูกเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอม แต่วันนี้กลับต้องมาเจ็บตัวเพราะสามีที่เป็นฝ่ายทำผิด แต่กลับกล่าวโทษเจ้านายของนางอย่างไร้ความละอาย หนิงเฟิ่งหลับตาอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง ความเจ็บแปลบจากรอยแผลยิ่งทำให้นางตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดมากขึ้น “สั่งรถม้าของเรา นำของที่ขนมาส่งกลับคืนท่านพ่อทั้งหมด” หนิงเฟิ่งสั่งซูลี่หลังจากที่อีกฝ่ายทำแผลให้นางเสร็จ นางหมายถึงของจากต่างถิ่นและของหายากมากมายที่นางนำกลับมาในขบวนรถม้าครั้งนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นของที่ฟู่เฉิงและวั่งซูโปรดปราน “ฝากคนบอกท่านพ่อว่าคนที่เรือนนี้เกรงใจจึงไม่อาจรับของเหล่านี้ได้” หนิงเฟิ่งรู้ดีว่าข้ออ้างนี้ฟังดูไม่น่าเชื่อถือเท่าใดนัก หากนางก็ไม่อาจทำใจมอบของล้ำค่ากับคนในเรือนหลังนี้อีกแล้ว “ส่วนของๆ ข้ายังไม่ต้องเก็บขึ้นเรือน ข้าจะไปถือศีลที่วัดบรรพชน เจ้าช่วยไปเก็บของๆ ข้าในเรือนหลังนั้นเท่าที่จะเก็บได้ออกมา ทำทุกอย่างอย่างเงียบเชียบด้วย เราจะออกเดินทางกันตอนรุ่งสาง” หนิงเฟิ่งปรายตามองไปยังทิศทางของเรือนหอหรือเรือนหลังนั้นในคำสั่งของนาง “เจ้าค่ะ” ซูลี่ออกไปจัดการตามคำสั่ง พอลับร่างสาวใช้ หนิงเฟิ่งจึงเบนสายตาไปทางอื่นอย่างเลื่อนลอย นางไม่อาจทนอยู่ที่นี่ต่อ หากนางยังไม่อาจกลับบ้านเดิมของนางได้เพราะกลัวจะกระทบกับความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลที่ยังมีผลประโยชน์ร่วมกัน หากท่านพ่อของนางรู้เรื่องนี้ คงต้องเกิดเรื่องร้ายแรงจนถึงขั้นแตกหัก ซึ่งนางยังไม่พร้อมก้าวไปถึงขั้นนั้น จึงตั้งใจจะไปพักกายและใจที่วัดบรรพชนที่มารดาของนางนับถือ และเคยพานางไปที่นั่นบ่อยครั้งในช่วงที่นางยังเด็ก เสี้ยวหนึ่งในความคิดที่หนิงเฟิ่งนึกถึงการหย่าร้าง หากเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ของสตรีที่จะส่งผลต่อชีวิตที่เหลือทั้งหมดของนาง และนางยอมรับว่าส่วนหนึ่งนางยังผูกพันอยู่กับฟู่เฉิงที่นางปักใจมาตลอดชีวิต จึงอยากใคร่ครวญเรื่องนี้ด้วยสติที่มากขึ้น ซึ่งวัดบรรพชนอันเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความสงบคงจะช่วยนางได้ ยามนี้หนิงเฟิ่งจึงได้แต่ภาวนา ขอให้การเดินทางครั้งนี้ทำให้นางได้พบกับทางออกที่ดีที่สุดสำหรับนางด้วย ขบวนรถม้าของหนิงเฟิ่งออกเดินทางในยามเหม่าก่อนที่คนในเรือนของฟู่เฉิงจะตื่น ซูลี่จัดการตามคำสั่งของหนิงเฟิ่งได้อย่างเรียบร้อยสมกับเป็นผู้รู้ใจของนาง ของส่วนตัวและสินเดิมของหนิงเฟิ่งไม่ได้ถูกเก็บมามากเกินไปจนผิดสังเกต หากของล้ำค่ากว่าสิ่งอื่นถูกเก็บมาจนหมด ส่วนของที่เหลืออยู่ซูลี่ใช้กุญแจปิดไว้อย่างมิดชิดป้องกันคนมาแตะต้อง ในช่วงที่หนิงเฟิ่งไม่อยู่เรือนและยังไม่มีกำหนดกลับ “แวะโรงเตี๊ยมก่อนออกนอกเมืองดีหรือไม่เจ้าคะฮูหยิน ฮูหยินไม่ได้รับอาหารมาหลายมื้อแล้วนะเจ้าคะ” ซูลี่ถามหนิงเฟิ่งอย่างใส่ใจ เมื่อผู้เป็นนายไม่ได้แตะต้องอาหารเลยนับตั้งแต่เกิดเรื่อง หนิงเฟิ่งกำลังจะปฏิเสธเพราะความกังวลทำให้นางไม่อยากอาหาร หากพอคิดได้ว่านอกจากนางแล้ว ซูลี่และคนอื่นๆ ก็ต้องวุ่นวายเตรียมตัวสำหรับการเดินทางจนไม่ทันได้กินอะไรเช่นกัน “แวะสักครู่แล้วกัน รวมถึงคนที่จะต้องแยกนำของไปคืนท่านพ่อด้วย ทุกคนจะได้พักก่อนเดินทางไกล” หนิงเฟิ่งบอกกับซูลี่ก่อนจะทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างผ่านม่านผืนบางอีกครั้ง ซูลี่มองดวงตาที่บวมช้ำของหนิงเฟิ่งด้วยความเห็นใจ นางยังเจ็บแค้นแทนผู้เป็นนายที่วางตัวดีและคิดถึงแต่ผู้อื่นเสมอ หากคนพวกนั้นก็ยังทรยศและทำร้ายเจ้านายของนางได้ลงคอ “อ้อ...และช่วงนี้กลับไปเรียกข้าว่าคุณหนูเช่นเดิมนะ” หนิงเฟิ่งเอ่ยขึ้นขณะที่ยังทอดสายตาเรื่อยเปื่อย คำว่าฮูหยินส่งผลต่อความรู้สึกที่อ่อนไหวของนางจนนางไม่อยากได้ยิน “เจ้าค่ะคุณหนู” ซูลี่รับคำอย่างเข้าใจ ไม่ว่าคุณหนูของนางต้องการอะไร นางก็พร้อมจะเชื่อฟัง หลังจากแวะพักที่โรงเตี๊ยมอยู่ราวครึ่งชั่วยามคณะเดินทางจึงออกเดินทางต่อ รถม้าขนส่งสินค้าแยกตัวออกไปทันทีที่พ้นประตูเมือง ส่วนขบวนรถของหนิงเฟิ่งมุ่งตรงไปอีกด้าน วัดบรรพชนตั้งอยู่บนภูเขาสูงที่ห่างไกลจากเมืองแห่งนี้ หากวัดนี้เป็นวัดบรรพบุรุษของทางราชวงศ์ การเดินทางจึงไม่ได้ลำบากเพราะเป็นวัดสำคัญที่ฮ่องเต้จะเสด็จมาทุกปี ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของเทพมังกรที่สถิตในวัดแห่งนี้ ทำให้มีผู้คนหลั่งไหลไปกราบไหว้ ทั้งยังมีสถานที่ปฏิบัติธรรมให้แก่ผู้ที่สนใจศึกษาคำสอนอย่างจริงจัง หนิงเฟิ่งเองก็เคยไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นร่วมเดือนตอนที่มารดาของนางยังมีชีวิต หากตอนนั้นนางยังเด็กนัก ความทรงจำของนางจึงเลือนราง จำได้เพียงว่าวัดแห่งนี้ให้ความสงบแก่ผู้ที่อาศัยได้มากจริงๆ เดินทางราวสองชั่วยามจึงถึงที่หมาย สีหน้าเบิกบานของผู้ที่มาทำบุญทำให้จิตใจที่กระวนกระวายของหนิงเฟิ่งบรรเทาลงไปส่วนหนึ่ง “คุณหนูรอที่นี่ก่อนนะเจ้าคะ บ่าวจะไปพูดคุยกับทางวัดเรื่องที่เราจะมาถือศีลกันก่อนเจ้าค่ะ” ซูลี่กล่าวกับผู้เป็นนายที่เพิ่งคิดถึงเรื่องสำคัญนี้ได้ “นั่นสินะ ข้าลืมไปเสียสนิท เรามากะทันหันเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะมีที่ให้เราพักหรือไม่” หนิงเฟิ่งมีสีหน้าหนักใจ “แต่เอาเถิด ลองไปติดต่อดูก่อน ข้าจะไปสักการะเทพมังกรช่วงที่รอเจ้าแล้วกัน” “เจ้าค่ะคุณหนู” ซูลี่แยกตัวออกไปทางเรือนพักของผู้ดูแลวัด ส่วนหนิงเฟิ่งก้าวตามผู้คนไปยังอารามขนาดใหญ่ เพียงแค่ก้าวเข้าไปด้านในอาราม สรรพสิ่งรอบข้างคล้ายจะเงียบเสียงลงไปทันใด หนิงเฟิ่งก้าวไปหยุดตรงหน้ารูปปั้นมังกรสูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่าน นางไล่สายตาไปตามลำตัวของมังกรที่คดเคี้ยวไปมาในอากาศที่มีเกล็ดสีเขียวเลื่อมลายงดงาม มาจนถึงศีรษะที่ค้อมลงมาจนนางได้สบตากับมังกรที่กำลังจับจ้องผู้คนด้านล่าง หนิงเฟิ่งรู้สึกราวกับถูกดวงตาคู่นั้นสะกด ดวงตาสีแดง...ที่ดูสุกสกาวราวกับมีชีวิตจริง ๆ นางก้าวเข้าไปหยุดยืนที่หน้าดวงตาคู่นั้น จนมองเห็นเงาของตนเองสะท้อนอยู่ในดวงตากลมใหญ่ที่วามวับขึ้นมาชั่วครู่คล้ายกับว่ารับรู้การมาของนางเช่นกัน สายลมพัดมาวูบหนึ่ง พร้อมกับเสียงปริศนาที่ดังก้องขึ้นมาในหูของหนิงเฟิ่งอย่างไร้ที่มา ‘ในที่สุดเจ้าก็มาหาข้าเสียที...เฟิ่งเอ๋อ’
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม