กูไปนอนบ้านน้ำรินจริงๆ

1308 คำ
ฉันกลับห้องตัวเอง กลับมาแต่งหน้านิดหน่อยซึ่งก็เขียนแค่คิ้วกับทาลิป ไม่ชอบแต่งหน้าเยอะ จากนั้นก็ลงไปที่ครัว ขอให้ป้านีทำข้าวต้มเป็นมื้อเช้า “ป้าทำแล้วค่ะ คนป่วยจะได้ซดร้อนๆ เนอะ” คำตอบนั้นทำให้ฉันยิ้ม ป้านีนี่รู้ใจจริงๆ “ของน้ำรินป้ามีไข่ดาวสองฟองให้ด้วยนะคะ” “ขอบคุณนะคะป้านี” “รับเลยไหมคะ” “เดี๋ยวรอโซ่ก่อนค่ะ ออ เดี๋ยวน้ำรินจัดการเอง” ไม่ต้องรอให้ป้านีหรือน้าเพ็ญมาจัดโต๊ะให้หรอก แค่นี้เอง “อ่อ แต่ขอยาลดไข้ให้โซ่ด้วยนะคะ” “ค่ะ ป้าเตรียมให้” แล้วป้านีก็ออกจากครัวไปทำธุระอย่างอื่น ฉันโทรหาโซ่ พอเขากดรับก็พูดทันที “ลงมากินข้าวได้แล้ว ป้านีทำข้าวต้มไว้ให้” แล้วสายก็ตัดไป เฮ้อ จะบอกให้รับรู้สักคำสองคำยังไม่ได้นะ ไม่ถึงสองนาทีคนตัวสูงก็เดินเข้ามาในห้องครัว ฉันเลยเดินไปตักข้าวต้มให้เขาก่อน ค่อยตักถ้วยตัวเองพร้อมไข่ดาวสองฟองที่ป้านีทำให้ วางมันไว้ตรงกลางโซ่เลยจัดการไข่ดาวของฉันก่อน ความที่มันเป็นมื้อเช้าเมนูโปรดก็เลยเผลอมองตามอย่างเสียดาย “ทำไม กินไม่ได้เหรอ แค่นี้หวง” “อันนี้ป้านีทำฉัน” ไข่ดาวสองฟอง พร้อมแต่งกวาที่โซ่ก็จิ้มไปแล้วสองชิ้น “ก็เห็นมีสองฟอง” “ปกติฉันก็กินสองฟองไง” อันนี้โซ่น่าจะรู้อยู่แล้ว ฉันกินมื้อเช้าไม่ค่อยเหมือนใคร ไม่ต้องจัดเซ็ตหรือเมนูอะไรพิเศษ ขอแค่ไข่ดาวสองฟองอิ่ม ตัดเลี่ยนด้วยแตงกวาผักชนิดเดียวที่กินสดได้ “เธอกินไม่หมดหรอกน่า มีข้าวต้มด้วย กินไปอย่าบ่น” ฉันยังหน้างอที่ถูกแย่งไข่ดาว แม้ความจริงจะเป็นตามที่โซ่พูดก็เถอะ ว่าฉันกินแค่นี้ก็อิ่ม เพราะกินข้าวต้มด้วย “กินยาด้วย” เดินไปหยิบยาให้เขา โซ่ก็ทำหน้าไม่พอใจนิดหน่อย...เขาไม่ชอบกินยาน่ะ แต่ก็ยอมรับไปกินแบบหน้าตึงๆ แบบนั้นแหละ เราสองคนออกจากบ้านได้ตอนหกโมงสี่สิบ ขับรถไปถึงคอนโซ่ใช้เวลาราวๆ ครึ่งชั่วโมง “เธอจะไปเรียนเลยใช่ไหม” คำถามที่เหมือนจะไล่ให้ฉันไปเรียนก่อนทำให้ฉันเปลี่ยนความตั้งใจไปอีกทาง หันไปยิ้มให้เขา ยักคิ้วให้ทีหนึ่ง “เรียนตั้งเก้าโมง นี่เพิ่งจะเจ็ดโมงยี่สิบ ฉันจะไปอยู่ยังไง ลุงศรคะ เดี๋ยวหนูลงตรงนี้เลย ค่อยไปเรียนพร้อมโซ่นะคะ” “ครับ” ลุงศรตอบรับยิ้มๆ ไม่ได้มีท่าทีเอะใจหรือสงสัยว่าฉันจะลงไปคอนโดโซ่ได้ยังไง แล้วจะไปอยู่ไหน โซ่หน้าตึงขึ้นกว่าเดิมไปสิบเท่า เขาเชิดหน้าตรง ไม่พูดไม่จากับฉันอีกเลยตั้งแต่ลงจากรถ ขึ้นลิฟต์ จนไปถึงห้องเขา “จะตามมาทำไมไม่รู้” เพิ่งมาบ่นตอนนี้แหละ ฉันยักไหล่ ไม่สนใจจะตอบโต้ ยึดโซฟาตัวโปรดได้ก็นั่งเล่นเกมไปเพลินๆ ให้โซ่เขาแต่งตัวของเขาไป โซ่น่าจะเข้าไปอาบน้ำอีกรอบ จนแต่งตัวเสร็จเขาก็กระโดดขึ้นเตียงด้านหลัง เราสองคนอยู่กันแบบเงียบๆ จนถึงแปดโมงครึ่ง ฉันก็ชวนโซ่ไปเรียน “โซ่ แปดโมงครึ่งแล้ว ไปกันเถอะ” แน่นอนว่าเจ้าตัวก็จะทำหน้าเบื่อๆ เซ็งๆ และทำตัวอืดอาดเชื่องช้าเพราะไม่อยากทำตามฉันบอกเท่าไร พยายามรออย่างใจเย็น เพราะสุดท้ายเขาก็ต้องลุกไปเรียนอยู่ดี เราสองคนมาถึงห้องเรียนของคณะวิทยาศาสตร์ก่อนเวลาเรียนแค่ห้านาที แต่พอเดินเข้าไปในห้องเรียนก็เห็นว่ายังมีที่นั่งว่างโหลงเหลงอยู่พอสมควรเลย “โซ่ ทางนี้” เพื่อนๆ สาขาโซ่นั่งเป็นกลุ่มใหญ่ประมาณสิบคน ทั้งผู้ชายและผู้หญิง...และคนที่กวักมือเรียกเขาเป็นเพื่อนผู้หญิง ฉันก็เลยต้องเดินตามเขาไปด้วย ยังพอมีที่ว่างอีกสามสี่ที่ สำหรับให้ฉันจองให้อุ๊บอิ๊บด้วย พยายามยิ้มสดใสทักทายเพื่อนๆ เขา “ทำไมวันนี้มาเรียนพร้อมกันได้วะ” ยูโร เพื่อนในแก๊งโซ่ถามขึ้น ฉันพอจะจำได้ว่าถึงแม้เขาจะมีแก๊งเพื่อนหลายคนทั้งผู้ชายผู้หญิง แต่ที่น่าจะเป็นแก๊งเดียวกันจริงๆ มีแค่สี่คน คำถามของยูโรออกแววล้อเลียนหน่อยๆ ด้วยนิสัยน่าจะเป็นคนกวนๆ อารมณ์ดี เลยกล้าล้อกล้าแซวเพื่อน และเป็นคำถามที่เพื่อนคนอื่นๆ ให้ความสนใจ ก็คงจะสงสัยในความสัมพันธ์ของฉันกับโซ่ไม่มากก็น้อย ฉันชอบไปแสดงตัวว่ารู้จักและสนิทสนมกับเขาแบบนั้น “ออ เมื่อเช้าเราไปคอนโดโซ่ก่อนน่ะ เลยได้ออกมาพร้อมกัน แบบคนขับรถไปส่งไว้ที่คอนโดโซ่” เมื่อโซ่ไม่ยอมตอบเพื่อนๆ ฉันก็เลยตอบแทน และดูเหมือนว่าจะทำให้ทุกคนสนใจยิ่งกว่าเดิม “ทำไมถึงได้ไปคอนโดโซ่ก่อน” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งถาม คนที่เรียกโซ่มานั่งด้วยนั่นแหละ “ออ จริงๆ แล้วเมื่อคืนโซ่ไปนอนที่บ้านน่ะ ก็เลยออกมากันแต่เช้า” “บ้านโซ่กับบ้านน้ำรินอยู่ใกล้กันเหรอ” “ก็ใกล้นะ” “แบบคนขับรถบ้านน้ำรินรับโซ่กับน้ำรินมาที่คอนโดโซ่พร้อมกันงั้นเหรอ” เหมือนว่าเพื่อนคนนี้จะสนใจเรื่องนี้เหลือเกิน แบบที่ฉันก็พอมองออกว่าเธอน่าจะแอบชอบโซ่อยู่บ้าง ไม่รู้ว่าจริงจังแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ ก็ต้องสนใจหรือเล็งๆ ไว้บ้างแหละ “ประมาณนั้น” ฉันเลือกที่จะตอบปัดๆ ไป ไม่ต้องบอกความจริงว่าเขาไปนอนบ้านฉันต่างหาก “แสดงว่าสนิทกันเลยสินะ ถึงไปรับไปส่งกันได้” “ก็ไม่อยากสนิทเท่าไหร่หรอก” ฉันพยายามเล่นมุก ซึ่งเพื่อนๆ ของโซ่ก็ยิ้มรับมุกกันอยู่ มีแต่เขานั่นแหละที่หน้าตึง “สองคนไม่ได้เป็นแฟนกันใช่ไหม” ซึ่งเพื่อนผู้หญิงคนเดิมก็ยังจี้ถามไม่เลิก แม้จะถามด้วยใบหน้ายิ้มๆ ทีเล่นทีจริง “ไม่ได้เป็น” ...แต่ก็ไม่ได้หมายถึงว่าจะยอมให้เขาไปเป็นแฟนคนอื่นง่ายๆ หรอก “เฮ้อ แบบนี้เราก็โล่งอกหน่อย” คนที่พูดประโยคนี้กลับเป็นยูโร ไม่ใช่เพื่อนผู้หญิงคนที่ฉันคิดว่าชอบโซ่ แต่เธอก็รีบรับมุกกับยูโร “ทำไม นายแอบชอบน้ำรินงั้นเหรอยูโร” “ชงมาแบบนี้กูไปไม่เป็นเลย” ยูโรทำเป็นเขินให้น่าหมั่นไส้ “ก็น้ำรินน่ารัก เราสเปกสาวแว่น แต่ เอ่อ อย่าเพิ่งกลัวเรานะน้ำริน เราแค่ชอบๆ ปลื้มๆ แต่ถ้าน้ำรินจะยอมให้จีบก็ค่อยว่ากัน” “เปิดมาแบบนี้มึงจีบเลยเหอะ” เพื่อนๆ เขาก็รีบชง “พวกมึงใจเย็นๆ กูเพิ่งโล่งใจที่น้ำรินไม่ได้กิ๊กกับกับไอ้โซ่ เมื่อกี้กูฟังๆ ไปนึกว่าไอ้โซ่ไปนอนบ้านน้ำรินแล้วกลับคอนโดพร้อมกัน ใจกูหายแวบ” “กูก็ไปนอนบ้านน้ำรินจริงๆ เมื่อคืน” แต่คนที่เงียบมาตลอดก็พูดสวนมาแบบนั้น ทำเอาทุกคนเงียบเหมือนนัดกันไว้ มองมาที่ฉันกับโซ่แทบจะเป็นตาเดียวกัน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม