“ยังไม่ได้เข้าไปเยี่ยมเลย ได้แต่ถามน้าแซมทางโทรศัพท์ แต่ก็ไม่ร้ายแรงมากหรอก” แม่ตอบยิ้มๆ คงรู้ว่าฉันกังวลว่าโซ่จะเป็นอะไรมาก
“ว่าแต่เราเถอะ นอกจากแผลถลอกที่มือกับหน้าผากเจ็บตรงไหนอีกไหม”
“แผล” ฉันยกมือตัวเองขึ้นมามองก็เห็นว่ามีผ้ากอซสีขาวปิดที่หลังมือกับนิ้ว แล้วก็เริ่มรู้สึกเจ็บๆ ปลายคิ้วเลยแตะดู
“ส่วนของเราเย็บสามเข็ม น้อยกว่าโซ่อยู่” แม่ยังเล่นมุกอารมณ์ดี
“แม่ แม่ไม่โกรธโซ่ใช่ไหม”
“จะไปโกรธโซ่เขาเรื่องอะไรล่ะ ไม่ใช่เราเหรอดื้ออยากตามเขาไปเอง” พอแม่ตอบแบบนั้นก็โล่งใจที่แม่ไม่ได้ตำหนิเขาที่พาฉันไปเจอคู่อริจนเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น แต่ก็แกล้งทำเป็นงอนแม่ที่มาหาว่าฉันดื้อตามเขาไปเอง
“ก็น้ำรินอยากไปเที่ยวงานวัดนี่คะ เกิดมาไม่เคยไป”
“แล้วเป็นยังไง ไปครั้งแรกก็ได้ประสบการณ์น่าประทับใจเลย” แม่ยังมีอารมณ์แซวฉันได้อยู่ คงเห็นว่าฉันไม่เป็นอะไรมาก หรืออีกอย่างแม่ก็เป็นคนง่ายๆ อยู่แล้ว ยกเว้นเรื่องที่ไม่เคยปล่อยให้ฉันไปไหนมาไหนเองคนเดียวน่ะ
“แม่ แล้วน้ำรินจะได้ออกจากโรงพยาบาลวันไหน ไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“แน่ใจนะว่าไม่มาก”
“อือ ก็แผลแค่นี้เอง”
“ไหนบอกว่าเจ็บระบมไปทั้งตัว”
“ก็เจ็บแหละ แต่เห็นแผลแค่นี้ไม่น่าจะเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“หมอให้ดูอาการสักสองสามวัน เผื่อช้ำในหรือสมองกระทบกระเทือน” ฉันเอียงคอมองแม่อย่างนึกสงสัยว่าแม่พูดเรื่องจริงหรือแอบด่าฉัน แต่ก็คงจริงแหละที่หมอจะให้ดูอาการ แล้วแม่จะอยากให้อยู่โรงพยาบาล
“แล้วไปเยี่ยมโซ่ได้ไหมคะ”
“เอาไว้ก่อนเถอะ ให้เขาดีขึ้นอีกหน่อยเดี๋ยวแม่พาไป เราก็พักผ่อน รักษาตัวให้หายไวๆ” คำปฏิเสธของแม่ทำให้ฉันกระวนกระวายใจว่าโซ่อาจจะเป็นอะไรเยอะ หรือไม่...แม่ก็อาจจะเคืองโซ่อยู่ เลยไม่อยากพาฉันไปเยี่ยม
แต่โซ่ไม่ผิดอะไรนี่นา เขาบอกแล้วว่าไม่ให้ไปยังดื้อไปด้วย ทำเขาเจ็บตัว ถ้าไม่มีฉันโซ่คงไม่ต้องเอาตัวมาโดนมือโดนตีนแทนจนตัวเองสาหัสขนาดนั้น
มีแต่โซ่หรือเปล่าที่จะเกลียดฉันน่ะ คิดมาถึงตรงนี้ก็ทั้งรู้สึกผิดทั้งกลัว จากที่ปกติเขาก็เหม็นขี้หน้าอยู่แล้ว...แต่ถึงแบบนั้นโซ่ก็ยังปกป้องฉันขนาดนี้
เพราะเขาเป็นคนดีไม่ได้มีอะไรพิเศษ...แต่มันพิเศษมากๆ สำหรับฉัน ความรู้สึกที่เขาพยายามปกป้อง กอดฉันเอาไว้ ไม่ให้ใครแย่งไป ไม่ให้ใครทำอะไรฉันได้ ไม่ให้ฉันต้องเจ็บแต่เขาต้องเจ็บแทน มันยิ่งทำให้ความรู้สึกที่มีต่อเขาลึกซึ้งลงไปในหัวใจ
ฉันยังไม่ได้ไปเยี่ยมโซ่เลยแม้จะนอนโรงพยาบาลมาสองคืนแล้ว มันยังรู้สึกเจ็บตามตัว แล้วก็ง่วงทั้งวันทั้งคืน ตื่นมากินข้าว กินยา พูดคุยกับแม่หรือคนที่มาเยี่ยมได้แป๊บเดียวก็หลับต่อ
ตอนนี้ฉันงัวเงียตื่น และต้องชะงักเหมือนตกอยู่ในภวังค์ นี่ฉันเอาแต่คิดถึงเรื่องเขาจนฝันเห็นโซ่มาอยู่ตรงหน้าเลยเหรอ
เขานั่งรถเข็น มีผ้าโพกหัว รอยฟกชำตามใบหน้า แขนเข้าเฝือก สภาพดูไม่จืดเลย
“เป็นไงล่ะ บอกแล้วว่าอย่าตามไป” แต่การด่าด้วยสายตาเย็นชานั้นเหมือนจริง เพราะมันเจ็บจี๊ดเหลือเกิน
“โซ่” หรือฉันไม่ได้ฝัน
“ดีนะวันนี้เธอเจ็บแค่นี้ ถ้าเป็นมากกว่านี้พ่อไม่บ่นฉันจนหูชาหรือไง คราวหลังถ้าบอกว่าไม่ให้ไปก็ไม่ต้องไป อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่องอีก”
ทำไมการถูกด่าครั้งนี้มันเจ็บจัง เจ็บแบบที่ฉันไม่สามารถหาข้ออ้างข้างๆ คูๆ แบบหน้ามึนได้เหมือนที่ผ่านมา ยิ่งเห็นสภาพเขาตอนนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าสมควรแล้วละที่เขาจะโกรธ
“แล้วเป็นไงบ้าง หมอให้ออกจากโรงพยาบาลวันไหน”
“ไม่รู้” เสียงฉันสั่น พยายามกะพริบตาไม่ให้น้ำมามันไหลออกมา
“แล้วนาย ฮื่อ ทำไมต้องเจ็บขนาดนี้โซ่” แต่สะอื้นออกมาจนได้ พยายามกลั้นเอาไว้จนเจ็บหน้าอก
“ถ้าฉันมันพูดไม่รู้เรื่องอยากตามนายไปเอง ทำไมไม่ปล่อยให้ฉันถูกตีเอง จะมาเจ็บตัวแทนขนาดนี้ทำไม ฮึก” ฉันอยากร้องไห้มากๆ แต่ก็แค่ปล่อยให้น้ำตามันไหลแล้วก็เช็ดออกให้ไว ไม่อยากมาดรามาใส่เขา
“รู้ตัวก็ดีแล้วน้ำริน วันหลังจะได้เลิกตามไม่รู้เรื่อง”
ฉันพยายามสูดลมหายใจลึก เช็ดน้ำตาให้หยุดไหล จนมันทำได้แบบที่เจ็บร้าวในอกสุดๆ เลย
“อืม คราวหลังฉันจะไม่เป็นภาระนายอีก ฉันรู้ว่าต่อให้นายจะเกลียดฉันยังไง นายก็คงไม่กล้าทิ้งฉันให้ถูกรุมกระทืบอยู่ดี จะไม่ยุ่งด้วยอีก” ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองพูดด้วยเหตุผล แต่มันน้อยใจจนเผลอประชดไปบ้าง เห็นคนที่นั่งหน้านิ่งๆ ส่งสายตาเย็นชาให้ตลอดเริ่มขมวดคิ้ว มีแววหงุดหงิดให้เห็น
เราสองคนนั่งจ้องหน้ากันแบบไม่มีใครยอมพูดอะไรอีก จนพี่พยาบาลคนสวยเข้ามาในห้อง
“หมดเวลาเยี่ยมแล้วนะคะ ให้เพื่อนพักผ่อนและเราเองก็ไปพบคุณหมอนะคะ” เธอยิ้มใจดีให้ฉัน ก่อนจะเข็นโซ่ออกจากห้อง พอประตูบานนั้นปิดลงน้ำตามันก็ไหลทะลักอีกครั้ง จนโมโหตัวเองที่จู่ๆ ก็ร้องไห้เก่ง มันเจ็บอะไรขนาดนี้ เจ็บเพราะอะไรงั้นเหรอ...เจ็บเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุให้เขาเจ็บตัว และเจ็บที่ถูกเขาเกลียด...
ความรู้สึกของโซ่ มันมีผลต่อหัวใจฉันขนาดนี้เลยเหรอ