หยางเฟยเหยียนจ้างหมอให้ดูแลชายเร่ร่อนได้เกือบสี่วัน อาการอีกฝ่ายก็ดีขึ้นมากจนแทบไม่น่าห่วง เธอจึงฝากหมอไปบอกว่าให้เขารักษาตัวสักสามสี่วันให้หายสนิทค่อยออกจากบ้านไป เธอไม่ไปหาเขาด้วยตัวเองเพราะเกรงว่าจะมีคำนินทาตามมา ชายหญิงอยู่ด้วยกันไม่สมควรนัก ตอนช่วยก็ลืมนึกถึงเหตุผลข้อนี้เสียสนิท หากมีคนเห็นเข้าได้นำไปพูดเรื่อยเปื่อย ทางการเข้าใจผิดว่ามีชู้จะเดือดร้อนถึงตัว ให้หมอเป็นคนดูแลก็คือว่าเหมาะสม
แต่ถึงมีคนนินทาก็ช่างเถอะ อย่างไรเสียเธอก็ตั้งใจจะขายบ้านหลังนั้นอยู่แล้ว หลังจากหย่าร้างในอนาคตการกลับไปหาพ่อกับแม่ย่อมดีกว่า พวกท่านก็เคยชวนอยู่หลายครั้งแต่เพราะหลงสามีมากจนไม่สนใจคำขอร้องจากพวกท่าน เอาแต่กังวลกลัวไป๋เทียนจินจะไม่ชอบการใช้ชีวิตในเมืองปักกิ่ง แต่ต่อจากนี้ไม่สนใจแล้ว ในปักกิ่งต้องมีงานให้เธอทำแน่ อย่างน้อยก็ดีกว่าการมานั่ง ๆ นอน ๆ เหงารอสามีกลับบ้านที่นี่
การนำผ้าที่ปักมาขายที่นี่กับปักกิ่งนั้นราคาต่างกันมาก การค้าขายเมืองปักกิ่งย่อมต้องดีกว่า หยางเฟยเหยียนคิดถึงอนาคตแล้วยิ้มออกมาด้วยความสุข แต่รอยยิ้มนั้นก็ต้องหายไปเมื่อเห็นคนที่ไม่อยากพบ
เวรกรรมอะไรต้องมาเจอหวังมู่หลินกับไป๋เทียนจินด้วยนะ!
หยางเฟยเหยียนเบือนมองไปทางอื่น ขอเพียงแค่เดินผ่านคนคู่นี้ก็ถือว่าพ้นทุกข์พ้นโศก เห็นแล้วขัดใจ
“โอ๊ย! เธอผลักฉันทำไมกัน” หวังมู่หลินยิ้มให้อีกฝ่ายแม้จะรู้ว่าหยางเฟยเหยียนไม่หันมามองก็ตาม จากนั้นเซไปหาไป๋เทียนจินที่เดินอยู่ไม่ห่างนัก
เสียงร้องดังขึ้นทันทีที่เธอเดินผ่านเพียงก้าวเดียว จากที่คิดจะเลี่ยงหนีก็ต้องมาดูงิ้วฉากใหญ่ ฉากที่เห็นคือสามีเธอประคองหวังมู่หลินไม่ให้ล้ม
“มารยาเธอนี่สุดยอดจริง ๆ หลอกล่อไป๋เทียนจินไปได้แล้วยังต้องการอะไรอีก” แค่เดินผ่านเลยดั่งคนไม่รู้จักกันไม่ได้หรือ
ไป๋เทียนจินปล่อยมือจากน้องสาวเจ้านาย เมื่อเห็นใบหน้าสวยของภรรยาเรียบเฉย กลัวเหลือเกินว่าทุกอย่างจะแย่ลง ทุกวันนี้เขาก็แทบไม่ได้พบหน้าภรรยาอยู่แล้ว หากทำให้โกรธอีกคงถูกอาละวาดใส่แน่
“เธอโกรธฉันมากจนทำร้ายฉันได้แต่ก็ไม่ควรดูถูกสามีตัวเอง คุณไป๋เพียงแค่ดูแลฉันตามหน้าที่เท่านั้น” หญิงสาวเดินเอาตัวเองมาด้านหน้าของไป๋เทียนจินราวกับต้องการปกป้องชื่อเสียง
“…” ชายหนุ่มขมวดคิ้วเดินอ้อมมายืนข้างภรรยาเพื่อป้องกันการเข้าใจผิด ผู้คนในเมืองนี้มากมาย ยิ่งในเมืองเช่นนี้แล้วก็ยิ่งลือกันไว
“เธอจะบอกว่าฉันมาทำร้ายเธอเหรอ ขณะที่มือฉันถือของมากมายเนี่ยนะ ฉันเป็นคนผิดมาตลอดเลยสินะ” หยางเฟยเหยียนชูถุงข้าวของในมือให้ดู
“ควรขอโทษภรรยาฉัน เมื่อครู่ไม่มีใครผลักเธอ”
ไป๋เทียนจินไม่ได้โง่เขลาถึงขนาดมองมารยานี้ไม่ออก ภรรยาเขาเพียงเดินผ่านแต่หวังมู่หลินกลับทำท่าจะล้ม
“ทำไม่ได้ก็อย่าทำ ฉันพอเข้าใจว่าคนเราถูกเลี้ยงดูมาต่างกัน”
เธอไม่สนว่าคนฟังจะเจ็บปวดไหม เพราะทุกอย่างล้วนเกิดจากการกระทำของอีกฝ่ายเอง
“ขอโทษค่ะ เป็นฉันที่เข้าใจผิดไปเอง” หวังมู่หลินทดบาดแผลครั้งนี้ไว้ในใจ
“ส่วนคุณเจอกันวันนี้ก็ดี ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย พอจะว่างสักครู่ไหม” พูดตรงนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะสม เรื่องหย่าร้างใครเขาเอามาพูดในที่สาธารณะกัน
“เรื่องอื่นเราค่อยคุยกันทีหลัง ผมทำภารกิจเสร็จจะรีบกลับมาหาคุณ” ภารกิจครั้งนี้ใกล้เสร็จ ไม่เกินหนึ่งเดือนก็กลับบ้านได้แล้ว
“ไม่ต้องรีบร้อนหรอกค่ะ คุณทำหน้าที่ตัวเองได้เลย อีกไม่นานฉันก็จะย้ายไปอยู่กับพ่อแม่ที่ปักกิ่งแล้ว เรื่องบ้านฉันจะให้คนเก็บกวาดไว้ให้นะคะ” หญิงสาวพยักหน้าอย่างเข้าใจ
หน้าที่การงานของเขานั้นหนักหนาพอควร ไว้ส่งจดหมายไปให้ทีหลังก็ได้เหมือนกัน ตอนนี้มีหวังมู่หลินอยู่ด้วย เธอไม่อยากพูดมาก
“ไปหาพ่อกับแม่นานเหรอ รอผมก่อนไม่ดีกว่าเหรอ เดินทางคนเดียวอันตราย” พ่อตาแม่ยายจะว่าอย่างไรที่เขาปล่อยลูกสาวท่านเดินทางลำพัง การนั่งรถไฟนาน ๆ ก็น่าห่วงเกินไปสำหรับ หยางเฟยเหยียน
“คุณเป็นภรรยาจะไม่รอดูแลสามี…” หญิงสาวพูดแทรกไม่ทันจบประโยคไป๋เทียนจินก็เอ่ยสวน
“ไม่ใช่เรื่องของเธอหวังมู่หลิน อย่ามาวิจารณ์ภรรยาของคนอื่นโดยที่ไม่รู้อะไร” ถึงภรรยาจะขี้หึงและชอบทำตัวเข้าใจยาก แต่คนอื่นไม่มีสิทธิ์มากล่าวหาเธอ
“ฉันแค่หวังดี” เธอพูดผิดตรงไหนกัน ภรรยาอย่างหยางเฟยเหยียนแสนแย่ เขากลับยกย่องทำตัวราวกับเป็นทาสก็ไม่ปาน
“น่ารำคาญ เสียบรรยากาศการเดินกลับบ้านของฉันจริง ๆ”
เจ้าของเสียงหวานเดินหนี คร้านจะทะเลาะเบาะแว้งให้อับอายชาวบ้าน
ไป๋เทียนจินทอดสายตามองตามหลังภรรยาด้วยสายตายากจะคาดเดา ไม่รู้ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับหยางเฟยเหยียน ปกติต้องมาจับมือหรือกอดแขนแสดงความเป็นเจ้าของ แต่ตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงความเฉยชาจากเธอ…