ตัดมาทางคามิล หลังจากยืนอารมณ์เสียอยู่หน้าบาร์พักหนึ่ง แม้รูดีว่ามิราจะทำอย่างที่เธอพูดไว้จริงๆ แต่เขายังคงคิดต่อต้านคำสั่งของเธอเดินกลับเข้ามานั่งสูบบุหรี่แก้เซ็งอยู่กับ 'เคน' และ 'กันต์' เพื่อนชายที่มาด้วยกันต่อ
"แม่ง นับวันยัยนั่นยิ่งทำให้กูเหมือนเป็นคนโรคประสาทเสียมากขึ้นทุกวัน กว่าจะหมดสัญญาบ้าๆ นั่น กูว่ากูต้องเป็นบ้าไปก่อนแน่ๆ เลยว่ะ"
คามิลนั่งเอนหลังบนโซฟาหรูพึมพำระบายความในใจออกมาให้เพื่อนชายทั้งสองฟังอย่างคนรันทดกับชีวิตที่ต้องถูกผู้หญิงที่เขานั่นเกลียดมากที่สุดอย่างมิราติดตามชีวิตทุกวัน จนเพื่อนชายทั้งสองได้ยินแล้วต่างกันพากันส่ายหัวเบาๆ พร้อมกันก่อนถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจแทน
"กูเห็นแล้วยังยอมใจเลยว่ะ เมียมึงนี้โคตรร้ายเลย ถ้ากูมีเมียแบบนี้ก็ว่ากูเป็นบ้าตั้งแต่วันแรกอย่างนี่มึงว่าจริงๆ ไปแล้ว แต่ดีนะที่กูยังไม่อยากมี ฮ๊ะๆ "
"จริง กูเห็นด้วยว่ะ มาเที่ยวกับมึงทีไรกูเนี่ยใจไม่ดีทุกที"
เคนและกันต์เพื่อนชายทั้งสองต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันอย่างเห็นด้วย
แต่คามิลที่ได้ยินแบบนั้นแล้วกลับรู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าพวกเขาเอาแต่พูดจายัดเยียดให้ผู้หญิงที่เขาเกลียดและไม่ชอบมากที่สุดในโลกเป็นภรรยาเขาไม่เลิก
"พวกมึงพูดให้มันดีๆ นะยัยนั่นไม่ใช่เมียกูเว้ย กูไม่ชอบ!" ชักสีหน้าตวาดเสียงโต้แย้งใส่พวกเขาอย่างไม่พอใจ ทำให้เพื่อนทั้งสองเห็นท่าทีนั้นแล้วรีบเอ่ยปากขอโทษกับความปากพล่อยของตัวเองทันที
"โทษทีเพื่อน กูลืม"
"จำไว้ พวกมึงอย่ามาเรียกยัยนั่นว่าเป็นเมียกูให้ได้ยินอีกนะ กูจะอ้วกเต็มทนอยู่แล้ว" ถึงปากจะย้ำนักย้ำหนาว่าทั้งเกลียดทั้งไม่ชอบก็เถอะ แต่ความจริงก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่าตอนนี้เธออยู่ในฐานะภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเขา
เพื่อไม่อยากให้คามิลอารมณ์เสียไปมากกว่านี้ เพื่อนชายทั้งสองก็ต้องรับปากอย่างเชื่อฟังตามที่เขากล่าวมา
"เออนะ ไม่พูดแล้วๆ"
"โวยวายง่ายนะมึงเนี่ย"
"เออ"
คามิลเปล่งน้ำเสียงออกมาอย่างประชดประชัน ก่อนเอื้อมไปคว้าแก้วเหล้าตรงหน้าขึ้นมากระดกเข้าปากจนหมดแก้วให้หายเซ็ง ขณะที่ในหัวยังจมอยู่กับความคิดว่าเมื่อไหร่จะถึงวันหย่า เขาจะได้หลุดพ้นจากผู้หญิงไร้ยางอายสร้างแต่เรื่องให้เจ็บใจคนนี้สักที
"อีกไม่นานจะถึงทีฉันบ้างแล้ว ฉันจะจัดการเธอให้หนักเลยคอยดู" ด้วยความเจ็บใจที่มันอัดแน่นอยู่ในอก อดไม่ได้เลยที่เขาจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดพึมพำกับตัวเอง
แต่คำพูดของคามิลนั้นกลับลอยหูของเพื่อนทั้งสอง ทำให้พวกเขาพลันเกิดคำถามบางอย่างเกิดขึ้นหัวทันที ก่อนหันมาสบมองตากันโดยไม่ได้นัดหมายราวกับว่ารู้ใจว่าฝ่ายต่างกำลังคิดอะไรอยู่ และหนึ่งในนั้นก็ไม่รอช้าที่จะหันกลับมาเอ่ยปากถามด้วยความอยากรู้
"ไอ้คามิล"
"อะไร" ตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
"แล้วอีกนานแค่ไหนเหรอว่ะกว่ามึงจะได้หย่ากับยัยนั่นนะ"
"อีกสามเดือน"
"สามเดือนเอง?"
"เออ ถามทำไม?" เลิกคิ้วเข้มขึ้นเล็กน้อย
"เปล่า กูถามเฉยๆ แล้วมึงไม่ดีใจเหรอว่ะ อีกไม่นานก็จะได้เป็นโสดแล้วนะเว้ย"
"ถามได้นะมึง ไม่เห็นหรือไงว่ากูใจแทบขาดอยู่แล้วเนี่ย!"
พอเห็นว่าเพื่อนถามคำถามแบบไม่คิด ก็เหมือนกระตุ้นให้คามิลหัวร้อนหนักขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า มีใครที่ไหนบ้างล่ะจะไม่ดีใจที่ได้ชีวิตอิสระกลับคืนมา โดยไม่ต้องมีคนมาคอยรังควาน ตามจิกเหมือนไก่อยู่เหมือนตอนนี้
"เอ้า กูเห็นว่ามึงยังทำหน้าเครียดจนตีนกาขึ้นไม่หาย ก็นึกว่าจะไม่ดีใจซะอีก"
"นั่นสิ ไม่แน่ปากได้ที่มึงบอกว่าเกลียดนัก เกลียดหนา แต่ปากมึงอาจจะไม่ตรงกับใจก็ได้ มึงอย่าลืมนะว่ามึงกับมิราอยู่ด้วยกันทุกวัน แถมยังนอนห้องเดียวกันอีก บางทีเผลอเกิดรู้สึกมีเยื่อใยให้กันบ้างก็ได้ ใครจะไปรู้ล่ะ"
"เฮ้ย จริงด้วยว่ะ ฮ่าฮ่า"
กันต์และเคนพากันหัวเราะคิกคักชอบใจ เมื่อนึกไปถึงเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างพวกเขา
แต่คามิลที่กำลังโดนกล่าวหา ได้ยินประโยคนั้นแล้วถึงกับขมวดคิ้วเข้มก่อนเอ่ยปากประท้วงคำพูดขึ้นเสียงแข็งด้วยสีหน้าแดงเจือโมโหกลับมา
"ปากพวกมึงนี้วอนกินตีนหรือยังไงวะ พูดเชี้ยอะไรของพวกมึง มาบีบคอกูให้ตายซะยังดีกว่าถ้าจะให้กูมีใจให้ยัยบ้านั่นนะ!"
"เฮ้ยไอ้คามิลมึงใจเย็นหน่อยดิว่ะ พวกกูแค่พูดแหย่เล่นเอง ทำเป็นจริงเป็นจังไปได้นะมึง"
"เออ นั่นดิใจเย็นหน่อยมึง พวกกูรู้อยู่แล้วละน่าว่าคลาสโนว่าแบบมึงไม่เคยมีใจให้ใครหรอก"
กันต์และเคนยังคงพูดยิ้มๆ เกลี้ยกล่อมให้คามิลใจเย็นลง แต่ก็ยังไม่วายจะทำสีหน้าท่าทีก่อกวนเหมือนมีเลศนัยบางอย่างให้เขารู้สึกรำคาญ
"อย่ามาทำพูดดี นิสัยอย่างพวกมึงแค่อ้าปากกูรู้แล้วว่าต้องคิดอะไรกันอยู่ พูดมา" เขาถามเสียงเข้ม ดวงตาคมหรี่ลงมองเพื่อนชายทั้งสองอย่างคาดคั้น ราวกับบังคับให้พูดสิ่งที่พวกเขากำลังครุ่นคิดกันอยู่บอกมาตามความจริง
เป็นเพื่อนกันมากี่ปีแล้ว คนอย่างไอ้สองคนนี้คิดเหรอผมจะมองไม่ออกว่าพวกมันต้องคิดอะไรไม่เข้าเรื่องอยู่แน่ๆ
แน่นอนว่าหลังได้ยินคำถามนั้น เคนและกันต์ต่างปั้นปากอมยิ้มหันมามองหน้ากันอย่างรู้ใจ ก่อนจะหันกลับมาตอบกลับน้ำเสียงกวนๆ แฝงกระเซ้าเย้าแหย่
"รู้ทันไปซะทุกเรื่องเลยนะมึงเนี่ย"
"นั่นดิ กูกับไอ้เคนกะว่าจะเก็บเอาไว้คิดกันแค่สองคนแล้วนะ เดี๋ยวพอถามไปมึงก็มาอารมณ์เสียใส่พวกกูอีกอ่ะ งั้นแบบนี้พวกกูขอไม่พูดดีกว่า"
"เออ กูเห็นด้วย"
ไอ้เพื่อนบ้าสองคนนี้คิดจะยั่วให้ผมประสาทเสียไปมากกว่านี้หรือไง
"อย่ามาทำเป็นเล่นลิ้น กูยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่อย่าให้ต้องถามเป็นครั้งที่สอง ไม่งั้นพวกมึงโดนกูแน่" คามิลพูดเสียงต่ำ ดวงตาคมจ้องมองอีกฝ่ายทั้งสองคนอย่างอารมณ์ไม่ดียิ่งกว่าเก่าทั้งรู้สึกขัดใจ เมื่อเห็นว่าเพื่อนตัวดีเอาแต่ลีลาทำเป็นไม่ยอมพูดออกมาสักที
แค่พูดมา มันจะเล่นลิ้นไปถึงไหนกันว่ะ
จนกระทั่งหลังจากกันต์และเคนฟังคำขู่ประโยคนั้นจบ และเห็นว่าคามิลอยากรู้สิ่งที่พวกเขากำลังนึกคิดอยู่ในใจขนาดนั้น ท้ายที่สุดก็ต้องจำใจเอ่ยปากพูดออกไปอย่างช่วยไม่ได้
"เออๆ ก็ได้ แต่ถ้ากูพูดแล้วมึงห้ามมาโวยวายใส่พวกกูนะ" เคนเอ่ยถามอีกครั้งหาความแน่ใจ กลัวว่าพูดออกไปแล้วอีกฝ่ายต้องโมโหจนควันออกหูอีกรอบแน่
"เออ พูดมาอย่าลีลา"
"เออ ก็ได้"
ทันทีที่ได้ยินคำตอบรับปาก กันต์และเคนก็หันมามองหน้าและอมยิ้มให้กัน ก่อนจะผุดลุกออกจากโซฟาฝั่งตรงข้ามแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยรีบกรูพากันเข้ามาทิ้งตัวนั่งขนาบร่างคามิลซ้ายขวา ทำเอาเขาถึงกับเบิกตากว้างเล็กน้อย
พรึ่บ!
"เป็นบ้าอะไรของพวกมึงเนี่ย" เขาเอ่ยปากถามด้วยความตกใจ หันมองหน้าเพื่อนชายทั้งสองสลับไปมาเมื่อจู่ๆ พวกเขาก็ลุกพรวดพราดเข้ามานั่งประกบเขาแบบนี้
"กูกลัวว่ามึงจะไม่ได้ยิน ก็เลยย้ายมานั่งข้างมึงไง"
"ได้ยินอะไร?"
ยิ่งพูด คามิลก็ยิ่งขมวดคิ้วจนแทบเป็นปมไม่เข้าใจว่าไอ้เพื่อนตัวดีทั้งสองคิดจะทำอะไรกันแน่
"เห็นมึงบอกว่าเกลียดนักเกลียดหนา กูถามมึงตรงๆ นะ มึงเคยได้กันยังว่ะ"
ดวงตาของเพื่อนชายทั้งสองก็เป็นประกาย เอนตัวเข้ามากระแทกไหล่กว้างอีกฝ่ายเบาๆ คะยั้นคะยอให้เขาพูดตามความจริงด้วยอยากรู้อย่างออกหน้าออกตา
อยากจะรู้เหมือนกันว่าคนปากแข็งอย่างไอ้คามิลที่มันชอบพูดว่าเกลียดกรอกหูพวกผมสองคนอยู่ทุกที จนจำขึ้นสมองได้แล้ว มันจะเกลียดแบบไหนของมัน
แต่หลังจากคามิลได้ยินคำถามนั้นแล้ว ดวงตาคมของเขาถึงกับเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึงขึ้นมาพลัน คิดไม่ถึงว่าเพื่อนชายทั้งสองจะตั้งคำถามเรื่องอะไรแบบนี้ขึ้นมา