กรุ้งกริ้ง…
เสียงกระดิ่งหน้าประตูร้านดังขึ้นบ่งบอกว่ามีลูกค้าเข้ามาในร้าน ดวงตาหวานละจากช่อดอกไม้ในมือขึ้นมอง ริมฝีปากชมพูระเรื่อคลี่ยิ้มอ่อนหวานพลางเอ่ยคำต้อนรับ
“สวัสดีค่ะคุณป้า วันนี้มาเช้าจังเลยนะคะ”
คุณป้าผู้ถูกทักยิ้มแย้มรับคำเยื้องย่างเข้ามาในร้าน สายตากวาดมองไปทางประตูกระจกเชื่อมสู่หลังร้าน เมื่อพบกับคนที่ต้องการมาหาริมฝีปากคลี่ยิ้มสดใส
“วันนี้เป็นวันหยุดของตาหนูภีร์ใช่ไหมจ๊ะหนูชม”
ชมจันทร์ยิ้มตอบขณะรวบช่อดอกไม้ในมือ “ใช่ค่ะ น้องภีร์มีเรียนพิเศษแค่วันเสาร์ ส่วนวันอาทิตย์เป็นวันหยุดค่ะ”
“ดีเลย ถ้าอย่างนั้นวันนี้ป้าขอรับตาหนูภีร์ไปเที่ยวที่ไร่ได้ไหมจ๊ะ ครั้งก่อนตาหนูชอบกินองุ่นมาก แกวิ่งเล่นสนุกสนานสุด ๆ เลย”
ร่างบางชะงักเล็กน้อย สีหน้าแฝงแววลำบากใจ “จะดีเหรอคะคุณป้า น้องภีร์เพิ่งไปเที่ยวเล่นที่ไร่เมื่ออาทิตย์ก่อนเองนะคะ รบกวนคุณป้ากับคุณลุงบ่อย ๆ ชมเกรงใจค่ะ”
“โธ่… เกรงใจอะไรกันจ๊ะ บ้านไร่ของป้าน่ะเงียบเหงาจะตาย มีเด็กน้อยไปวิ่งเล่นแบบนี้ช่วยให้บ้านเหงา ๆ มีชีวิตชีวาขึ้นมาก แถมคนแก่สองคนตายายยังได้คลายเหงาอีกด้วย” ดารินโบกมือกล่าว เธอไม่ติดเลยสักนิดหากจะพารภีร์ไปเที่ยวที่บ้านไร่บ่อย ๆ ใจอยากมารับไปเที่ยวทุกวันเสียด้วยซ้ำ
“อ๊ะ สวัสดีฮะคุณยาย” เด็กชายตัวเล็กเปิดประตูกระจกเดินออกมาจากหลังร้านชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นดาริน ใบหน้าจิ้มลิ้มยิ้มตาหยียกสองมือป้อม ๆ ขึ้นพนมอย่างรู้กาลเทศะ คุณยายดารินหัวใจเหลวยิ่งกว่าน้ำ ตรงเข้าไปกอดเด็กน้อยด้วยความรักหลงอย่างที่สุด
“ทำไมถึงน่ารักน่าชังขนาดนี้กันนะ รู้ไหมว่ายายคิดถึงหนูมากเลย เฝ้านับวันรอให้ถึงวันหยุดเพื่อจะมารับไปเที่ยวเลยนะ”
“เที่ยวเหรอฮะ? น้องภีร์ไปเที่ยวกับคุณยายได้อีกเหรอฮะ?” ดวงตากลมโตเปล่งประกายเงยมองผู้เป็นแม่ คนถูกมองอดจะยิ้มเอ็นดูให้กับความชอบเที่ยวของเจ้าตัวเล็กไม่ได้
“ไปได้สิจ๊ะ คราวนี้ยายจะพาหนูไปกินองุ่นหวาน ๆ อีกเยอะแยะเลย พาไปเล่นกับเจ้าแรมโบ้ด้วยนะ”
“แรมโบ้! น้องภีร์อยากเล่นกับแรมโบ้ฮะ อยากกินองุ่นหว๊านหวานด้วยฮะ” เด็กน้อยร้องดีใจหันมามองมารดาอีกครั้ง “น้องภีร์ไปเที่ยวได้ไหมฮะมามี้”
ชมจันทร์มองหน้าลูกชายด้วยความลำบากใจเล็กน้อย เธอรู้สึกเกรงใจมาก เพราะไม่ใช่แค่ดารินรับรภีร์ไปเที่ยวบ้านไร่อยู่บ่อย ๆ แต่ตอนกลับมาก็มักจะมีของติดไม้ติดมือเจ้าตัวน้อยอยู่เสมอ
“ไปได้จ้ะ” เธอยิ้มตอบลูกชาย ก่อนหันมายิ้มเกรงใจให้ดาริน “แต่ว่าครั้งนี้ไม่ต้องซื้ออะไรกลับมาให้น้องภีร์แล้วนะคะคุณป้า แค่พาน้องภีร์ไปเที่ยวเล่นด้วยชมก็รู้สึกเกรงใจจะแย่แล้วค่ะ”
ดารินรีบพยักหน้ารับคำ “ได้ ๆ ครั้งนี้ป้าจะไม่ซื้ออะไรให้ตาหนูแล้ว”
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เธอเห็นนะว่าท่านแอบขยิบตาให้เจ้าตัวแสบด้วยน่ะ
“จริงสิ เมื่อวานป้าฝากให้ลูกชายมาซื้อดอกไม้ หนูชมได้เจอกับลูกชายป้าไหมจ๊ะ” ดารินเอ่ยถามขณะชมจันทร์กำลังง่วนกับการจัดเตรียมของใช้จำเป็นใส่กระเป๋าสะพายหลังใบน้อย เธอชะงักมือขมวดคิ้วเล็กน้อย
ลูกชายคุณป้าดารินงั้นเหรอ… น่าจะหมายถึงคนที่มาจากในเมืองคนนั้นหรือเปล่านะ เพราะเมื่อวานมีคนแปลกหน้ามาซื้อดอกไม้เธอแค่คนเดียว นอกนั้นเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาทั้งนั้น
“เจอแล้วค่ะ ชมเลือกดอกคาร์เนชั่นสีชมพูอ่อนจัดช่อไปให้ ไม่ทราบว่าคุณป้าชอบหรือเปล่าคะ”
“ชอบสิ ๆ หนูชมจัดช่อดอกไหนให้ป้าก็สวยทั้งนั้นแหละจ้ะ” ดารินมองท่าทีของหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะแสร้งพูดต่อด้วยท่าทีเหนื่อยอกเหนื่อยใจ “เฮ้อ… พูดถึงลูกชายป้าคนนี้แล้วก็กลุ้มใจจริง ๆ วัน ๆ ทำแต่งานนาน ๆ จะกลับบ้านสักที ปล่อยให้ตาแก่ยายแก่นั่งเหงา แถมยังครองตัวโสดไม่ยอมมีแฟนสักที เฮ้อ…”
“คุณยายถอนหายใจทำไมเหรอฮะ คุณครูบอกว่าถ้าเราถอนหายใจบ่อย ๆ จะทำให้เราอายุสั้นนะฮะ” รภีร์ขยับกระเป๋าใบน้อยสะพายหลังก่อนเอียงคอมองคุณยายตาแป๋วแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงฉะฉาน“การถอนหายใจบ่อย ๆ แสดงว่าเรามีเรื่องเครียดและทุกข์ใจเยอะฮะ ทำให้เสียสุขภาพง่ายและอายุจะสั้นลงด้วยฮะ”
สีหน้าและท่าทางฉลาดเกินวัยของเด็กชายตัวน้อยเรียกความเอ็นดูจากดารินมากกว่าเดิม หวนให้เธอนึกถึงแดนรบในวัยเด็กที่ทั้งแสนฉลาดและช่างพูดช่างจาแบบนี้
ไม่รู้ทำไมโตมาความน่ารักน่าเอ็นดูถึงได้เหือดหายไปหมด เหลือไว้แต่ความเยือกเย็นขึ้นทุกวันจนหิมะจะเกาะหลังคาบ้านอยู่แล้ว
.
.
.
คนเยือกเย็นของดารินตื่นเช้าขึ้นมาก็ตรงเข้าโรงบ่มไวน์แต่เช้า ไร่องุ่นแห่งนี้เป็นหนึ่งในสามแห่งที่ส่งผลผลิตให้กับทางบริษัท และยังเป็นจุดเริ่มต้นแห่งแรกในการก่อตั้งบริษัทเช่นกัน
แดนรบเกิดที่นี่ เติบโตในไร่แห่งนี้ เขาวิ่งเล่นภายใต้ร่มไม้องุ่นมาตั้งแต่จำความได้ ที่นี่จึงเป็นสถานที่แห่งความทรงจำของเขา ทุกครั้งที่กลับมา หลังจากตรวจงานในโรงบ่มไวน์เสร็จเขามักจะแวะมาเดินเล่นในไร่เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน
จุดบริเวณที่ชายหนุ่มยืนอยู่นั้นเป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดของไร่แห่งนี้ เพราะเป็นเนินเขาเล็ก ๆ ด้านหน้ามองเห็นไร่องุ่นไกลสุดลูกหูลูกตา ด้านหลังเป็นต้นองุ่นปกคลุมทอดยาวสูงสองเมตร และยังมีโต๊ะไม้แกะสลักสวยงามเหมาะสำหรับการนักพักผ่อนหย่อนใจ
ทว่าบรรยากาศเงียบสงบยามสายของเขากลับถูกเสียงหัวเราะสดใสทำลาย
“ฮ่า ๆ มาสิ ตามให้ทันสิแรมโบ้!” เสียงเล็ก ๆ สนุกสนานลอยมาตามสายลมเรียกคิ้วเข้มขมวดหน่อย ๆ ดวงตาคมหันมองด้านหลังตามเสียงนั้น บริเวณใต้ต้นองุ่นถัดจากเนินเขาไปสองสามแถวปรากฏเงาร่างเล็ก ๆ กำลังเคลื่อนไหวไปมา เถาองุ่นสีเขียวขจีบดบังเลือนรางเห็นเพียงเงาร่างนั้นวิ่ง ๆ หยุด ๆ โดยมีร่างของสุนัขตัวหนึ่งกำลังวิ่งไล่
ลูกคนงานแถวนี้ละมั้ง…
ชายหนุ่มคิดอย่างไม่ใส่ใจแล้วหันกลับมาทอดสายตามองวิวตรงหน้าต่อ แสงแดดยามสายของช่วงต้นฤดูหนาวให้ความรู้สึกเย็นสบาย ผ่อนคลายจิตใจให้รู้สึกสงบ เขาหลับตาลงสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด
นานแล้วที่ไม่ได้ผ่อนคลายแบบนี้…
“ฮ่า ๆ พอแล้ว ๆ น้องภีร์ไม่แกล้งแล้ว” เสียงหัวเราะร่าดังไม่หยุด ก่อนจะตามมาด้วยเสียงตุบเบา ๆ “โอ๊ย…”
หัวคิ้วหนากระตุกเล็กน้อย ก่อนหันกลับไปจ้องเงาด้านหลังเถาต้นองุ่นซึ่งตอนนี้หยุดการเคลื่อนไหวแล้ว แถมยังดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นเสียด้วย
คงไม่ได้หกล้มหรอกนะ…
“ฮึก… มะ… ร้อง ฮึก น้องภีร์จะไม่ร้อง” เสียงเล็กสะอื้นเบา ๆ แต่ไม่ได้ส่งเสียงร้องไห้โยเย
ร่างสูงลุกขึ้นยืนด้วยความสนใจ เขาไม่ค่อยชอบเด็กสักเท่าไหร่โดยเฉพาะเด็กขี้แง จากตอนแรกคิดจะไม่สนใจ แต่พอเห็นว่าเด็กคนนั้นไม่งอแงแถมยังเข้มแข็งเกินเด็กจึงอดเดินไปดูสักหน่อยไม่ได้
แดนรบเดินอ้อมต้นองุ่นมาถึงพบเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังนั่งฟุบอยู่บนพื้น มือหนึ่งกุมหัวเข่า อีกมือปาดน้ำตา ดวงหน้าจิ้มลิ้มแดงเรื่อเปรอะเปื้อนคราบน้ำตาที่พยายามเช็ดออก ริมฝีปากเล็กเม้มแน่นสะกดกลั้นเสียงร้องทำเพียงสะอึกสะอื้นเงียบ ๆ ข้างกายมีสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวใหญ่กำลังนอนหมอบส่ายหางดุกดิก
“เป็นอะไร” เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ เด็กคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจจนลืมสะอื้น แสงแดดสีทองสาดส่องลอดเถาองุ่นฉายใบหน้าคุ้นตา คิ้วเข้มขมวดนิด ๆ เดินเข้าไปใกล้มากขึ้น “หกล้มเหรอ?”
มือป้อม ๆ รีบปาดน้ำตาพยายามฮึบไม่ให้ตนเองร้องไห้ก่อนเงยหน้าพูดเสียงอ้อมแอ้ม “นะ น้องภีร์สะดุดเองนะฮะ แรมโบ้ไม่ได้ทำ ฮึก ระ แรมโบ้เป็นเด็กดีฮะ”
คนฟังเหลือบมองเจ้าแรมโบ้ที่กำลังนอนทำเสียงหงิง ๆ คล้ายรู้สึกผิดสลับกับเด็กชายที่พยายามเม้มปากอดกลั้นความเจ็บ
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าหกล้มเพราะอะไร คงถูกเจ้านี่วิ่งไล่จนสะดุดล้มแน่ ๆ เอาเถอะ ปกป้องกันซะขนาดนี้ เขาจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแล้วกัน
“เจ็บหรือเปล่า ถ้าเจ็บก็ร้องไห้ออกมาดัง ๆ ไม่ต้องกลั้นไว้” ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาพูดแบบนั้นออกมา แต่พอเห็นท่าทางอดกลั้นของเด็กน้อยแล้วมันรู้สึกไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก “เงียบทำไม ไม่เจ็บเหรอ?”
“จะ เจ็บฮะ”
“เจ็บก็ร้องไห้สิ จะกลั้นทำไม” ร่างสูงยืนกอดอกมอง ท่าทางเย็นชา ทว่าสายตากลับอ่อนลงหลายส่วน
“น้องภีร์ต้องอดทนฮะ จะร้องไห้เสียงดังไม่ได้ พะ เพราะน้องภีร์เป็นผู้ชาย” รภีร์เม้มปากไปพูดไป ดวงตากลมฉ่ำวาวเหลือบมองเลือดบนหัวเข่าที่ซึมออกมาเล็กน้อย
“เป็นผู้ชายแล้วทำไม ผู้ชายร้องไห้ไม่ได้หรือไง” เขาหยั่งเชิงถาม
“ร้องไห้ได้ฮะ แต่ต้องร้องไม่ดัง ต้องอดทน น้องภีร์ต้องเข้มแข็งจะได้ปกป้องมามี้ได้ฮะ”
คิ้วเข้มเลิกขึ้น รู้สึกสนใจในตัวเด็กน้อยตรงหน้าขึ้นมา คำพูดคำจารู้ความเกินอายุแบบนี้ให้ความรู้สึกคุ้นเคยมาก เหมือนตัวเขาตอนเด็ก ๆ ไม่มีผิด ไม่สิ… ไม่ใช่แค่คำพูดคำจา แม้แต่หน้าตาเด็กคนนี้ก็คล้ายคลึงเขา…
เดี๋ยวก่อนนะ… นี่คือเด็กคนเดียวกันกับที่เจอหน้าร้านดอกไม้เมื่อวานนี่นา…
นี่มันอะไรกัน? ทำไมเด็กคนนั้นถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ? ที่นี่เป็นไร่ส่วนตัวนะ เข้ามาได้ยังไง? ใครพาเข้ามา?
ขณะชายหนุ่มกำลังครุ่นคิดสายตาบังเอิญหยุดลงบนหัวเข่าที่มีเลือดซึม เขาขมวดคิ้วยุ่งยากใจก่อนจะย่อตัวลงอุ้มเด็กชายเข้าสู่อ้อมกอดแล้วพามาวางลงบนเก้าอี้ไม้แกะสลัก
“เจ็บหรือเปล่า” เขาถามพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าของตัวเองซับเลือดให้เด็กน้อย โชคดีที่แค่ถลอกนิดหน่อย ไม่ได้เป็นแผลลึกอะไร
“มะ ไม่เจ็บฮะ”
ฮึ… ไม่เจ็บแต่กัดฟันแน่นเชียว
ริมฝีปากหนาโค้งขึ้นจาง ๆ แววตาอ่อนลงยามมองเด็กน้อยตรงหน้า “ถ้าเจ็บก็ร้องออกมา ยังเด็กอยู่ จะร้องไห้งอแงบ้างก็ไม่มีใครว่าหรอก”
เด็กน้อยก้มหน้าคล้ายครุ่นคิดก่อนส่ายหน้าเบา ๆ “น้องภีร์จะไม่ร้องฮะ น้องภีร์ไม่อยากทำให้มามี้เป็นห่วง แผลแค่นิดเดียว ไม่เป็นไรหรอกฮะ”
แดนรบจ้องมองเด็กตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย ความคุ้นเคยสายหนึ่งแล่นวาบเข้ามาขณะสบตากับดวงตาใสแป๋ว
ยิ่งมองใกล้ ๆ ก็ยิ่งเหมือน… เด็กคนนี้เหมือนเขามากจริง ๆ