เอรอสเดินงัวเงียผ่านซอกซอยในย่านเมืองหลวง หลังจากที่ไปพบกับกลุ่มผู้เสียหายที่เพิ่งถูกพบตัวไม่นาน หลายคนให้ความร่วมมือกับเขาด้วยท่าทางอ่อนล้า เหมือนยังไม่สามารถดึงสติกลับมาได้เต็มที่ บางคนแม้จะมองเห็นเขาอยู่ตรงหน้า แต่ก็เหมือนสายตาล่องลอยออกไปที่อื่น
ขณะที่เอรอสคุยกับพวกเขา เขาสังเกตได้ว่าความทรงจำที่ขาดหายไปนั้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ช่วงเวลาที่พวกเขาหายตัวไปเท่านั้น แต่ยังมีบางส่วนของเหตุการณ์ก่อนการหายตัวที่ดูเหมือนจะถูกลบออกไปด้วย ผู้เสียหายแต่ละคนต่างจำเหตุการณ์หรือสถานการณ์ก่อนหน้าของตัวเองได้เพียงลางๆ ราวกับว่ามีบางสิ่งที่ทำให้พวกเขาสูญเสียช่วงเวลาสำคัญของตัวเองไป
แม้ว่าการสอบปากคำจะไม่ได้ให้ข้อมูลใหม่ๆ ที่สำคัญ แต่เอรอสยังพอจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง—ร่องรอยของมานาที่ดูแปลกประหลาด แผ่กระจายอำนาจและพลังที่ไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของโลก ในนั้นมีความรู้สึกอันรุนแรงบางอย่างที่เขาสัมผัสได้ชัดเจน ราวกับเป็นอำนาจที่สามารถหักล้างทุกกฎที่เคยรู้จัก
หนึ่งในตัวตนที่เขานึกถึงก็คือแม่มด ผู้ที่ลือกันว่าเป็นผู้เดียวที่มีพลังสามารถดัดแปลงและฝืนกฏเกณฑ์ของโลกได้ เอรอสจดบันทึกข้อมูลนี้ไว้ในใจ พลางเดินเปรียบเทียบมานาในอากาศที่ร่องรอยอยู่ทั่วเมือง
เอรอสใช้เวลาหลายชั่วโมงเพื่อตระเวนหาเบาะแสร่องรอยของมานาที่แปลกประหลาด แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามสัมผัสหรือค้นหาตามจุดต่างๆ ก็ยังไม่พบสิ่งใดที่ใกล้เคียงกับพลังที่เคยสัมผัสได้จากตัวเหยื่อเลย เขาเดินสำรวจตามซอยต่างๆ ทั่วทั้งเมืองอย่างเงียบเชียบ ราวกับกำลังหลอมตัวเข้ากับความมืดของถนนที่เงียบงัน
จนกระทั่งเมื่อเขามาถึงเขตทางใต้ของเมือง สถานที่ๆ เขาเคยใช้ชีวิตอยู่ช่วงหนึ่งหลังถูกขับไล่ออกจากตระกูล เขตนี้เป็นสลัมที่ถูกทอดทิ้ง ผู้คนมากมายเดินผ่านไปมา เอรอสพบกับบรรยากาศที่คึกคักไม่ต่างจากในตัวเมือง เสียงผู้คนเจรจาซื้อขายดังเซ็งแซ่ พ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้า เสียงเหรียญชนกันกระทบเป็นจังหวะ แผงลอยมีตั้งแต่สินค้าทั่วไปไปจนถึงของแปลกที่หาที่ไหนไม่ได้ ทั้งเครื่องรางจากต่างแดน ขวดแก้วใส่น้ำยาแปลกประหลาด และอาวุธแปลกๆที่ดูอันตรายวางเกลื่อนอยู่ข้างถนน
แม้ว่าบรรยากาศจะคล้ายกับตลาดในเมือง แต่ในความคึกคักนั้น เอรอสยังคงรู้สึกถึงสายตาจับจ้องจากซอกซอยแคบที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง มันเป็นสายตาที่มองเงียบๆ ราวกับประเมินหรือเฝ้าระวังการเคลื่อนไหวของเขา ท่ามกลางผู้คนที่แออัด
เอรอสมองไปยังหลังคาของบ้านเรือนที่เรียงตัวอย่างแออัด แม้ใจหนึ่งอยากจะปีนขึ้นไปเพื่อเฝ้าระวังจากมุมสูงให้ปลอดภัยกว่า ทว่าฟ้ายังไม่ทันมืด หากเขาปรากฏตัวบนหลังคาบ้านใครโดยไม่มีเหตุจำเป็นอาจดึงดูดความสงสัยหรือทำให้ชาวบ้านร้องเรียนเอาได้ เขาจึงตัดสินใจรอจนกว่าจะถึงค่ำจึงค่อยกลับมาอีกครั้ง
แต่ก่อนที่เขาจะหันหลังจากไป ความรู้สึกถึงมานาที่แปลกประหลาดก็แผ่กระจายเข้ามาใกล้จนเอรอสต้องหยุดชะงัก พลังที่เขาตามหามาตลอดวันกลับปรากฏขึ้นท่ามกลางตลาดที่คึกคักนี้เอง ความตั้งใจที่จะกลับไปพักค่อยๆ เลือนหาย เขาเริ่มตามร่องรอยมานานั้นไปเรื่อยๆ ด้วยความระมัดระวัง สัมผัสถึงพลังที่แปลกประหลาดยิ่งขึ้นทุกครั้งที่เข้าใกล้
ในที่สุด เอรอสก็มาหยุดอยู่ที่กลางเขตทางใต้ ณ ซอกซอยที่เงียบงันและไร้ผู้คน บรรยากาศรอบตัวดูเงียบผิดปกติ เสียงจอแจของตลาดเริ่มห่างไกลจนได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าของตัวเอง
เอรอสก้าวเดินสำรวจพื้นที่ด้วยความระมัดระวัง สัมผัสถึงมานาที่แผ่กระจายรอบตัว เขายกมือควานหาลูกบอลสีทองที่ใช้ส่งสัญญาณจากกระเป๋า แต่กลับพบว่ามันหายไป นั่นทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าเขาลืมทิ้งมันไว้ที่แผนกสืบสวนโดยไม่ตั้งใจ ความเซ็งเล็กน้อยผุดขึ้นในใจ แต่เขารู้ว่าจำเป็นต้องสำรวจตอนนี้ เพราะไม่แน่ว่ามานานี้จะจางหายไปเมื่อไร
ขณะก้าวลึกเข้าไป มานาที่ลอยอยู่รอบตัวเริ่มเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ราวกับมีเจตจำนงแฝงอยู่ พลังลึกลับนั้นดึงดูดเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว เอรอสก้าวตามพลังนั้นไป หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้น ความอยากรู้อยากเห็นชักนำเขาเข้าใกล้แหล่งที่มามากขึ้นทุกที
กระทั่ง…
"นี่มัน…ทำไมต้องตอนนี้"
จู่ๆภาพหลอนก็ปรากฏขึ้นมาในหัว ราวกับความทรงจำที่เขาพยายามจะลืมกลับมาแสดงเด่นชัดขึ้นอีกครั้ง เสียงหัวเราะของเด็กสาวที่คุ้นเคยก้องอยู่ในความคิด หัวใจเขารู้สึกอบอุ่นขึ้นชั่วขณะหนึ่ง
แต่แล้วบางสิ่งก็เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด—หมอกขาวหนาทึบ ค่อยๆก่อตัวขึ้นจากบริเวณรอบตัวเขาอย่างรวดเร็ว จนบดบังทุกสิ่งในสายตา หมอกหนาทึบนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกขังในโลกที่ไร้ทางออก
"เกิดอะไรขึ้นที่นี่…" เอรอสพึมพำเบาๆรู้สึกถึงความสับสน และ ความหวั่นไหวขณะพยายามฝืนจิตใจให้สงบนิ่ง พลางก้าวเดินไปอย่างระมัดระวัง หวังหาทางออกจากหมอกที่ราวกับจับต้องไม่ได้
เอรอสพยายามตั้งสติ ดึงตัวเองออกจากความสับสนในหมอกที่ปกคลุมรอบตัวเขา เสียงพึมพำเบาๆ ของเขาราวกับจะปลุกตัวเองขึ้นมา
"ไม่...ต้องตั้งสติ นี่ไม่ใช่เวลา…" เขาเตือนตัวเอง พยายามจะก้าวเดินต่อไป แต่ทุกย่างก้าวกลับรู้สึกเหมือนถูกอะไรบางอย่างฉุดรั้งไว้ ทำให้การก้าวท้าวของเขาหนักขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้น ภาพเด็กสาวผมสีขาวก็โผล่ขึ้นมาในหัวอีกครั้ง ใบหน้าของเธอเลือนรางจับต้องไม่ได้ ราวกับเป็นเพียงเงาที่ไม่มีคำอธิบาย รู้สึกคุ้นเคยแต่กลับไม่อาจระลึกได้ว่าเธอเป็นใคร
ภาพถัดมาที่ปรากฏคือ ต้นไม้ใหญ่ที่ดูเก่าแก่และทรงพลัง แผ่กิ่งก้านอย่างสง่างาม ใบสีเขียวเข้มปกคลุมไปทั่ว บรรยากาศสงบร่มรื่นมีแสงแดดอ่อนๆ สาดส่องผ่านกลุ่มใบ ทำให้ทุกอย่างรอบตัวดูอบอุ่น
ใต้ร่มเงาของต้นไม้นั้น เขาเห็นเด็กสาวสองคนกำลังจูงมือเขาเดินไปข้างหน้า เด็กสาวคนหนึ่งคือเอเลน่า เพื่อนในวัยเด็ก ผมสีทองของเธอส่องประกายในแสงแดดอ่อนๆ รอยยิ้มสดใสของเธอทำให้หัวใจของเขาที่เงียบงันกลับมาเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง
แต่เด็กสาวอีกคนข้างๆ เอเลน่ากลับทำให้เขารู้สึกแปลกใจและคุ้นเคยในเวลาเดียวกัน ผมของเธอสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหิมะ ใบหน้านั้นยังคงเลือนลาง ราวกับเป็นภาพเงาที่จับต้องไม่ได้
“พวกเราไม่เคยมีเพื่อนคนอื่นเลยนะ” เสียงของเอเลน่าดังก้องขึ้นในความคิด คำพูดนี้กลับขัดแย้งกับภาพที่เขาเห็นในตอนนี้ ทำให้เขารู้สึกถึงบางสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในความทรงจำ ความอบอุ่นและคุ้นเคยเหล่านั้นก่อตัวขึ้นมา แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไม